เมื่อหลินซินเหยียน มาถึงโรงพยาบาล เหอรุ่ยเจ๋อกำลังนั่งอยู่ที่ระเบียงทางเดินนอกห้องผู้ป่วย มือทั้งสองค้ำลงบนหัวเข่าค้อมตัวลงเล็กน้อยเหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่ ขนาดที่ว่าแม้หลินซินเหยียนยืนอยู่ตรงหน้า เขาก็ยังไม่รู้ตัว
” ทำอะไรอยู่เหรอ ”
เหอรุ่ยเจ๋อเงยหน้าขึ้นมา เมื่อเห็นว่าเป็นหลินซินเหยียนจึงเก็บรีบเก็บอาการ ก่อนจะเดินเข้าไปดูอาการในห้อง ” สภาวะอารมณ์ของเเม่คุณ ไม่ค่อยมีเท่าไหร่ ”
หลินซินเหยียนก็พอจะเตรียมใจมาบ้างแล้ว ” อื้ม คุณกลับไปพักผ่อนเถอะ เดี๋ยวตรงนี้ฉันดูแลเอง ”
สายตาของเหอรุ่ยเจ๋อมองแฉลบไปที่ท้องของเธอ ” คุณก็ต้องพักผ่อนบ้างนะ ”
” วางใจเถอะค่ะ ฉันจะดูแลตัวเองอย่างดีเลย ” พูดจบหลินซินเหยียนก็ยิ้มให้เขาบาง ๆ
เหอรุ่ยเจ๋อเงียบไปชั่วขณะ ก่อนจะพยักหน้า ” ถ้ามีเรื่องอะไรก็เรียกผมแล้วกันนะ ”
หลินซินเหยียนตอบรับ เหอรุ่ยเจ๋อก็ยืนขึ้นแล้วเดินออกไปนอกห้อง เมื่อมองตามแผ่นหลังที่ไกลออกไปของเขา หลินซินเหยียนก็เม้มปาก ถึงแม้เธอจะรู้จักกันเขามานานแล้ว แต่สำหรับเรื่องที่เกี่ยวกับตัวเขา เธอไม่รู้เรื่องใด ๆ เลยสักนิด ภูมิหลังครอบครัวของเขา หรือคนที่ใกล้ชิดสนิทสนมกับเขา เธอไม่รู้อะไรเลยแม้แต่น้อย
เมื่อกี้ก็ดูเหมือนเขาจะมีเรื่องในใจ ถึงได้คิดจนใจลอยไปแบบนั้น
ทันใดนั้น เหอรุ่ยเจ๋อหยุดเท้าที่กำลังก้าวเดินอยู่ แล้วหันตัวกลับมามองหลินซินเหยียน ” ผมไปถามคุณหญิงที่อยู่ที่นั่นแล้วได้รู้เรื่องบางอย่างมานิดหน่อย ว่ามีคนให้เงินพวกเธอ แล้วให้พวกเธอไปพูดอะไรบางอย่าง แม้กระทั่งสาดเสียเทสีใส่บ้านของเธอ ”
หลินซินเหยียนพยักหน้ารับ
” อื้ม พี่คะ ถ้ามีเรื่องอะไรก็บอกฉันได้ตลอดเลยนะ ” หลินซินเหยียนมองไปที่เขา
เหอรุ่ยเจ๋อยิ้มบาง ” ยังไหวอยู่นะ ”
หลินซินเหยียนไม่ได้ยื้อถามต่อ ใคร ๆ ก็คงมีเรื่องที่ไม่อยากให้คนอื่นรู้กันทั้งนั้น
เมื่อเหอรุ่ยเจ๋อเดินจากไป เธอก็ไม่ได้เข้าห้องไปทันที แต่ในใจยังคิดอยู่ว่า ใครเป็นคนซื้อตัวเพื่อนบ้านพวกนั้นกันนะ
หลินหยู่หานเหรอ หรือเสิ่นซิ่วฉิง
แต่พวกหล่อนก็ไม่รู้ว่าเธอกำลังท้องอยู่
ถ้างั้น….
เพล้ง!
จู่ๆ ก็มีเสียงของบางอย่างแตกดังออกมาจากในห้อง หลินซินเหยียนตกใจก่อนจะผลักประตูเข้าไป ก็เห็นเท้าของจวงจื่อจิ่นเห็นอยู่บนเศษแก้ว เธอรีบพุ่งเข้าไป ก้มลงเก็บเศษแก้วที่อยู่บนพื้น ” แม่ แม่อยากกินน้ำเหรอคะ แม่นั่งก่อนนะเดี๋ยวหนูเก็บกวาดให้ก่อน แล้วจะเทน้ำให้แม่… ”
เธอยังไม่ทันได้พูดจบ ก็โดนจวงจื่อจิ่นคว้ามือของเธอไปกุมไว้ อารมณ์เธอดูเลื่อนลอย ” เหยียนเหยียน ”
หลินซินเหยียนเงยหน้า มองไปที่แม่ของเธอ ” ว่าไงคะ ”
จวงจื่อจิ่นดูเหมือนจิตใจว้าวุ่น แล้วบีบมือของหลินซินเหยียนที่กุมไว้แรงขึ้น ” ลูกในท้องของแก เอาออกไปเลยได้ไหม ”
ตอนนี้เพิ่งจะเป็นเพียงการเริ่มต้น ถ้าต่อไป ไม่มีพ่อ แถมเกิดมาผมทองตาฟ้าอีก คนอื่นจะมองพวกเธอยังไง
หลินซินเหยียนรู้ว่าจวงจื่อจิ่นได้รับความกระทบกระเทือนทางจิตใจแค่ไหน แต่ก็ไม่คิดว่าเธอจะพูดออกมาแบบนั้น
” แม่…. ”
จวงจื่อจิ่นคลายมือจากเธอ ก่อนจะพูดประโยคเดิม ๆ ซ้ำไปซ้ำมาเหมือนคนไม่มีสติอยู่กับเนื้อกับตัว ” แกไม่ยอมฉันรู้อยู่แล้วว่าแกต้องไม่ยอม ”
เธอนั่งลงบนเตียง ก่อนจะถอยกรูดไปติดหัวเตียง ประหนึ่งโดนผีสิง ” ซินฉีไม่อยู่แล้ว ไม่อยู่แล้ว… ”
หลินซินเหยียนตกตะลึง เหมือนไม่เข้าใจบางอย่าง เธอ เธอเป็นอะไรกันแน่
หลินซินเหยียนรีบเรียกพยาบาล จวงจื่อจิ่นก็ไม่วาย ยังไม่หยุดทำร้ายตัวเอง พยาบาลจึงต้องฉีดยาระงับประสาทให้เธอ
” จากการวินิจฉัยเริ่มต้น คนไข้อาจเป็นโรคจิตเภทครับ ” หมอพูดหลังจากการตรวจดูขั้นต้น
เมื่อได้ยินร่างกายของหลินซินเหยียนก็เซไปมา มือทั้งสองค้ำลองที่ตู้เพื่อพยุงร่างกายของตัวเองเอาไว้ ” ทำไมมันถึงได้ร้ายแรงขนาดนี้ล่ะคะ ”
” แม่ของคุณได้รับการกระทบกระเทือนทางจิตใจมาก่อนหรือเปล่า จริง ๆแล้ว มันคงไม่ได้เกิดขึ้นแค่ครั้งเดียวต้องมีความกดดันภายในใจมาเป็นเวลานาน เมื่อระเบิดอารมณ์แล้วจึงเกิดเป็นอาการแบบนี้ขึ้นครับ ”
หลินซินเหยียนได้ฟังที่หมอพูดก็ปากสั่น หลังจากที่แม่ถูกหลินกั๋วอันส่งไปอยู่ต่างประเทศ เธอก็ไม่เคยยิ้มอีกเลย ใจของเธอคงมีบาดแผล ไหนจะน้องที่เกิดมา ต้องกลายเป็นโรคออทิซึมแล้วจากไป รวมทั้งเรื่องที่เธอท้องอีก ไม่ว่าเรื่องไหนก็ทำร้ายจิตใจแม่ไม่น้อยเลย
พอมาเจอเรื่องที่สะเทือนจิตใจครั้งนี้ ก็กดลึกลงไปจนฟางในใจเส้นสุดท้ายของเธอขาดลง
การรองรับอารมณ์ของเธอ คงถึงขีดจำกัดไปเสียแล้ว แค่มีอะไรไปกระทบจิตใจอันบอบช้ำของเธอเพียงเล็กน้อยก็ทำให้เธอสูญเสียการควบคุมได้ในที่สุด
” ต้อง..ต้องรักษายังไงคะ ” หลินซินเหยียนพูดด้วยท่าทีตะกุกตะกัก ฝืนพูดออกไปเท่าที่จะพูดไหว
หมอถอนหายใจออกมา “โรคจิตเวทไม่ใช่อาการที่จะรักษาได้ง่าย ๆ คุณไม่ได้รู้จักกับหมอเหอหรอกเหรอ เขาเป็นจิตแพทย์ ผมคิดว่าเขาคงช่วยคุณได้ ”
หลินซินเหยียนนึกถึงท่าทีของเหอรุ่ยเจ๋อก่อนหน้า หรือจริง ๆ เขาจะรู้อะไรบางอย่าง
แต่ไม่กล้าเปิดปากบอกเธอ
” ผมแนะนำว่า ให้ย้ายแม่ของคุณไปแผนกจิตเวชนะครับ ”
หลินซินเหยียน พยักหน้ารับ
เมื่อหมอออกไปแล้วหลินซินเหยียนถึงกับต้องลงมากองกับพื้น มองไปทางจวงจื่อจิ่นก็รู้สึกว่าตัวเองจิตใจกำลังจะแหลกสลาย ใจของเธอนั้นเจ็บปวดทรมานจนแทบหมดหนทางจะหายใจ
ในหัวนึกย้อนกลับไปถึงตอนที่แม่นั้นไร้สติ จนถึงขั้นทำร้ายตัวเองเช่นนี้
วันนั้นจวงจื่อจิ่นก็ย้ายไปอยู่แผนกจิตเวช เพราะผู้ป่วยจิตเวชนั้น อารมณ์ไม่ค่อยมั่นคง นอกจากจะทำร้ายตัวเองได้แล้ว อาจไปทำร้ายคนอื่นแบบไม่ได้ตั้งใจ ที่นี่แม้จะเป็นคนที่สนิทกับผู้ป่วย ก็เยี่ยมได้แค่ในเวลาที่แผนกกำหนด
เรียกง่าย ๆ ว่ารักษาแบบแทบจะตัดขาดจากโลกภายนอกก็ว่าได้
เมื่อออกมาจากโรงพยาบาล หลินซินเหยียนก็เก็บข้าวของของจวงจื่อจิ่นและตัวเธอเอง จากนั้นก็คืนห้อง
เป็นเพราะของบนประตู เลยไม่ได้เงินมัดจำห้องคืน
ค่ายาและค่ารักษาของจวงจื่อจิ่น เหอรุ่ยเจ๋อช่วยเธอจ่ายทั้งหมด
ยิ่งทำให้เธอรู้สึกว่าเธอเริ่มติดหนี้เหอรุ่ยเจ๋อมากขึ้นเรื่อย ๆ
เมื่อเธอคิดอะไรไปเรื่อย รถก็มาจอดที่หน้าคฤหาสน์พอดี
เมื่อยืนอยู่หน้าคฤหาสน์ เธอยืนเหม่ออยู่ชั่วครู่ ไม่รู้ตัวเลยว่าตัวเองต้องยืนตั้งหลักอยู่ตรงนี้
ขณะที่เธอกำลังจะเข้าไป ก็มีรถคันหนึ่งขับเข้ามา ถึงเธอจะอยู่ที่นี่ได้ไม่นาน ก็รู้ได้ทันทีว่ารถคันนี้คือรถของจงจิ่งห้าว จึงยืนอยู่กับที่ไม่ขยับไปไหน
จงจิ่งห้าวก็ลงมาจากรถ เมื่อเห็นว่าคนที่ยืนอยู่ตรงนั้นคือ หลินซินเหยียน ก็พูดด้วยน้ำเสียงที่เรียบเย็นเล็กน้อย “เธอจะไปไหน”
เขาไปที่โรงพยาบาล ได้ข่าวว่าเธอทำเรื่องออกจากโรงพยาบาลแล้ว ครึ่งวันที่ผ่านมาเธอทำอะไรไปแล้วบ้างก็ไม่รู้
หลินซินเหยียนไม่ได้อธิบายอะไร แค่เรื่องของ จวงจื่อจิ่น เธอก็เหนื่อยใจจนไม่รู้จะพูดยังไงแล้ว
เธอตอบสั้น ๆ แค่ว่า “มีธุระน่ะ”
จงจิ่งห้าวขมวดคิ้ว เธอเป็นอะไรของเธอกันแน่
เขาสาวเท้าเข้ามาใกล้……
ในขณะที่สติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เหมือนสีหน้าของเขากำลังแสดงถึงความโกรธอยู่ จู่ ๆ ก็เห็นเงาคนซ้อนไปมาการรับรู้ของหลินซินเหยียนเริ่มพร่ามัวขึ้นทุกที แล้วภาพตรงหน้าก็ตัดเป็นสีดำ
ตอนนี้เธอสูญเสียการรับรู้โดยสิ้นเชิง
จงจิ่งห้าวรู้ตัวได้ไว วินาทีที่เธอกำลังล้มลง เข้าได้คว้าเอวของเธอไว้ทัน
เอวของเธอบางเสียจนไม่สามารถรู้ได้เลยว่าเป็นผู้หญิงที่กำลังตั้งท้องอยู่ ร่างกายของเธอนุ่มนิ่มไปหมด เมื่อได้ใกล้ชิด ทำให้รู้สึกเหมือนคุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูก เหมือนหัวใจกำลังเต้นจนจะหลุดออกมา
จงจิ่งห้าวขมวดคิ้ว ความรู้สึกลึกซึ้งนี้มันคืออะไรกัน
ไม่รู้ว่ามันหมายความว่ายังไง
ทั้ง ๆ ที่รู้จักกันได้ไม่นาน แต่ทำไมถึงเกิดความรู้สึกแปลก ๆ แบบนี้ขึ้นมาได้
ยังไม่ทันที่เขาจะได้โฟกัสกับสิ่งตรงหน้า ก็มีคนสองคนเดินออกมาจากประตูทางเข้า คนแรกก็คือ กวนจิ้ง ส่วนอีกคนก็คือ ไป๋จวู่เวย
เมื่อเห็น จงจิ่งห้าวกำลังอุ้ม หลินซินเหยียน สองคนก็ช็อกกับสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้า
โดยเฉพาะ ไป๋จวู่เวย ถ้าตรงหน้าไม่ใช่ จงจิ่งห้าว เธอคงโกรธจนตัวกระเด็นไปถึงไหนต่อไหนแล้ว
ในใจจะเป็นบ้าตายอยู่แล้ว!
“อะห้าว…นาย…..”
จงจิ่งห้าวอุ้มเธอขึ้นมา ก่อนจะหันตัวเข้าห้องไป กวนจิ้งมองไปที่ไป๋จวู่เวยที่ยังยืนอยู่ที่เดิม ” ประธานจง ถึงแม้จะแต่งงานกับคุณหลิน ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะรักหล่อน เป็นถึงสามีภรรยากัน คงเห็นเธอเป็นลมแล้วไม่ไม่คิดดูแลก็คงไม่ได้หรอกจริงไหมล่ะ ”
ไป๋จวู่เวยยิ้มอย่างเย็นยะเยือก ” อยู่ดี ๆ จะเป็นลมได้ไง ไม่ใช่เพราะมันจงใจหรอกเหรอ ”
กวนจิ้งยังไม่ทันได้ตอบโต้อะไร ไป๋จวู่เวยก็ต่อบทอีกประโยค ” นังนั่นไม่ได้ป่วยหรือเป็นอะไรเลย อยู่ดี ๆ ก็เป็นลมไม่คิดว่ามันแปลกหรือไง ”
คำพูดพวกนี้จะมีเหตุผลแค่ไหนกันเชียว
ถ้าเทียบกับหลินซินเหยียนแล้ว กวนจิ้งเชื่อใจไป๋จวู่เวยมากกว่า เพราะพวกเขารู้จักกันมานานแล้ว อีกทั้งเรื่องงานก็ยังเป็นเพื่อนคู่คิดกันอีก
ถึงแม้ หลินซินเหยียนจะเป็นผู้หญิงที่โชคไม่ค่อยดีนักแต่ก็ยังมีคนสนิทชิดเชื้อที่รายล้อม ต่างจาก ไป๋จวู่เวยที่โดดเดี่ยวเดียวดายอยู่คนเดียว กี่ปีมานี้ก็ขลุกอยู่กับแค่จงจิ่งห้าว ยังไงก็ต้องรู้สึกว่ามีความลำเอียงเกิดขึ้นต่อเธออยู่แล้ว
จงจิ่งห้าวที่อุ้มหลินซินเหยียนเข้ามาในห้อง ก็วางเธอลงบนเตียง เมื่อกำลังจะลุกขึ้นมา จู่ ๆ ก็โดนหลินซินเหยียนดึงเข้าที่ปกเสื้อ…..