Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร – ตอนที่ 552

ตอนที่ 552

บทที่ 552 : ฝึกฝนอย่างบ้าคลั่ง!
ความจริงแล้วหญ้าหยางก็ไม่ใช่หญ้า! และมันไม่ควรถูกจำแนกไว้ในกลุ่มพืชด้วยซ้ำไป ลักษณะของมันมีรูปร่างคล้ายกับหน่อไม้ที่เพิ่งงอกจากพื้นดิน และมีเพียงส่วนโค้งเล็กๆที่โผล่จากพื้นผิวดินราวสามเซ็นติเมตรเท่านั้น ส่วนที่เหลือทั้งหมดจะฝังอยู่ใต้ดิน
หญ้าหยางจะขึ้นในบริเวณที่มีพลังหยางบริสุทธิ์จำนวนมากเท่านั้น จึงนับได้ว่าหญ้าหยางถูกสร้างขึ้นจากพลังหยางในปริมาณที่นับไม่ถ้วน และใช้เวลาในการเติบโตนานหลายปี มักจะพบเห็นได้บนภูเขาในบริเวณที่แสงแดดสาดส่องถึง
หญ้าหยางจะเติบโตขึ้นได้อย่างสมบูรณ์นั้นต้องมีทั้งพลังหยางบริสุทธิ์ที่รวมตัวกันได้มากพอ และมีแสงแดดที่เพียงพอด้วยเช่นกัน
ส่วนหญ้าหยินที่อยู่ตรงข้ามกันนั้น จะมีลำต้นอยู่ใต้ดินเช่นกัน รูปร่างของมันจะคล้ายกับมันเทศหรือมันฝรั่งที่เติบโตอยู่ใต้ดินทั้งหัว อีกทั้งยังมีรากยาวทั้งหมดเก้าเส้น ไม่มากและไม่น้อยไปกว่านี้
หญ้าหยินนั้นมีลักษณะเด่นอยู่สองอย่างคือ แม้จะมีรากเก้าเส้นอยู่ใต้ดิน แต่ก็จะมีใบเพียงหนึ่งหรือสองใบเท่านั้นที่งอกอยู่บนพื้นผิวดิน และสองรากทั้งเก้าเส้นของหญ้าหยินนั้นจะมีความราวกับมีดที่ใช้แทงลงไปในผืนดิน แม้ว่ามันจะงอกอยู่ใต้ดิน แต่ตัวมันกลับไม่เปื้อนด้วยดินโคลนเลยแม้แต่นิดเดียว
ดังนั้นหญ้าหยินอาจมีชื่อเรียกอีกอย่างว่าหญ้าหยินเก้าราก ส่วนหญ้าหยางนั้นก็มีเพียงแค่ชื่อเดียว
ส่วนในเรื่องของตำแหน่งในการเติบโตนั้น หญ้าหยางจะเติบโตทางฝั่งที่ต้องข้ามหุบเขาซึ่งอยู่ระหว่างเขามังกรกับเขาหยกด้านใต้ และจะเกิดตรงข้ามกับหญ้าหยิน
ทางด้านเขาหยกด้านใต้ และเขามังกรนั้น แห่งหนึ่งหันหน้าไปทางทิศใต้ ส่วนอีกแห่งหันหน้าไปทางทิศเหนือ และตรงกลางจะมีหุบเขาที่เป็นพื้นที่กว้าง และใต้ดินมีแม่น้ำไหลลึกจากทางทิศตะวันตกไปทางทิศตะวันออก
หญ้าหยางจะเกิดอยู่ทางด้านทิศเหนือของหุบเขาจึงอยู่ทางฝั่งของเขามังกร ส่วนหญ้าหยินก็จะเกิดทิศใต้ของหุบเขา จึงอยู่ทางฝั่งของเขาหยกด้านใต้
ค่ายกลมังกรหยินหยางเองก็ถูกสร้างขึ้นตามแนวเส้นทางนี้เช่นกัน ดังนั้นที่หลิงหยุนลงไปสำรวจก้นหลุมยักษ์จนสามารถเข้าสู่ขั้นปรับร่างกาย-4 และฝึกวิชาพลังลับหยินหยางได้สำเร็จแล้ว จากนั้นจึงได้เดินตรงไปยังดวงตามังกรหยินนั้น ก็ล้วนแล้วแต่อยู่ใต้ดินของหุบเขาที่อยู่ระหว่างเขามังกรกับเขาหยกด้านใต้ทั้งสิ้น
ตอนนี้หลิงหยุนมาถึงเขามังกรที่สูงชัน และมีแสงแดดส่องกระทบ ซึ่งเป็นบริเวณที่หญ้าหยางเจริญเติบโต หลิงหยุนจึงนั่งลงขัดสมาธิ และเริ่มดูดซับเอาพลังหยางบริสุทธิ์ที่ปล่อยออกมาจากหญ้าหยางเข้าไปในร่างกาย
หลังจากที่ได้ผ่านช่วงเวลาแห่งความเป็นความตายมาหลายครั้ง ตอนนี้หลิงหยุนก็ได้เข้าสู่ระดับกลางของขั้นปรับร่างกาย-7 แล้ว และจุดตันเถียนกับเส้นลมปราณของเขาก็แข็งแกร่งกว่าผู้ฝึกบ่มเพาะคนอื่นๆถึงร้อยเท่า
ดังนั้นแม้ตอนนี้หลิงหยุนจะกำลังฝึกฝนอยู่ในขั้นเดียวกันกับนักบ่มเพาะคนอื่นก็ตาม แต่ร่างกายของเขากลับต้องการพลังหยินและหยางในปริมาณที่มากกว่าผู้ที่กำลังฝึกฝนอยู่ในระดับเดียวกันถึงร้อยเท่า
และประโยชน์ที่หลิงหยุนได้รับจากการมีจุดตันเถียนและเส้นลมปราณที่อัศจรรย์นี้ ก็ทำให้เขาซึ่งยังไม่เข้าสู่ขั้นปรับร่างกาย-8 นี้ สามารถเอาชนะยอดฝีมือขั้นเซียงเทียน-4 ได้
ซึ่งเป็นไปแทบไม่ได้ที่จะสามารถสังหารคู่ต่อสู้ที่เหนือกว่าตนอยู่หลายขุม ความแข็งแกร่งของหลิงหยุนจึงนับว่าเป็นเรื่องที่น่าอัศจรรย์ และน่าทึ่งอย่างมาก
และหากเพิ่มอานุภาพของวิชาดาราคุ้มกายเข้าไปด้วยแล้ว อีกทั้งยังมีกระบี่โลหิตแดนใต้ กับกระบี่มังกรขาว จะทำให้หลิงหยุนสามารถรับมือกับยอดฝีมือขั้นเซียงเทียน-6 ได้อย่างไม่ยากลำบากนัก แต่ก็คงยากที่จะสามารถเอาชนะยอดฝีมือขั้นเซียงเทียน-6 ได้!
และนี่คือเหตุผลว่าเพราะเหตุใดหลิวซุ่ยเฟิงที่อยู่ในขั้นเซียงเทียน-5 จึงได้พ่ายแพ้ให้กับหลิงหยุน!
หนึ่งชั่วโมงต่อมา.. หลังจากที่ดูดซับเอาพลังหยางเข้าไปจนพอแล้ว หลิงหยุนก็ไปยังตำแหน่งที่หญ้าหยินเจริญเติบโต และเริ่มดูดซับเอาพลังหยินเข้าไปในร่างกาย
เพราะหลิงหยุนเป็นเพศชาย พลังหยางในร่างกายจึงมีมาโดยกำเนิดอยู่แล้ว เขาจึงเลือกที่ดูดซับพลังหยินเข้าไปให้มากเท่าที่จะทำได้ เพื่อให้พลังหยินและหยางในร่างกายมีความสมดุลในระหว่างฝึก
แต่ความจริงแล้ว.. หลิงหยุนก็ไม่จำเป็นต้องดูดซับเอาพลังหยิน-หยางเหล่านี้เพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งก็ได้ เพราะด้วยวิชาพลังลับหยินหยางที่เขาฝึกนั้น สามารถสร้างพลังหยิน-หยางบริสุทธิ์ขึ้นในร่างกายได้เอง แต่เพราะตอนนี้หลิงหยุนต้องการเร่งการฝึกฝนของตนเองให้รุดหน้ารวดเร็วมากขึ้น!
และยิ่งก้าวหน้าได้เร็วมากเท่าไหร่.. ก็ยิ่งดี!
หลังจากที่ดูดซับพลังหยิน และพลังหยางเข้าไปจนพอใจแล้ว หลิงหยุนก็ลุกขึ้น และตรงไปยังตำแหน่งที่มีหญ้าน้ำลายมังกรเติบโตต่อ
หลิงหยุนเริ่มดูดซับเอาพลังชีวิตจากหญ้าน้ำลายมังกรเข้าไป แม้ว่าพลังชีวิตที่ได้จากหญ้าน้ำลายมังกรนั้นจะไม่เข้มข้นเท่าการดื่มน้ำลายมังกร แต่การทำเช่นนี้ก็สามารถช่วยหลิงหยุนประหยัดน้ำลายมังกรที่มีอยู่ได้ อีกทั้งหญ้าน้ำลายมังกรนั้นก็ปล่อยพลังชีวิตออกมาทุกวัน และยิ่งเติบโตก็จะยิ่งมีความเข้มข้นขึ้น
แต่น้ำลายมังกรที่เขาดื่มเข้าไปนั้น นับว่ามีแต่จะร่อยหลอลงไป แม้ว่าจะยังมีน้ำลายมังกรเหลืออยู่มากมายหลายพันกิโลกรัม แต่นั่นก็ไม่ได้มากมายสำหรับหลิงหยุนเลย!
หลิงหยุนในเวลานี้จะเรียกว่าเป็นนักสูบน้ำลายมังกรก็ว่าได้! อีกทั้งต่อไปหนิงหลิงยู่ก็ต้องดื่ม ฉินเตงเฉี่วยเองก็ต้องดื่ม ใหนจะยังมีไป๋เซียนเอ๋อ หลินเมิ่งหาน เสี่ยวเม่ยหนิง หลงหวู่ และแม้แต่ฉางหลิงที่ต้องดื่มด้วยเช่นกัน จากที่หลิงหยุนคำนวณแล้ว น้ำลายมังกรที่เหลือนั้นเขาคงใช้ได้อีกเพียงครึ่งปีเท่านั้น
โชคดีที่พลังชีวิตในร่างกายของหลิงหยุนตอนนี้ยังมีอยู่มาก เพราะตอนที่อยู่บนเกาะเตียวหยูนั้น ระหว่างที่ต้องรับมือกับอสุนีบาตจากเมฆหลากสีนั้น หลิงหยุนก็ได้สมุดและพู่กันจักรพรรดิช่วยคุ้มครองชีวิตไว้ และตอนนั้นเขาก็ได้อาบพลังอมตะเข้าไปจนเต็มเปี่ยม เพียงแต่ยังไม่สามารถนำออกมาใช้ได้เท่านั้น
ส่วนสายฟ้าที่หลิงหยุนดูดซับเข้าไปในร่างกายนั้น หลิงหยุนเองก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรกันมันดีเช่นกัน แต่หลิงหยุนก็เชื่อมั่นว่า ในวันข้างหน้าหากต้องเผชิญกับบททดสอบจากสวรรค์อีกครั้ง พลังสายฟ้าเหล่านี้คงจะทำให้เขาต้องประหลาดใจอย่างแน่นอน!
หลังจากที่ร่างกายเปี่ยมไปด้วยพลังชีวิตแล้ว หลิงหยุนก็เริ่มโคจรดาราคุ้มกาย และแสงจันทร์ก็สาดส่องลงมาที่ร่างของหลิงหยุนจนเป็นสายราวกับน้ำตก
ในเวลาเดียวกันนั้นเอง พลังดวงดาวนับล้านๆดวงก็เปล่งประกายระยิบระยับอยู่รอบตัวหลิงหยุน คล้ายกับจะเร่งเร้าให้เขารีบฝึกฝนให้เข้าสู่ขั้นที่สามโดยเร็ว
เมื่อใดก็ตามที่หลิงหยุนสามารถฝึกฝนจนเข้าสู่ขั้นที่สามของดาราคุ้มกายได้ ความแข็งแกร่งของร่างกายก็จะเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า ถึงเวลานั้นต่อให้หลิงหยุนยังไม่สามารถเข้าสู่ขั้นพลังชี่ได้ เขาก็มั่นใจว่าจะสามารถรับมือกับคนของตระกูลต่างๆในเมืองหลวงได้
แต่ยิ่งนับว่า การฝึกวิชาดาราคุ้มกายก็ยิ่งยากเย็นมากขึ้น และไม่ว่าหลิงหยุนจะฝึกหนักอย่างบ้าคลั่งมากเพียงใด ก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะสามารถเข้าสู่ขั้นที่สามได้เลย
ลักษณะนี้ก็จะคล้ายๆกับคนที่เคยทำสถิติวิ่งหนึ่งร้อยเมตรได้ภายในเก้าวินาทีถึงสิบครั้ง แต่หากจะให้ทำสถิติใหม่เป็นเจ็ดวินาทีก็เป็นเรื่องที่ยากเย็นแสนเข็ญ?
และหากต้องการจะก้าวสู่ขั้นที่สามให้ได้นั้น หลิงหยุนคิดว่าจำเป็นต้องหาวิธีการใหม่ๆ
หลิงหยุนหลับตาลงเบาๆ และเริ่มฝึกฝนต่อจนลืมเวลา..
จนกระทั่งเสียงนกบินพรึบพรับที่ปลุกหลิงหยุนให้ตื่นจากการฝึกฝน เขาค่อยๆลืมตาขึ้น และพบว่าท้องฟ้ากำลังสว่างไสวเข้าสู่รุ่งสางแล้ว
หลิงหยุนลืมตาส่ายหน้าพร้อมกับฝืนยิ้ม เขาพยายามอย่างที่สุดแล้วที่จะทะลวงเข้าสู่ขั้นสามของดาราคุ้มกายถึงสิบกว่าครั้งแล้ว แต่ก็ล้มเหลวทุกครั้ง
แต่ความล้มเหลวนั้นไม่ได้เกิดจากความรีบร้อน หรือเพราะพรสวรรค์ของหลิงหยุนไม่เพียงพอ แต่เป็นเพราะวิชาดาราคุ้มกายนั้น ยิ่งเข้าสู่ขั้นสูงมากขึ้นเท่าไหร่ การฝึกฝนก็จะยิ่งยากขึ้นมากตามไปด้วย เรียกได้ว่าไม่ใช่วิชาที่จะฝึกกันได้ง่ายๆ
ยิ่งวิชาที่ฝึกมีอานุภาพสูงมากเท่าไหร่ การฝึกฝนก็จะยิ่งยากเย็นแสนเข็ญมากขึ้นเท่านั้นเช่นกัน!
หากไม่มีวิชาดาราคุ้มกายนี้ กำลังภายในของหลิงหยุนคงเทียบเท่ากับยอดฝีมือขั้นเซียงเทียน-2 เท่านั้น และคงยากที่จะเอาชนะนินจาทั้งร้อยคนบนเกาะเตียวหยูได้ อีกทั้งคงยากที่จะทานทนต่ออสุนีบาตที่น่าสยอดสยองเหล่านั้นได้ด้วย
หากวิชาดาราคุ้มกายฝึกได้ง่ายดายเช่นนั้น หลิงหยุนก็คงเข้าสู่ขั้นที่หกได้ในไม่ช้า
หากวิชาดาราคุ้มกายฝึกได้อย่างง่ายดายแล้วล่ะก็ หลิงหยุนคงจะเข้าสู่ขั้นที่หกได้ในไม่ช้า ถึงตอนนั้นหลิงหยุนคงไม่หวาดกลัวอะไร ไม่ว่าจะเป็นเวทย์มนต์คาถา บุกน้ำลุยไฟ
แต่ความจริงแล้ว.. การจะเข้าสู่ขั้นที่หกของดาราคุ้มกายได้นั้น ด้วยพรสวรรค์ที่หาใครเทียบได้ยากอย่างหลิงหยุน ก็คงต้องใช้เวลาอีกเป็นสิบปีเลยทีเดียว!
“ดูเหมือนว่าการคิดถึงการเข้าสู่ขั้นพลังชี่น่าจะมีความเป็นไปได้มากกว่า..” หลิงหยุนได้แต่พึมพำกับตัวเอง
หลิงหยุนหันไปมองหญ้าน้ำลายมังกรที่อยู่ข้างๆ และหญ้าหยิน หญ้าหยางที่อยู่ไกลออกไป พร้อมกับคิดในใจว่าหลังจากสอบเอนทรานซ์เสร็จ เขาคงจะต้องย้ายหญ้าทั้งสามชนิดนี้ไปปลูกที่บ้านเลขที่-1
ค่ายกลมังกรหยินหยายได้ถูกทำลายลงแล้ว และน้ำลายมังกรที่อยู่ใต้ดินก็ถูกหลิหยุนนำมาแล้ว หากเขาไม่ย้ายทั้งหมดไปปลูกที่บ้าน หญ้าทั้งสามชนิดนี้คงต้องตายหมดภายในหนึ่งเดือนอย่างแน่นอน
“ได้เวลากลับบ้านแล้ว!”
หลิงหยุนบอกกับตัวเองเมื่อเห็นว่าเป็นเวลาตีห้าพอดี และเพื่อไม่ให้ผู้คนที่มาออกกำลังกายในตอนเช้าพบเห็น เขาจึงรีบลุกขึ้น และพุ่งกลับไปที่บ้านทันที
หลิงหยุนกลับไปที่รถแลนด์โรเวอร์ และขับกลับเข้าบ้านไป..
………
“ใหนบอกจะรีบกลับบ้าน.. นี่เล่นกลับตอนเช้าเลย!”
เหมี่ยวเสี่ยวเหมาเองก็เพิ่งจะฝึกอยู่หน้าลานบ้านเสร็จพอดี และเจ้าดักแด้ทองคำก็กำลังเกาะอยู่ที่ไหล่ของเธอ
หลังจากที่เหมี่ยวเสี่ยวเหมาได้พบกับไป๋เซียนเอ๋อแล้ว เจ้าทองอ้วนก็ลดความกลัวในตัวไป๋เซียนเอ๋อลงด้วยเช่นกัน
เหมี่ยวเสี่ยวเหมากำลังไม่พอใจหลิงหยุน แต่กลับเห็นหลิงหยุนเดินเข้าบ้านมาอย่างมีความสุข..
“พี่หลิงหยุน.. ท่านกลับมาแล้วเหรอ?” ไป๋เซียนเอ๋อรีบวิ่งออกมารับ
หลิงหยุนลูบไหล่ไป๋เซียนเอ๋อพร้อมกับยิ้ม และจ้องมองไปที่ไหล่ของเหมี่ยวเสี่ยวเหมา พร้อมกับกวักมือเรียกเจ้าทองอ้วน
“มาหาข้าเร็วเข้า.. ข้ามีอะไรดีๆให้เจ้าด้วยนะ!”
เจ้าทองอ้วนเมินหน้าหนี และไม่สนใจหลิงหยุนที่กำลังกวักมือเรียก หลิงหยุนจึงได้แต่คิดในใจว่า ‘งั้นเจ้าอดดื่มน้ำลายมังกรกับโสมพันปี!’
“คุณไม่ควรฝึกวิชาที่ใช้เวทย์มนต์พวกนั้นอีก!” หลิงหยุนร้องบอกเหมี่ยวเสี่ยวเหมาอย่างไร้มารยาท
“นายพล่ามไร้สาระอะไร..? ฉันฝึกวรยุทธไม่ใด้ฝึกเวทย์มนต์!” เหมี่ยวเสี่ยวเหมาทำตาดุใส่หลิงหยุน
“การฝึกที่ใช้เลือดตัวเองเป็นสื่อกลางสร้างความแข็งแกร่งนี่นะ.. แบบนี้ไม่เรียกว่าเวทย์มนต์ แล้วจะให้เรียกว่าอะไร?” หลิงหยุนตอบอย่างชัดเจน ไม่ช้า และไม่เร็วจนเกินไป!
ไม่เช่นนั้นเหตุใดจึงต้องเลี้ยงหนอนกู่? และหนอนกู่กินสิ่งใดเป็นอาหาร?
คำพูดเพียงไม่กี่คำของหลิงหยุน ก็สามารถอธิบายสาระสำคัญของวิชาหนอนกู่ได้อย่างแจ่มแจ้ง
เหมี่ยวเสี่ยวเหมาถึงกับตกตะลึงจนพูดอะไรไม่ออก!
“นี่นาย.. นายรู้ได้ยังไง?” หลังจากได้สติ เหมี่ยวเสี่ยวเหมาก็พึมพำออกมา
“ผมแค่รู้นิดเดียว.. แต่นิดเดียวของผมนั้นก็รู้มากกว่าคุณหลายร้อยเท่า..” หลิงหยุนตอบยิ้มๆ
“นี่.. พูดจาดีๆไม่เป็นหรือยังไง? คนอย่างนายแม้แต่ผียังไม่อยากคุยด้วยเลย!” เหมี่ยวเสี่ยวเหมาโกรธจนตัวสั่น

Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร

Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร

ความเป็นอมตะของหลิงหยุนได้มลายหายไป.. ทำให้เขาตกลงมาสู่โลกมนุษย์ ในยุคที่เต็มไปด้วยความเสื่อมทรามอย่างที่สุด จากนั้น.. หลิงหยุนจะค่อยๆ บ่มเพาะพลังในตัวเองทีละขั้น ทีละขั้น และไต่ลำดับขึ้นไปต่อกรกับสวรรค์ได้อย่างไร..

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท