เพราะว่าท่านย่ากับเหอรุ่ยเจ๋อไม่เป็นไร พวกเราเลยตัดสินใจที่กลับไปเมืองBในเช้าวันรุ่งขึ้น
การเดินทางกลับในครั้งนี้ถือว่าเรียบร้อยเป็นอย่างดี ไม่มีเรื่องผิดปกติที่เหนี่ยวรั้งการเดินทางของพวกเขาเอาไว้
เวลาที่มีให้สำหรับพวกเขาไม่มากนัก เพราะว่าใกล้จะเข้าตรุษจีนแล้ว
เสิ่นเผยซวนต้องคอยสอดส่องดูแลเหอรุ่ยเจ๋อ รถของเขาเดินทางเป็นคันสุดท้าย ซูจ้านกับฉินยานั่งอยู่รถคันเดียวกับท่านย่า ส่วนครอบครัวของจงจิ่งห้าวทั้งสี่คนนั่งอยู่ในรถบ้าน
วิวทิวทัศน์ข้างทางมันดูหดหู่ ไม่ได้มีชีวิตชีวาดั่งฤดูใบไม้ผลิ ความเขียวขจีในฤดูร้อน ผลหมากรากไม้ในฤดูใบไม้ร่วง มีแค่ความหนาวเหน็บของสายลม
ตลอดการเดินทางช่างเงียบสงบ เพิ่งมาถึงครึ่งวันพวกเขาก็เดินทางได้ครึ่งทางแล้ว เร็วกว่าตอนขามาอยู่มาก
กลางวันพวกเขาก็พักผ่อนในจุดพักรถ จากนั้นก็รับประทานอาหาร
ด้วยสาเหตุใกล้จะตรุษจีนแล้ว คนในบริเวณจุพักรถเยอะมาก ที่จอดรถมีรถจอดไว้เต็ม ต่างมีคนยืนคลาคล่ำไปทั่ว
หลินลุ่ยซีอยากจะเข้าห้องน้ำ หลินซินเหยียนพาเธอไป ส่วนจงจิ่งห้าวพาหลินซีเฉินไปที่ร้านอาหาร ซูจ้านกับฉินยาคอยประคองท่านย่าเข้าไปด้านใน
เหอรุ่ยเจ๋อฟื้นแล้ว ข้างกายย่อมมีคนอยู่ ไม่ใช่เพื่อให้ดูแลเขา แต่เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้ฆ่าตัวตายหรือหลบหนี
เสิ่นเผยซวนจัดคนคอยจับตาดูเขา จากนั้นก็ไปห้องน้ำ และไปหาพวกเขาที่ร้านอาหารท่านย่า หน้าตาสดใสแดงระเรื่อ การพักผ่อนเพียงพอ ประเด็นหลักคืออารมณ์ดี การแต่งงานของซูจ้านถือว่าเป็นเรื่องที่อยู่ในใจของเธอ
วันนี้ซูจ้านแต่งงาน เธอไม่มีอะไรอยู่ในใจ อารมณ์ก็เลยดีเป็นไปตามธรรมชาติ
“คุณย่าเด็กขึ้นนะเนี่ย” เสิ่นเผยซวนนั่งพูด
“เอาใจผู้หญิงแก่อย่างฉันให้สบายใจได้ด้วยนะ” ท่านย่าทำท่าโมโห แต่สีหน้ามีความสุขมาก
“นี่ผมพูดความจริงทั้งหมดนะเนี่ย” เสิ่นเผยซวนเอาใจท่านย่าจนยิ้มไม่หยุด
อาหารที่จุดพักรถก็ไม่ได้อร่อยมากนัก เสิ่นเผยซวนยัดอาหารเข้าไปคำหนึ่งก็พูดว่า “มือนี้ก็กินๆ กันไปก่อน พอถึงเมืองBแล้ว ค่อยไปกินอีกรอบ”
ซูจ้านลุกขึ้นยืน “ผมขอไปซื้อของหน่อย ฉินยาดูแลคุณย่าด้วยหน่อยนะ”
ฉินยาพยักหน้า
“อาซูจ้านครับ ผมเห็นว่ามีขนุนขายด้วย ตอนอาเดินเข้ามาซื้อมาด้วยหนึ่งกล่องนะ” หลินซีเฉินพูด
ซูจ้านหันกลับมาจ้องเขา “หนูชอบกินเหรอ?”
หลินซีเฉินส่ายหน้าไปมา “น้องสาวของผมชอบกินครับ แต่ว่าเธอไม่ค่อยเลือกกินนะ อะไรก็อร่อยหมด”
ซูจ้านส่งเสียงตอบรับ จากนั้นก็หันหลังเดินออกไปจากร้านอาหาร เมื่อมองเสิ่นเผยซวนลอดกระจก ตอนที่เขาพูดคุยกับหลินซีเฉินนั้น เมื่ออ่านจากปากแล้ว เสี่ยวเฉินรักน้องสาวมาก
เสิ่นเผยซวนไม่ได้สนใจเขา เขาถอนหายใจ พลันดึงหมวกที่ติดกับเสื้อขนเป็ดคลุมหัว พร้อมทั้งเดินมุ่งหน้าไปยังรถที่มีเหอรุ่ยเจ๋ออยู่
เมื่อเดินไปถึงข้างรถ เหลือบมองซ้ายทีขวาที เมื่อเห็นว่าไม่มีคนสังเกตเขา เขาก็ยื่นมือออกไปดึงประตูรถ ภายในมีคนสองคนที่เสิ่นเผยซวนจัดการให้คอยเฝ้าเหอรุ่ยเจ๋ออยู่
เมื่อเห็นว่าเป็นซูจ้านบอดี้การ์ดที่ยืนประกบข้างอยู่ทักทายทันที “ทนายซู”
ซูจ้านเหลือบมองเหอรุ่ยเจ๋อที่อยู่ด้านล่าง พลันหัวเราะออกมา “พวกนายไปกินข้าวไป ที่นี่ฉันดูแลเอง”
“หัวหน้าเสิ่นไม่ใช่บอกว่าเดี๋ยวเขาจะมาเปลี่ยนกับพวกเราเองหรอกเหรอ?”
“เขาให้ฉันมาเอง ทำไม ขนาดฉันพวกนายยังไม่เชื่อเหรอ?” ซูจ้านเลิกคิ้วให้ แถมพูดอย่างไม่ดีใจ
บอดี้การ์ดรีบสะบัดมือฏิเสธ “เปล่า เปล่าครับ….”
ซูจ้านพูดตัดบทเสียงดังลั่น “งั้นยังไม่รีบลงรถอีก?”
บอดี้การ์ดทั้งสองคนเดินลงมาจากรถ ซูจ้านก็ขึ้นรถทันที พร้อมทั้งพูดกำชับกับพวกเขา “รีบกินหน่อย”
“ได้ครับ”
เมื่อเห็นว่าบอดี้การ์ดทั้งสองคนเดินไปแล้ว ซูจ้านก็ปิดประตูรถทันที และนั่งลง พลันมองเหอรุ่ยเจ๋อที่ถูกตรึงเอาไว้แน่น พร้อมกับรอยยิ้มอันแสนสยดสยอง เขาขยับข้อมือไปมา “พวกเราเจอหน้ากันอีกแล้ว”
เหอรุ่ยเจ๋อจ้องมองเขาตาเขม็ง อยากจะขยับตัว แต่ว่าขยับไม่ได้เลย ข้อมือถูกตรึงไว้แน่นหนา เรื่องแรกคือกลัวว่าเขาจะหนี อีกเรื่องหนึ่งคือกลัวว่าเขาจะฆ่าตัวตาย ขนาดในปากยังยัดที่ง้างเอาไว้ เพื่อไม่ให้โอกาสแม้ที่เขาจะกัดลิ้นเพื่อฆ่าตัวตายได้ เสิ่นเผยซวนพูดแล้ว อยากตายก็ต้องรอให้ไปพิจารณาคดีที่เมืองB ก่อน ถึงอนุญาตให้เขาตายได้
ถึงเวลานั้นเขาไม่อยากตาย เสิ่นเผยซวนก็ไม่ให้เขาอยู่สุขสบาย
“ทำไมไม่ขยับล่ะ?” ซูจ้านจงใจถามและยิ้มให้
เหอรุ่ยเจ๋อรู้ว่าสภาพตนเองในเวลานี้แค่ความตายยังไม่มีเลย ก็เหมือนกับชิ้นเนื้อที่อยู่บนเขียง ทำได้แค่รอให้คนเขามาเชือดเฉียนเท่านั้นเอง
เขาปิดตาแน่น ไม่มองซูจ้าน
“หึ” ซูจ้านหัวเราะอย่างเย็นชา เขาควานหาโทรศัพท์ขึ้นมา จากนั้นก็จงใจถ่ายรูป “แกว่า ถ้าฉันถ่ายรูปโป๊ของแกสักสองรูป แล้วทำเป็นป้ายไวนิล เอาไปกางไว้หน้าบริษัทตระกูลเหอกับหน้าวิลล่าตระกูลเหอ คงมันน่าสนุกดีใช่ไหม?”
เหอรุ่ยเจ๋อขมึงตาโต พร้อมทั้งจ้องมองเขาอย่างกินเลือดกินเนื้อ ถ้าตอนนี้เขาขยับได้ ต้องสู้ตายกับซูจ้าน เขาตายก็ตายไป อย่าได้ไปทำให้คนในตระกูลต้องพลอยบาปเพราะว่าเขาเลย
“ฮ่าๆ” ซูจ้านโค้งตัวจ้องมองเขา “ทำไมแกก็กลัวเป็นด้วยเหรอ? ตอนที่แกขู่ฉัน ทำไมไม่คิดว่าตนเองจะมีวันนี้บ้างล่ะ? ห๊ะ?”
มือทั้งสองข้างของเหอรุ่ยเจ๋อกำหมัดแน่น หางตาเคร่งตรง จนเห็นได้ชัดว่าในเวลานี้เขากำลังโกรธแค้นเป็นอย่างมาก
ซูจ้านบีบใบหน้าของเขา จากนั้นก็ตบหน้า จนมีเสียงดังแปะ จากนั้นก็พ่นเสียงออกมา “ทำไมหน้ามันถึงด้านขนาดนี้ล่ะ?”
รูปหน้าของเหอรุ่ยเจ๋อบิดเบี้ยวมากองรวมกัน โหดร้ายมาก
เมื่อเห็นว่าเขาโกรธแค้น ซูจ้านก็ไม่สบายใจ ร่างกายที่โค้งตัวลงอยู่ยิ่งโค้งต่ำลงอีก “ทำร้ายคุณย่าของฉัน? หือ?”
“เพี๊ยะ!”
เสียงเพี๊ยะ จนกระจกรถสั่นเทา ใบหน้าของเหอรุ่ยเจ๋อบวมเจ๋อขึ้นมา มุมปากมีเลือดไหลซิบ
ซูจ้านสะบัดมือไปมา ข้อมือที่สั่นสะท้านยังชาเลย “แม่งเอ๊ย ใช่มือต่อยแกมันช่างทำให้แกขาดทุน คนอย่างแกไม่ต้องไว้หน้า!”
ด้วยเหตุความโกรธแค้นมากเกินควร จนทำให้ร่างกายของเหอรุ่ยเจ๋อกระตุกอยู่หลายครั้ง
“ได้ลิ้มรสการโดนคนเฉือนเนื้อแล้วใช่ไหม?” ซูจ้านจงใจบีบตรงใบหน้าที่บวมเป่งของเขา
ความเจ็บปวดของเหอรุ่ยเจ๋อจนปากมีเสียงซี๊ดซ๊าดออกมา
ก๊อก ก๊อก–
ทันใดนั้นกระจกรถมีเสียงคนเคาะ
เขาหันศีรษะกลับไป เพราะว่ากระจกรถติดฟิล์มดำ นอกรถก็มองไม่เห็นด้านใน ด้านในก็มองไม่เห็นนอกรถ
เขายื่นมือออกไปกดตรงกระจกรถ ก็เห็นครึ่งท่อนบนของเสิ่นเผยซวนกำลังยืนพิงรถ “สิ่งที่ต้องสั่งสอนก็สั่งสอนแล้ว ไปกินข้าวสักหน่อยเถอะ?”
ตอนที่ซูจ้านบอกว่าต้องการจะออกไปซื้อของข้างนอกนั้น เสิ่นเผยซวนก็รู้ว่าเขาต้องการหาข้ออ้างเพื่อออกมาทำอะไร แต่ไม่ได้ห้ามเขาไว้ เพราะว่าเข้าใจเขา
ถ้าไม่ให้เขาระบายอารมณ์ออกมา เขาก็จะอัดอั้นไว้ตลอด
ซูจ้านผลักประตูและลงจากรถ จากนั้นก็ส่งเสียงกระแอมออกมาอย่างเคอะเขิน “นายกินข้าวหรือยัง?”
เสิ่นเผยซวนทำปากยื่น “กินแล้ว ฉันกลัวว่านายจะทำให้คนตายซะก่อน จนฉันไม่สามารถกลับไปรายงานได้”
การที่เขาได้ออกมาตั้งนานขนาดนี้ ก็เพื่อข้ออ้างที่ว่าจะมาสะกดรอยตามนักโทษหนีคดีเหอรุ่ยเจ๋อ ถ้าเขากลับไปและไม่ได้เอาคนกลับไปด้วย งั้นก็ต้องได้รับโทษ
ซูจ้านส่งเสียงงึมงำ “ไม่ตายหรอก” พูดจบก็รีบสาวเท้าเดินออกไปทันที ตอนที่เข้าไปในร้านอาหาร ก็ซื้อขนุนลูกหนึ่งมาจากร้านผลไม้ด้วย
ตอนที่เดินเข้าร้านอาหารนั้น หลินซีเฉินถึงกับทำตัวไม่ถูก ไม่ใช่บอกให้เขาซื้อมากล่องเดียวเหรอ? แล้วทำไมซื้อทั้งลูกเลย?
แถมลูกใหญ่ขนาดนี้ จะปอกยังไงล่ะ?
ซูจ้านยิ้มให้ “ซื้อทั้งลูกมันสดดี”
หลินซีเฉินกะพริบตาและถามกลับ “คุณอาปอกเป็นใช่ไหม?”
แม้ว่าอันนี้มันจะอร่อยมาก แต่เนื้อน้อยไปหน่อย ตรงกลางยังมีใส้ในอีก สิ่งที่ยากที่สุดก็คือการปอกเปลือกนี่แหละ
ซูจ้านระบายความโกรธลงที่เหอรุ่ยเจ๋อ จนตอนนี้อารมณ์ดีแล้ว
“อาปอกอาปอกก็ได้ เฮ้ พ่อของหนูล่ะ?” ซูจ้านวางขนุนลูกใหญ่ลงบนพื้น จากนั้นก็ดึงเก้าอี้ออกเพื่อนั่งลง
“ไปหาหม่ามี๊แล้ว”
หลินซินเหยียนพาหลินลุ่ยซีไปห้องน้ำ ผ่านไปสักพักแล้วไม่ยอมกลับมา จงจิ่งห้าวไปดูสักหน่อย
สิ้นปีแหละ จุดพักรถเดิมคนก็เยอะอยู่แล้ว ขนาดไปห้องน้ำยังต้องเข้าแถวเลย
จงจิ่งห้าวตั้งแต่ลงจากรถก็เอาแต่ขมวดคิ้วอยู่ เขาไม่คุ้นชินกับสภาพแวดล้อมที่เบียดเสียดกันขนาดนี้เลย เขารออยู่ห่างจากถนน หลินซินเหยียนพาลูกสาวออกมาจากห้องน้ำ
หลินลุ่ยซีจ้องมองจงจิ่งห้าว และแกะมือของหลินซินเหยียนออก จากนั้นก็ตะโกน “คุณพ่อ…”
เธอวิ่งอย่างรวดเร็ว พลันวิ่งชนเข้ากับผู้หญิงที่กำลังกินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปอยู่ข้างทาง เหมือนว่าบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปที่อยู่ในมือนั้นจะวางไม่ค่อยสมดุลนัก หลินลุ่ยซีเป็นเด็กน้อย เมื่อชนเธอ บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปทั้งถ้วยก็กระเด็นลงมา พร้อมทั้งกระเด็นจนรดทั้วทั้งตัวของผู้หญิงคนนั้นทั่วทั้งตัวแบบบังเอิญเหลือเกิน
ผู้หญิงที่ใส่เสื้อไหมพรมสีขาวครึ่งตัว พอมันหกใส่ จนน้ำมันเปรอะเปื้อนเป็นสีแดงสดไปทั่วเสื้อผ้า สีหน้าของผู้หญิงเริ่มเปลี่ยนทันที และสบถด่า “นี่หนูไม่ดูตาม้าตาเรือเลยเหรอ?”
หลินซินเหยียนรีบก้าวยาวเพื่อมาขอโทษ
หลินลุ่ยซีก็รู้สึกว่าตนเองอาจจะทำผิดไป เลยพูดขอโทษ “คุณน้าคะ ขอโทษ…”
“เพี๊ยะ!”