ครั้งนี้หมอได้ยินแล้ว เธอเอายาวางบนเคาน์เตอร์ให้ผู้ป่วยอีกคน แล้วหันกลับมาพูดกับซูจ้าน เอายาในมือเขามา แล้วพูดว่า “แก้อาการอาเจียน”
แก้อาเจียน?
ซูจ้านขมวดคิ้วยังอยากถามว่าโรคอะไร ต้องแก้อาเจียน?
แต่หมอคนนั้นเดินเข้าไปข้างในไปเตรียมยาให้ผู้ป่วยคนอื่น ซูจ้านถือยาเดินมา ในใจก็เดาไปด้วย ยังไงก็เป็นผู้ใหญ่แล้ว ถึงแม้จะไม่เคยผ่านมาด้วยตัวเอง แต่ก็เคยเห็น
เขาก้าวไปทีละก้าว มองฉินยาที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ยาว สายตามองไปที่หน้าท้องของเธอ พูดอย่างจริงจัง “คุณท้องใช่ไหม?”
ฉินยารู้สึกใจหาย วินาทีต่อมาก็เคร่งขรึมขึ้นมา “คุณพูดอะไรไปเลื่อย?”
ซูจ้านค่อยๆยื่นยาไปให้เธอ “ยานี้เป็นยาแก้อาเจียน หรือว่าคุณไม่ใช่อาการแพ้ท้อง?”
ฉินยาพยายามควบคุมสติ มองเขาอย่างเรียบเฉย “ซูจ้าน คุณคิดว่าฉันจะยอมคลอดลูกให้คุณเหรอ? ถึงจะท้อง ฉันก็ไม่เอาไว้” เธอแย่งยามาจากมือซูจ้าน “ฉันท้องเสียเพราะกินของผิด อาเจียนจนรู้สึกไม่สบาย ถึงมาเอายาที่โรงพยาบาล คุณเคยเห็นผู้หญิงท้องกินยาแก้อาเจียนเหรอ?”
เรื่องนี้ซูจ้านไม่รู้จริงๆ เขารู้ว่า คนตั้งครรภ์กินอะไรไปเลื่อยไม่ได้
“แต่…….”
“แต่อะไร?” ฉินยาพูดตัดเขา ไม่เหลือช่องว่างแม้แต่น้อย “ซูจ้าน ตอนนี้เราแยกทางกันแล้ว จากนี้ไปฉันยังมีชีวิตที่ดีได้ ถึงแม้ว่าฉันจะท้อง คุณคิดว่าฉันจะเอาไว้ไหม?”
ซูจ้านพูดไม่ออก เขากำมือไว้แน่น “คุณเกลียดผมขนาดนี้เลยเหรอ?”
“ใช่ ฉันเกลียดคุณ” พูดจบฉินยาก็หมุนตัวเดินจากไป
ซูจ้านกำลังอยากตามไป แต่โทรศัพท์ในกระเป๋าดังขึ้น เขาหยิบโทรศัพท์ออกมา จงจิ่งห้าวโทรมา ทั่วไปแล้ว จงจิ่งห้าวไม่ค่อยโทรหาเขาก่อน เขากดรับสาย “มาที่ลี่เจียงย่วน”
พูดจบก็วางสาย
ซูจ้านมองโทรศัพท์ที มองฉินยาที่เดินไปไกลแล้วที สุดท้ายต้องถอนหายใจยาว อยากได้ฉินยากลับมา ไม่ใช่เรื่องที่พูดแค่คำสองคำ เขาเก็บโทรศัพท์ เดินออกจากโรงพยาบาล ไม่ได้ตามฉินยาไป แต่ไปลี่เจียงย่วน
เขาเดินเข้าไป ก็มีพนักงานมาต้อนรับ ถามว่า “ไม่ทราบว่าคุณซูใช่ไหมคะ?”
ซูจ้านพยักหน้า “ผมมาหาจงจิ่งห้าว”
“ประธานจงอยู่ห้องเบอร์สอง คุณตามฉันมาค่ะ” พนักงานเดินนำซูจ้านไปที่ห้องเบอร์สอง
ภายในห้องกว้างขวาง โต๊ะกลมตัวหนึ่ง มีแค่เสิ่นเผยซานกับจงจิ่งห้าว
เขาดึงเก้าอี้ตัวหนึ่งแล้วนั่ง ถามอย่างยิ้มแย้ม “วันนี้วันอะไร?”
ทั่วไปแล้วพวกเขารวมตัวกัน เขาจะเป็นคนนัด จงจิ่งห้าวไม่ค่อยนัดพวกเขากินข้าว เพราะงานยุ่ง เสิ่นเผยซวนก็งานเยอะ มีแต่เขา ที่ค่อนข้างมีเวลา
เสิ่นเผยซวนฉีกมุมปากยิ้มเล็กน้อย “ไม่ต้องยิ้ม ได้เวลานายร้องไห้แน่”
ซูจ้านต่อปากต่อคำ “ยังมีอะไรที่วุ่นวายกว่าใจฉันตอนนี้อีก?”
ตอนนี้สำหรับเขาแล้ว ก็คือฉินยา
สุขภาพของคุณย่าค่อยๆดีขึ้นแล้ว มีแค่ทัศนคติของฉินยา ยังคงแข็งมาก เขาทำอะไรไม่ได้เลย
ตอนนี้ฉินยาไม้อ่อนไม้แข็งก็ไม่กิน
เขาหมดปัญญาแล้วจริงๆ
“เผยซวนดื่มเป็นเพื่อนฉันหน่อย ฉันอารมณ์ไม่ดี” ซูจ้านเรียกพนักงานเข้ามา เสิ่นเผยซวนดึงเขาไว้ ให้พนักงานออกไป “ยังไม่สั่งอาหารตอนนี้ คุณออกไปก่อน ตอนสั่งอาหารค่อยเรียกคุณ”
ซูจ้านจ้องเสิ่นเผยซวน “มาร้านอาหารไม่กินข้าว ดูหนังเหรอ?”
เสิ่นเผยซวนพูดอย่างจริงจัง “ใช่ มาดูหนังนั่นแหละ”
ซูจ้านหัวเราะ “ล้อฉันเล่นเหรอ…….”
ปรากฏว่าคำพูดเขายังพูดไม่จบ ก็เห็นจอที่แขวนอยู่บนผนังสว่าง เขามองหน้าจออย่างตกใจ “จะดูหนังจริงเหรอ?”
แต่เขาพบว่ามันไม่ใช่ เพราะภาพที่แสดงเป็นภาพของห้องอาหารอีกห้องหนึ่ง
ผู้ชายเสื้อเชิ้ตลายดอกคนหนึ่งนั่งอยู่ในนั้น ซูจ้านดูดีๆ รู้สึกคุ้นหน้า “นี่มันเพื่อนร่วมห้องที่มหาลัยของเฟยเฟยไม่ใช่เหรอ?”
ซูจ้านกับหลิวเฟยเฟยก็เป็นเพื่อนร่วมมหาลัย แต่ไม่ได้อยู่ห้องเดียวกัน ส่วนลูกเศรษฐีคนนี้เรียนห้องเดียวกับหลิวเฟยเฟย
พอเห็นเขา ซูจ้านก็คิดถึงเรื่องสมัยก่อนไม่น้อย “เผยซวนนายยังจำได้ไหม? เขา……”
ซูจ้านชี้คนในจอ “เขาขับรถMaseratiไปโรงเรียน อวดดีจะตาย ตอนนี้ยังไม่ล้มละลายเหรอ?”
เสิ่นเผยซวนเห็นเขาไม่พูด
ไม่นานซูจ้านก็รู้สึกผิดปกติ เขาหันไปดูเสิ่นเผยซวนแล้วหันไปมองจงจิ่งห้าว “พวกนายจะทำอะไร? เรียกฉันมาร้านอาหาร ไม่ให้กินข้าว มาให้ดูคุณชายเจ้าสำราญคนหนึ่งทำไม?”
เสิ่นเผยซวนกลัวเขารู้ความจริงแล้วจะรับไม่ได้ พูดอย่างอ้อมค้อม “เคยคิดไหมว่าหลายปีนี้หลิวเฟยเฟย ไปทำอะไรมาบ้าง?”
สมองซูจ้านหมุนเร็วมาก จับใจความสำคัญได้อย่างรวดเร็ว “เกี่ยวข้องกับคุณชายลูกเศรษฐีคนนี้?”
เสิ่นเผยซวนเงียบไม่พูดอะไร เท่ากับยอมรับ
ซูจ้านลุกขึ้นกะทันหัน “ฉันไปถามเขาดู”
เสิ่นเผยซวนดึงเขาไว้ “นายเป็นคนวู่วามแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่?”
ซูจ้านมองเสิ่นเผยซาน “ฉันเข้าไปถามหน่อย จะเป็นไรไป?”
“เดี๋ยวก่อน” เสิ่นเผยซวนปล่อยเขา “เดี๋ยวนายก็รู้คำตอบเอง”
ตอนนี้ซูจ้านถึงเข้าใจ เขามองจงจิ่งห้าวแล้วมองเสิ่นเผยซวน “พวกนายตามสืบเฟยเฟยเหรอ?”
เสิ่นเผยซวนได้ยินคำว่าเฟยเฟย อึดอัดใจมาก
เหล่ตามองเขา สุดท้ายไม่พูดอะไรเลย
ขณะนี้ มีความเคลื่อนไหวในจอ ประตูที่ถูกปิดแน่นกำลังเปิดออก หลิวเฟยเฟยเปลี่ยนจากท่าทางไร้เดียงสาที่อยู่ต่อหน้าซูจ้าน คนรักเก่าเจอกันก็ต้องแต่งตัวมาอย่างดี
ชุดกระโปรงสั้นสีดำ โชว์ขาอ่อน เสื้อคลุมขนสุนัขจิ้งจอกห่อไหล่ไว้ ที่เท้าใส่ส้นสูงสีแดง แต่งหน้ามาอย่างดี ท่าทางยั่วยวน
ลู่ยวนเป็นคนนัดเธอ เธอคิดว่าลู่ยวนคิดถึงความดีของเธอ ถ้าหากลู่ยวนยอมหย่าเพื่อมาแต่งงานกับเธอ เธอก็ยินดี
เพราะว่าจะทำให้ซูจ้านกลับมาหาเธอยากเกินไป
ซูจ้านเบิกตากว้าง เขาเพิ่งเคยเห็นหลิวเฟยเฟยแบบนี้เป็นครั้งแรก
ท่าทางที่เขาแสดงต่อหน้าคนอื่นมักไร้เดียงสา ร่าเริงสดใส
“ทำไมถึงคิดถึงฉันได้?” หลิวเฟยเฟยบิดเอวเดินเข้าไปด้วยท่าทางสง่างาม ไปนั่งบนตักของลู่ยวน เสมือนเป็นเรื่องปกติ และเหมือนเป็นความเคยชิน
ลู่ยวนหันไปมองกล้องตรงมุมขวา กอดเอวของหลิวเฟยเฟยไว้ “คิดถึงคุณ ก็มาหาคุณไง ทำไม ห่างกับผมมาตั้งนานไม่คิดถึงผมเหรอ?”
ท่านปู่ลู่ ก็คือพ่อของลู่ยวนมีโครงการหนึ่งที่อยากร่วมงานกับจงจิ่งห้าวมาตลอด จงจิ่งห้าวไม่ยอมตกลง ครั้งนี้ จงจิ่งห้าวตกลงร่วมงานกับท่านปู่ลู่ แต่มีข้อเสนอ
นี่ก็คือเหตุผลที่ลู่ยวนยอมมาปรากฏตัวในจอแต่โดยดี
หลิวเฟยเฟยผลักเขาออก “คิดถึงจะไปมีประโยชน์อะไร? คุณมีเมียแล้ว ฉันเป็นตัวอะไร?ลู่ยวนเดินเข้าไป “ผมกับเขาไม่มีความรู้สึก”
“ถ้าอย่างนั้นคุณแต่งงานกับฉันได้ไหมล่ะ?” หลิวเฟยเฟยมองเขาอย่างคาดหวัง อายุอย่างเธอแล้ว เธอหวังที่จะมีครอบครัว
“เฟยเฟยคุณรู้ไหม ครอบครัวของคนที่ผมแต่งงานด้วยดีมาก……”
“แต่ฉันอยู่กับคุณมาสิบปีแล้ว ตอนนั้นฉันทิ้งทุกอย่างเพื่ออยู่กับคุณ หลายปีนี้ ฉันทำแท้งเพื่อคุณมากี่ครั้ง? เมียคุณพาคนมาทำร้ายฉัน ทำให้ฉันไม่สามารถมีลูกได้อีก” พูดถึงสิ่งที่ทำให้เธอเจ็บ หลิวเฟยเฟยยิ่งอารมณ์เสีย เธอจับแขนเสื้อของลู่ยวนไว้ “คุณจะชดใช้กันช่วงเวลาเยาว์วัยของฉันยังไง?”
ลู่ยวนมองเธอนิ่งๆ “มันเป็นเรื่องที่ต่างคนต่างยอม หรือว่าตอนนั้นที่คุณทิ้งไอ้หนุ่มยากจนคนนั้นไปกับผม ไม่ใช่เพราะเงินของผมเหรอ?”
หลิวเฟยเฟยเงียบ
ตอนนั้นเธออยู่กับเขาเพราะเงินจริง เธอคิดว่าด้วยหน้าตาและฝีมือของเธอ ต้องเป็นคุณนายตระกูลมหาเศรษฐีได้แน่นอน แต่ว่า อยากแต่งเข้าตระกูลมหาเศรษฐี มันยากมาก
ลู่ยวนเดินเข้าไปกอดเธอ “ตอนนี้ผมยังรักษาความสัมพันธ์กับคุณได้ คุณยอมกลับมาไหม?”