เธอจัดการตัวเองเรียบร้อยแล้วจึงลงไปข้างล่าง เห็นเหวินเสียนยืนอยู่คนเดียวในห้องนั่งเล่น
การก้าวเดินของเธอลังเลครู่หนึ่ง ชั่วขณะหนึ่งที่ไม่รู้ว่าจะไปเผชิญหน้ากับเธออย่างไร
เพราถึงอย่างไรผู้ชายเมื่อคืนคนนั้นก็เป็นสามีของเธอ
เธอไม่รู้ว่าความสัมพันธ์ของพวกเขาเป็นอย่างไร แต่เธอรู้สึกว่าผู้ชายคนนั้นยังแคร์เธออยู่
เหวินเสียนถอนสายตากลับมาเห็นหญิงสาวยืนอยู่ตรงปากบันไดชั้นสอง
เธอชะงักไปครู่หนึ่ง ไม่รู้ว่าเฉิงยู่ซิ่วยืนอยู่ตรงนั้นตั้งแต่เมื่อไร ได้ยินที่เธอคุยกับจงฉีเฟิงหรือเปล่า
“คุณยืนอยู่ตรงนั้นตั้งแต่เมื่อไร” เหวินเสียนขมวดคิ้วเล็กน้อย
เฉิงยู่ซิ่วเดินลงมา “ฉันเพิ่งลงมา”
เหวินเสียนพยักหน้า “มาทานข้าวเถอะ”
เฉิงยู่ซิ่วไม่อยากอยู่กับเธอ เพราะมักจะรู้สึกอึดอัด “ฉันจะได้กลับเมื่อไร”
เหวินเสียนมองเธอไม่กี่วินาที ก่อนจะเอ่ยปากพูดบางเบา “ต่อไปคุณอาศัยอยู่ที่นี่”
“อะไรนะ” เฉิงยู่ซิ่วไม่สงบ ต้องเผชิญหน้ากับคู่สามีภรรยานี่ตลอดเวลางั้นเหรอ
เช่นนั้นเธออยู่ที่นี่ในฐานะอะไร
เป็นนางสนมหรือไง
หัวใจของเธอเต้นในอัตราที่เร็วมาก ความสัมพันธ์ที่น่าอายนี้มันยากจะรับได้
เหวินเสียนเหมือนจะมองสิ่งที่อยู่ในใจของเธอออก จึงพูดว่า “ช่วงเวลานี้ฉันจะกลับไปบ้านพ่อแม่ คุณจะอยู่ที่นี่อย่างสงบ ดูแลเขาแทนฉัน”
เฉิงยู่ซิ่วมองเหวินเสียน แล้วพูดอย่างอดไม่ได้ “ฉันมองออกได้ว่าสามีของคุณที่จริงแล้วชอบคุณมาก ถ้าพวกคุณต้องการแค่เด็ก ฉันสัญญากับคุณว่าฉันจะ…”
“ทำในสิ่งที่คุณควรทำ” เหวินเสียนขัดจังหวะเธอ ไม่อยากฟังคำเทศนาของเธอ “นั่งลงแล้วทานเถอะ”
สีหน้าของเหวินเสียนดีขึ้นเล็กน้อย ให้เธอนั่งลง “ฉันกับสามีแต่งงานกันเพื่อเชื่อมสัมพันธ์ระหว่างตระกูล ไม่มีความรู้สึกต่อกัน”
เฉิงยู่ซิ่วมองเหวินเสียนด้วยความประหลาดใจ ไม่คิดว่าจู่ๆ เธอจะสารภาพสิ่งนี้
ความจริงที่เหวินเสียนพูดกับเฉิงยู่ซิ่วแบบนี้ ก็เพื่อให้เธออยู่ที่นี่อย่างสงบ
“แต่…”
“นี่ไม่ใช่เรื่องผิด” เหวินเสียนดันโจ๊กหมูเนื้อแดงไข่เยี่ยวม้าที่คนรับใช้เตรียมไว้ไปตรงหน้าเธอ “คุณลองชิมสิ”
เธอจงใจขัดจังหวะเฉิงยู่ซิ่ว ไม่อยากจะฟังสิ่งที่เธอพูดต่อจากนี้
จงฉีเฟิงดีกับเธอมากเธอรู้ แต่เรื่องความรู้สึกมันบังคับกันไม่ได้
เธอมีคนรักอยู่ก่อนแล้ว เป็นไปไม่ได้ที่จะอยู่กับจงฉีเฟิง
นั่นคือเหตุผลที่เธอพยายามหาผู้หญิงดีๆ สักคน
เธอหวังว่าจะมีผู้หญิงดีๆ สังคนอยู่ข้างจงฉีเฟิงได้ คอยดูแลเขา รักเขา
และแบบนี้ เฉิงยู่ซิ่วจึงอาศัยอยู่ในวิลล่า เหวินเสียนจัดการทุกอย่าง รวมถึงของใช้ประจำตัวเล็กๆ น้อยๆ ของเธอ เตรียมทุกอย่างไว้พร้อมสรรพสำหรับเธอ
เธออยู่ที่วิลล่าเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์ จงฉีเฟิงไม่เคยกลับมาเลย
ในทางตรงกันข้าม เฉิงยู่ซิ่วที่อยู่ในที่ที่ไม่มี เหวินเสียนกับจงฉีเฟิงนั้นรู้สึกผ่อนคลายดี
ตามปกติแล้วเมื่อเธอทานอาหารเสร็จจะเดินไปรอบสวนเพื่อย่อยอาหาร และเพื่อฆ่าเวลา การอยู่แต่ในวิลล่าทั้งวันมันอุดอู้มาก สิ่งเดียวที่ทำได้คือการเดินเล่นในสวน
นี่คือเวลาที่เธอผ่อนคลายมากที่สุด
ตกค่ำเธอก็เหมือนเดิม หลังจากเดินกลับไปอาบน้ำ ก็ขึ้นเตียงและอ่านหนังสือ ถึงประมาณห้าทุ่มจึงเข้านอน
เมื่อเธอวางหนังสือลง ตอนที่เตรียมจะนอน ก็ได้ยินเสียงจากชั้นล่าง ในเวลาปกติมันจะเงียบมาก แม้แต่คนรับใช้ก็พักผ่อนไปแล้ว
หัวใจเธอเต้นแรงขึ้นทันที ใครกันจะมาในเวลานี้
เธอลงจากเตียง เปิดประตูออกไปดูข้างล่าง เห็นคนรับใช้ประคองจงฉีเฟิง บนตัวเขาใส่เชิ้ตสีดำ เสื้อสูทเอียงตกไหล่ หน้าแดงเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าเขาเมา เขาเหลือบมองไปที่ห้องนั่งเล่น และส่งเสียงแหบห้าว “เธอล่ะ”
“คุณนายกลับไปบ้านพ่อแม่ค่ะ บอกว่าช่วงนี้จะยังไม่กลับ”
จงฉีเฟิงชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะยิ้มออกมา
ไกลออกไป ทว่าเฉิงยู่ซิ่วรู้สึกขมขื่นกับรอยยิ้มของเขา
เธอเดินลงไปชั้นล่าง ช่วยคนรับใช้ประคองเขาไปนอนลงบนโซฟา “คุณไปเอาผ้าห่มมา”
“ได้ค่ะ” คนรับใช้ตอบรับ
เฉิงยู่ซิ่วเดินไปห้องครัวเพื่อชงน้ำผึ้งแก้วหนึ่ง ก่อนจะเดินเข้ามาประคองเขา “ดื่มน้ำผึ้งสักหน่อย จะได้รู้สึกดีขึ้น”
เขาเลื่อนสายตาขึ้นช้าๆ ร่างหนึ่งปรากฏขึ้นตรงหน้าอย่างเลือนราง ใบหน้าสวยงาม ดวงตาสดใส หน้าตาแบบนี้ ไม่คุ้นเลย
“คุณเป็นใคร” เขาดูเหมือนจะลืมค่ำคืนนั้นไปแล้ว
บางทีอาจเพราะเมา จึงสับสน
สีหน้าของเฉิงยู่ซิ่วซีดเผือด มือสั่นไปหมด เธอไม่รู้จะตอบอย่างไร
เวลานี้คนรับใช้นำผ้าห่มเข้ามา เฉิงยู่ซิ่วส่งน้ำผึ้งให้คนรับใช้ “คุณป้อนให้เขาดื่มด้วยนะคะ”
คนรับใช้เพิ่งรับมา แต่กลับถูกจงฉีเฟิงปัดตก เพล้ง! เมื่อแก้วตกลงพื้นก็พลันแตกเป็นเสี่ยงๆ ในคืนที่เงียบสงบ มันดังเป็นพิเศษ
“ผมถามอีกครั้ง คุณเป็นใคร” จงฉีเฟิงลุกขึ้นยืนตัวโงนเงน จ้องหน้าเฉิงยู่ซิ่ว
“คุณเมาแล้ว” เฉิงยู่ซิ่วก้มหน้า ไม่กล้าสบตาเขา เธอมองไปที่คนรับใช้ “ตรงนี้มอบให้คุณแล้วกันค่ะ”
พูดจบก็กำลังจะไป แต่กลับถูกจงฉีเฟิงคว้าจับข้อมือเอาไว้ แล้วเหวี่ยงลงบนโซฟา เหตุการณ์กะทันหันนี้ทำให้เฉิงยู่ซิ่วเกิดอาการมึนงง จนกระทั่งเธอได้สติ ถึงได้พบว่าเขากำลังยืนมองเธอ
สายตาของเขาไม่มั่นคง กลิ่นเหล้าปะทะหน้า มันแรงคลุ้งราวกับปีนขึ้นมาจากถังเหล้า เฉิงยู่ซิ่วรู้สึกได้เลยว่าเขาดื่มเหล้าไปมากจริงๆ
และเวลานี้ก็กำลังเมามาก
หัวใจที่ตึงเครียดของเธอค่อยๆ ผ่อนคลายลงช้าๆ “ฉันเป็นคนรับใช้คนใหม่ของบ้านคุณ คุณเมาแล้ว…”
คำพูดของเฉิงยู่ซิ่วยังไม่ทันจบ ชายหนุ่มที่อยู่เหนือร่างก็ทิ้งตัวลงมาทับ
เขาตัวสูงใหญ่ จึงหนักมาก สีหน้าของเฉิงยู่ซิ่วเปลี่ยนไป
เธอใช้แรงกำลังอย่างเต็มที่ จึงสามารถ‘หนี’ออกมาจากใต้ร่างเขา
คนรับใช้ส่งผ้าห่มให้เธอ เฉิงยู่ซิ่วเอื้อมมือไปหยิบมาคลุมบนตัวเขา
เขาหนักเกินไป และตอนนี้หลับไปแล้ว เธอกับคนรับใช้ช่วยกันก็ยังไม่สามารถพาเขาขึ้นไปข้างบนได้ จึงได้แต่ให้เขานอนบนโซฟา
ห่มผ้าให้จงฉีเฟิงเรียบร้อยแล้ว เฉิงยู่ซิ่วจึงให้คนรับใช้ไปพักผ่อน เธอปัดกวาดเศษกระจกแตกบนพื้นและน้ำที่หกไปทั่วพื้น
คนรับใช้พยักหน้าและจากไป เธอไม่รู้ว่าผู้หญิงคนนี้เป็นใคร แต่คุณนายสั่งไว้ว่าต้องปฏิบัติต่อผู้หญิงคนนี้ในฐานะเจ้านาย
ดังนั้นคนรับใช้จึงเชื่อฟังคำพูดของเธอ
เฉิงยู่ซิ่วทำความสะอาดพื้น จนถึงเที่ยงคืนแล้ว ชายหนุ่มที่เดิมทีนอนอยู่บนโซฟา ก็พลันส่งเสียงพึมพำไม่หยุด “น้ำ น้ำ…”
เฉิงยู่ซิ่วไปที่ห้องครัวและชงน้ำผึ้งมาอีกแก้ว แล้วส่งให้เขา “น้ำค่ะ”
จงฉีเฟิงไม่ขยับเขยื้อน เพียงแต่ร้องขอน้ำ เฉิงยู่ซิ่วไม่รู้จะทำอย่างไรจึงได้แต่พยุงเขาขึ้น และป้อนน้ำผึ้งให้เขาดื่ม
บางทีอาจเพราะริมฝีปากโดนน้ำ รู้สึกถึงความเปียกชื้น เขาจึงก้มหน้าลงมาดื่ม
เมื่อดื่มน้ำผึ้งเข้าไป เขาจึงบรรเทาอาการปากแห้งไปได้ไม่น้อย เฉิงยู่ซิ่วประคองศีรษะของเขา ต้องการวางเขาลง แต่จงฉีเฟิงกลับจับมือของเธอไว้ไม่ปล่อย ศีรษะจึงอยู่ในอ้อมแขนของเธอ
เฉิงยู่ซิ่วตัวแข็งทื่อ ก้มมองชายผู้หลับตาอยู่ในอ้อมแขนของเธอ เขาอาจจะเพียบพร้อม แต่เวลานี้ กลับเหมือนเด็กที่ถูกทอดทิ้ง โดดเดี่ยวและสิ้นหนทาง แค่อยากจะจับใครบางคนไว้ให้อยู่เป็นเพื่อนตัวเอง
ไม่ว่าคนๆ นั้นจะเป็นใคร ตราบใดที่สามารถอยู่กับเขาได้ก็พอ
เฉิงยู่ซิ่วมองเขา แล้วนึกถึงตัวเอง เขาเป็นคนที่ถูกภรรยาทิ้ง ตัวเธอเองก็เป็นคนที่ถูกแฟนทิ้งเหมือนกัน
ชั่วขณะหนึ่งที่จู่ๆ เฉิงยู่ซิ่วก็รู้สึกว่าพวกเขามีบางอย่างที่เหมือนกัน
หลังจากนั้นจงฉีเฟิงก็หลับไป แล้วเฉิงยู่ซิ่วก็ได้ผ่อนคลายลง เธอโน้มตัวไปวางแก้วน้ำลงบนโต๊ะ
เพื่อที่จะไม่ปลุกชายหนุ่มในอ้อมแขน เธอจึงไม่ขยับ ไม่รู้เลยว่าตัวเองหลับไปเมื่อไร เมื่อตื่นขึ้นมาก็พบว่า…