เธอพยายามสงบสติอารมณ์ตัวเองอย่างสุดชีวิต ทว่ามันเหมือนกับมีต้นหญ้างอกขึ้นมาในใจ แถมกำลังงอกเงยอยู่ในใจอย่างบ้าคลั่งซะด้วย เธอไม่อาจสงบสติอารมณ์ลงได้ และไม่ไม้แต่จะใช้ความรู้สึกนึกคิดตามปกติได้
พอนึกถึงสิ่งที่จวงจื่อจิ่นพูด เธอก็ยื่นมือออกมาสัมผัสสร้อยที่คอ เธอใช้นิ้วมือลูบคลำไปมาเบาๆ
เวลาผ่านไปเนิ่นนาน สุดท้ายเธอก็เอาชนะความอยากรู้อยากเห็นของตัวเองไม่ได้ เธอลุกขึ้นมานั่งแล้วเอาผ้าขนหนูที่แปะไว้บนหน้าผากออกมาวางบนโต๊ะ จากนั้นก็ถอดสร้อยคอออกมา
สไตล์การออกแบบของสร้อยค่อนข้างเรียบง่าย มันไม่มีแม้แต่จี้ประดับ เธอหยิบมันมาส่องกับแสง แต่ก็ไม่เห็นว่ามันจะมีอะไรพิเศษเลย
สิ่งเดียวที่มั่นใจได้เลยในตอนนี้ก็คือสร้อยเส้นนี้ทำมาจากทองคำขาวที่มีความบริสุทธิ์สูง พอโดนแสงมันจึงสว่างมาก แต่ก็ดูไม่ใช่ของที่มีอายุมานานมากเท่าไหร่
ขณะที่เธอกำลังจะสวมมันอีกครั้ง เธอก็พบว่ามีตัวอักษรเล็กๆสลักอยู่ที่ปลายตะขอ มันเล็กมากจนมองเห็นไม่ชัด เธอเลยต้องเดินไปที่หน้าต่างเพื่อเอาส่องกับแสงดูถึงจะเห็นได้อย่างชัดเจนว่าตัวอักษรที่เขียนอยู่คืออะไร มันเขียนไว้ว่าhx.08.ZA0102
เธอขมวดคิ้วขึ้น นี่มันอะไรกัน เธอไม่เคยเห็นเครื่องประดับยี่ห้อนี้มาก่อน
มันหมายความว่าอะไร?
เธอดูแล้วดูอีกอย่างละเอียด นอกจากตัวอักษรพวกนี้แล้วมันก็ไม่มีอย่างอื่นเลย เธอเอนหลังพิงโซฟา ถ้ามันจริงอย่างที่จวงจื่อจิ่นพูดว่านี่เป็นของที่แม่แท้ๆเธอให้ไว้ มันก็ต้องมีความหมายพิเศษซ่อนอยู่แน่นอน
เพราะยังไงนี่มันต้องเป็นความหวังที่พวกเขาฝากไว้กับลูกสาวคนนี้นี่นา
เธอไม่รู้สึกเศร้า เพราะเธอไม่เคยเจอพวกเขาเลย ฉะนั้นเธอจึงไม่รู้สึกรู้สาอะไร ไม่รู้สึกหดหู่เลยด้วยซ้ำ เธอรู้สึกเพียงแค่ว่า—นี่มันเหลวไหลเป็นบ้าเลย
พอนึกไม่ออกเธอก็ไม่อยากจะคิดให้เปลืองสมองอีก เธออยากจะเก็บมันไว้จึงลุกไปที่ข้างเตียงแล้วดึงลิ้นชักออกมา เธอกำลังจะหากล่องใส่ทว่ากลับเหลือบไปเห็นเอกสารสัญญาของธนาคารหัวเซี่ยวางอยู่ในตู้เซฟ เดิมจงฉีเฟิงได้แบ่งหุ้นของว่านเยว่ให้กับเด็กทั้งสอง แถมยังยกเพชรเม็ดสีชมพูที่ลูกสาวชอบให้เม็ดหนึ่ง และเนื่องจากเธอไม่มีที่เก็บเธอก็เลยไปเปิดตู้เซฟที่ธนาคารหัวเซี่ยไว้ แล้วนำของมีค่าเหล่านั้นฝากไว้ข้างใน จากนั้นก็รอให้เด็กๆโตก่อนค่อยเอาออกมาให้พวกเขา
ตัวอักษรย่อของธนาคารหัวเซี่ยคือhx นี่มันบังเอิญไปรึเปล่านะ……
เธอหยิบโทรศัพท์ออกมากดหมายเลขบริการของธนาคารหัวเซี่ยแล้วโทรออก
ไม่นานก็มีคนรับสาย น้ำเสียงอันอ่อนโยนของผู้หญิงคนหนึ่งดังลอดออกมา“สวัสดีค่ะ นี่คือหมายเลขบริการของธนาคารหัวเซี่ย ไม่ทราบว่าต้องการให้ทางเราช่วยอะไรคะ?”
หลินซินเหยียนมองไปที่ตัวอักษรบนสร้อยแล้วถามขึ้น“โทษนะคะคือทางพวกคุณมีตู้เซฟหมายเลขZA0102ไหมคะ?”
“ไม่มีค่ะ”
หลินซินเหยียนขมวดคิ้วขึ้น หรือเธอจะเดาผิด?
“ตู้เซฟของทางเราล้วนเป็นตัวเลขสองหลัก เพราะงั้นจึงไม่มีหมายเลขตู้เซฟแบบนี้ค่ะ”
ตัวเลขสองหลัก
หลินซินเหยียนก้มมองตัวอักษรที่สร้อยเส้นนั้นอีกที hx.08.ZA0102 สุดท้ายก็สังเกตเห็นว่าตรงกลางเป็นเลขสองหลัก
“ถ้างั้น 08 ล่ะคะ?”
“ดิฉันขอตรวจสอบซักครู่นะคะ”ไม่นานเสียงบริการที่อยู่ปลายสายก็ดังขึ้น“มีค่ะ”
หลินซินเหยียนเหมือนจะเข้าใจคร่าวๆแล้วว่าตัวเลขที่อยู่บนสร้อยเส้นนี้คืออะไร 08 คงเป็นหมายเลขตู้เซฟของธนาคารหัวเซี่ย ส่วนตัวเลขแถวสุดท้ายคงจะเป็นรหัส
“ไม่ทราบว่าต้องการใช้บริการอะไรอีกไหมคะ?”
หลินซินเหยียนรู้สึกตัวขึ้นมาทันที เธอคิดไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่งแล้วถามขึ้น“คุณช่วยตรวจสอบให้หน่อยได้ไหมคะว่าใครเป็นคนฝากของไว้ในตู้เซฟนี้?”
“ขอโทษด้วยนะคะ ทางเราไม่สามารถทำให้ได้ค่ะ เนื่องจากนี่เป็นข้อมูลส่วนตัวของลูกค้า ทางเราต้องทำตามกฎระเบียบอย่างเคร่งครัดจึงไม่สามารถเปิดเผยข้อมูลส่วนตัวได้ แต่ถ้าคุณลูกค้าจำเป็นต้องใช้ ดิฉันแนะนำให้คุณลูกค้าเดินทางเข้ามาจัดการด้วยตนเองค่ะ”
“เข้าใจแล้ว ขอบคุณมากค่ะ ”หลินซินเหยียนกดวางสายแล้วนั่งลงข้างเตียงพร้อมกับจ้องสิ่งที่อยู่ในมืออย่างเหม่อลอย
เธอไม่รู้ว่านั่งอยู่นานเท่าไหร่ จนกระทั่งป้าหยูตะโกนเรียกให้ลงไปทานข้าวกลางวัน
เธอสงบสติอารมณ์แล้วเดินลงไปชั้นล่าง คฤหาสน์หลังใหญ่แห่งนี้มันเงียบเหงาและอ้างว้างมากอย่างเห็นได้ชัด หลินซีเฉินกับหลินลุ่ยซีนั่งขัดสมาธิเล่นตัวต่ออยู่บนพรหม ดูจากสีหน้าที่ค่อนข้างหงุดหงิดของหลินซีเฉินแล้ว เห็นที่คงจะอดทนเล่นเป็นเพื่อนน้องสาวแน่ๆ
เพราะว่ามีแต่ใบหน้าของหลินลุ่ยซีเท่านั้นที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม
เธอเดินลงมาพร้อมกับมองไปที่เด็กๆทั้งสอง“ไปล้างมือกินข้าวกันเด็กๆ”
หลินซีเฉินลุกพรวดแล้ววิ่งมาหาเธออย่างรวดเร็วราวกับถูกอภัยโทษ“ในที่สุดก็ถึงเวลาทานข้าวแล้ว”
หลินซินเหยียนบีบแก้มเขาเบาๆ“ลูกเป็นพี่ชายเล่นกับน้องแป้บเดียว จำเป็นต้องทำหน้าบูดเป็นตูดลิงขนาดนี้เลยหรอ?”
หลินซีเฉินส่ายหน้า“ถ้าเล่นอะไรที่มันสนุก ผมก็เต็มใจที่จะเล่นกับน้องอยู่แล้ว แต่ว่าเล่นเกมเด็กๆอย่างเช่นเกมเรียงไม้แบบนี้ มันน่าเบื่อจริงๆ”
หลินลุ่ยซีเดินเข้ามาช้าๆพร้อมกับเหลือบมองพี่ชาย“ถ้าพี่ไม่ชอบก็แค่บอกหนูก็ได้นี่นา หนูไม่ได้มัดพี่ไว้ แล้วก็ไม่ได้บังคับพี่ซักหน่อย ไม่เห็นจำเป็นต้องทำหน้าบูดขนาดนี้เลย”
หลินซีเฉินมองไปที่น้องสาว เด็กคนนี่นี่หัดปากดีตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?
“เอาล่ะ เอาล่ะ ไปล้างมือแล้วไปกินข้าวกัน”หลินซินเหยียนจูงมือเด็กทั้งสองไปล้างมือ หลินลุ่ยซีเปิดก๊อกน้ำแล้วยื่นมือไปล้างในอ่างเองโดยไม่ให้หลินซินเหยียนช่วย“หม่ามี๊ ต่อจากนี้ไปหนูจะดูแลตัวเองเอง คุณแม่แค่ดูแลหนูน้อยในท้องก็พอแล้ว”
หลินซินเหยียนตกตะลึงไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็หัวเราะออกมา จู่ๆเด็กคนนี้ก็เปลี่ยนไปเหมือนเป็นคนละคน รู้สึกว่าเธอจะโตขึ้นแล้วจริงๆนะเนี่ย
เธอพิงประตูแล้วมองไปที่ลูกสาวที่กำลังล้างมือและเช็ดมือ
ขณะที่กำลังทานข้าวอยู่ป้าหยูก็ถามขึ้น“คุณหนูจะหาครูมาสอนที่บ้านให้พวกเขาไหมคะ?”
เนื่องจากก่อนหน้านี้เฉิงยู่ซิ่วเป็นคนสอนพวกเขา ทำให้ไม่ต้องจ้างครูมาสอนที่บ้าน ทว่าตอนนี้……
หลินซินเหยียนมองไปที่เด็กๆ เรื่องนี้เธอจะเคารพความคิดเห็นของพวกเขา“ลูกๆอยากได้ครูมาสอนที่บ้านไหม?”
เด็กทั้งสองส่ายหน้าออกมาอย่างพร้อมเพรียงกัน“ไม่เอา”
พวกเขาไม่อยากถูกคนแปลกหน้าจ้องตอนเขียนหรืออ่านหนังสือ อีกอย่างพวกเขาก็ไม่ได้โง่ พวกเขายังไม่ได้เข้าเรียนเลยด้วยซ้ำ ฉะนั้นจะต้องการครูมาสอนวิชาอะไรล่ะ?
ป้าหยูหัวเราะร่า“ป้าก็ไม่ได้มีความรู้อะไรคงจะสอนให้ไม่ได้ ส่วนคุณหนูก็ท้องอยู่ ป้าก็เลยคิดว่า……”
“ย่าหยูไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องการเรียนของพวกเราหรอก พวกเราไม่ได้โง่สักหน่อย แถมยังไม่ได้เข้าเรียนโรงเรียนประถมเลยด้วยซ้ำ อย่าพึ่งเร่งพวกเราเลย นี่มันไม่ยุติธรรมเกินไปแล้ว”หลินซีเฉินดูจะผลักไสไล่ส่งกับการมีครูมาสอนที่บ้านมาก
หลินลุ่ยซีก็พูดสมทบขึ้นด้วย
“เอาล่ะแม่เข้าใจแล้ว”หลินซินเหยียนบอกให้พวกเขารีบกินข้าว พอทานข้าวเสร็จเด็กทั้งสองก็กลับขึ้นห้องไป พอไม่มีคนเล่นด้วยต่างคนก็ต่างไปหาเรื่องอื่นทำฆ่าเวลาด้วยตัวเอง
ป้าหยูเก็บกวาดทำความสะอาดอยู่ที่ห้องทานอาหาร
ส่วนหลินซินเหยียนก็นอนขดอยู่บนโซฟา ในใจก็กำลังตีกันว่าจะไปหรือไม่ไปธนาคารดี จะไปดูให้แน่ชัดว่าสุดท้ายแล้วในตู้เซฟมีของอะไรอยู่ดีรึเปล่า
เธอรู้ว่าที่จวงจื่อจิ่นพูดนั้นเป็นความจริง เพราะไม่อย่างนั้นสร้อยเส้นนี้คงไม่ทิ้งข้อมูลไว้หรอก
ไม่ช้าก็เร็วเธอก็ต้องเผชิญหน้ากับมัน คงหนีไม่พ้น
สุดท้ายเธอก็ตัดสินใจออกไปสืบเอง
ครั้งนี้เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้คนที่ไม่จำเป็นต้องรู้ เธอจึงพาบอดี้การ์ดไปด้วยเพียงคนเดียว
เธอเคยฝากของไว้ที่ธนาคารหัวเซี่ย และเธอยังเป็นลูกค้าวีไอพีที่นั่นด้วย ผู้จัดการที่เข้ามาต้อนรับเธอเป็นคนเดียวกันกับครั้งก่อนที่เธอมา
“มารับของใช่ไหมครับ?”ผู้จัดการสวมชุดอย่างเป็นทางการพร้อมกับมีป้ายชื่อติดไว้ที่อกข้างขวา เขาพาหลินซินเหยียนเข้าไปในห้องโถง
หลินซินเหยียนพยักหน้าตอบ
“ถ้างั้นเชิญตามผมมาเลยครับ ตู้เซฟของคุณอยู่ที่โซนหมายเลข11”ผู้จัดการพูดขึ้น
“ฉันมารับของจากตู้เซฟหมายเลข08ค่ะ”หลินซินเหยียนเอ่ยขึ้น
ผู้จัดการตะลึงไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็มีปฏิกิริยาตอบกลับอย่างรวดเร็ว“คุณฝากไว้สองอย่างใช่ไหมครับ?”
หลินซินเหยียนตอบอืมออกมา
“หมายเลข 08 อยู่ที่โซน C ตามผมมาทางนี้เลยครับ”
ผู้จัดการพาเธอไปยังพื้นที่เก็บของโซน C จากนั้นก็หันหน้าไปที่ตัวตรวจจับจดจำใบหน้า ไม่นานประตูโลหะขนาดใหญ่ก็เลื่อนเปิดออก ที่นี่ไม่มีหน้าต่าง เพราะงั้นแสงสว่างในห้องจึงมาจากหลอดไฟที่ติดอยู่บนเพดานล้วนๆ ส่วนผนังก็เหมือนจะทำมาจากโลหะ มันดูแข็งแรงและมั่นคงแบบที่ไม่มีอะไรสามารถเข้ามาทำลายได้
“ผมจะรออยู่ตรงนี้ คุณเข้าไปได้เลยครับ”ผู้จัดการยืนอยู่ด้านข้างประตู ด้านในยังมีประตูอยู่อีกบานหนึ่ง พอเดินเข้ามันก็จะเป็นที่เก็บตู้เซฟ
หลินซินเหยียนพูดกับบอดี้การ์ดข้างกายออกไป“นายรอฉันอยู่ตรงนี้แหละ”
“ครับ”
เธอเดินเข้าไปคนเดียว ตู้เซฟหมายเลข 08 อยู่ด้านในสุด
เธอสูดหายใจเข้าลึกจากนั้นก็ยื่นมืออกไปกดรหัส
หลังจากที่กดเลขรหัสตัวสุดท้ายเสร็จ เธอก็ได้ยินเสียงปลดล็อกดังขึ้น ตู้เซฟเปิดออกอย่างง่ายดาย หลินซินเหยียนเปิดฝาตู้เซฟออก