คนที่โทรศัพท์เข้ามาเป็นยู่ซิ่ว
สัญชาตญาณของเธอเหลือบมองด้านหลังก่อน จงจิ่งห้าวกอดหลินลุ่ยซีอยู่ พร้อมทั้งกำลังทำทรงผมให้เธอ ไม่ได้สังเกตเธอเลย เธอค่อยดึงผ้าม่านลงช้าๆ จากนั้นก็กดรับสาย
“ผมเอง” เป็นสียงของที่ยู่ซิ่วอยู่ปลายสาย
หลินซินเหยียนกดเสียงตอบรับให้ต่ำลง
เฉิงยู่ซิ่วไม่โทรศัพท์หาเธอง่ายๆ ต้องมีเรื่องแน่นอน
“วันนี้เหวินชิงมาที่บ้าน ไม่รู้ว่าเขาไปรู้ข่าวมาจากไหน บอกว่าทางไป๋เฉิงมีผ้าไหมกวางตุ้ง เลยมาถามไถ่ผม”
หลินซินเหยียนขมวดคิ้ว ข่าวของเขาตาไวดีขนาดนี้เลย?
มือของเธอกำหมัดแน่น หรือว่าชุดแต่งงานที่เธอทำให้ฉินยาในผืนนั้นที่เฉิงยู่เวินเป็นคนให้ผ้าไหมกวางตุ้ง ถูกเขาจับได้แล้ว…
“ผมคิดว่าเขาต้องไปสอบสวนอย่างละเอียดแน่ ถึงตอนนี้คุณต้องตกเป็นเป้าสายตาของเขา ผมเป็นห่วง…”
เธอไม่อยากดึงหลินซินเหยียนเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย
เธอก็แค่อยากให้เธอกับจงจิ่งห้าวอยู่อย่างสุขสบายปลอดภัย ส่วนเรื่องผ้าไหมกวางตุ้ง ถึงแม้ว่าจะเป็นธุรกิจที่ตกทอดกันมาของตระกูลเฉิง แต่เป็นสิ่งของภายนอก
หลินซินเหยียนดึงผ้าม่านออก เมื่อมองลอดผ่านตรงช่องก็เห็นว่าจงจิ่งห้าวกำลังกอดลูกสาวอยู่ และไม่ได้สนใจในตัวเธอเลย เธอปล่อยผ้าม่านลง “อย่าเป็นห่วงไปเลยไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นหรอก”
“พวกคุณต้องระวัง ตอนนี้ …”
“ฉันมีธุระ วางสายก่อนนะ” หลินซินเหยียนรู้ว่าเธออยากจะพูดอะไร เธอตัดสินใจแล้วว่าจะไม่เปลี่ยนใจ
เธอหยิบโทรศัพท์ จากนั้นก็ใช้นิ้วกดปัดลงบนหน้าจอโทรศัพท์
ในใจกำลังคิดว่าบุคคลที่ได้ฉายาว่าเหวินชิง เป็นบุคคลประเภทไหนกัน
แต่การที่ได้ฟังเฉิงยู่ซิ่วอธิบายให้ฟังนั้น ก็รู้ว่า เขาเป็นบุคคลที่ร้ายกาจ อีกทั้งด้วยฐานะอีก ยิ่งไม่สามารถดูถูกได้เลย
มิเช่นนั้นเฉิงยู่ซิ่วก็คงปิดปากเงียบเพื่อจงจิ่งห้าวหรอก
ตลอดการเดินทางสงบเงียบมาก เมื่อถึงเวลาหัวค่ำพวกเขาก็เข้าสู่เขตเมืองB
ก่อนถึงเวลากินข้าวก็ถึงยังตัวเมืองแล้ว ความเหนื่อยล้าตลอดการเดินทาง ทุกคนเหนื่อยมากแล้ว ซูจ้านกับฉินยาพวกเขาพาท่านย่ากลับไปยังบ้านของตนเอง เสิ่นเผยซวนต้องกลับไปที่ทำงานก่อนเพื่อจัดการเรื่องของเหอรุ่ยเจ๋อถึงสามารถกลับไปพักผ่อนได้
ส่วนทางฝั่งของหลินซินเหยียน พวกเขามุ่งหน้าตรงไปที่วิลล่าทันที
น่าจะเป็นเพราะว่าป้าหยูกับจวงจื่อจิ่นได้รับข่าวคราวเรื่องพวกเขา ถึงได้ทำอาหารเสร็จแล้ว เพื่อรอพวกเขากลับมา
หลังจากลงรถแล้ว ทางบอดี้การ์ดและคนขับรถก็หยิบกระเป๋าเดินเข้ามา จวงจื่อจิ่นคิดถึงเด็กสองคนแล้ว เมื่อหลินซีเฉินเดินเข้าประตูมา เธอก็กอดเอาไว้แน่น พร้อมทั้งมองซ้ายมองขวา ดูว่าจะผอมไป หรือสูงขึ้นหรือเปล่า
“เสี่ยวลุ่ยล่ะ?” จวงจื่อจิ่นเงยหน้ามองหลินลุ่ยซี เวลานี้เองจงจิ่งห้าวก็กอดหลินซินเหยียนที่นอนหลับปุ๋ยเดินเข้ามา สีหน้าของเขายังคงเคร่งขรึมอยู่เช่นเดิม และไม่ทักทายใครทั้งนั้น และกอดลูกสาวเข้าห้องนอนทันที
จวงจื่อจิ่นแวบเดียวก็มองออกว่าจงจิ่งห้าวอารมณ์ไม่ดีเลย จึงถามลูกสาวกลับ “เขาเป็นอะไร? ดูเหมือนอารมณ์ไม่ดีเลย”
หลินซินเหยียนไม่ได้พูดว่าเพราะอะไร เพื่อเลี่ยงไม่ให้จวงจื่อจิ่นปวดใจตาม “ไม่มีอะไร เขาอาจจะเหนื่อยแล้วแหละ”
จวงจื่อจิ่นไม่ค่อยเชื่อ แต่ว่าลูกสาวก็ไม่ยอมพูดออกมา เธอก็ไม่ถามซักไซ้ต่อ
“พวกเธอมากินข้าวกันเถอะ กับข้าวเย็นชืดหมดแล้ว กระเป๋าสัมภาระเอามาให้ป้าเดี๋ยวป้าเก็บเอง” ป้าหยูเดินเข้ามาหา บนตัวเธอใส่ผ้ากันเปื้อนเอาไว้ และยิ้มให้ เมื่อเห็นพวกเขากลับมาแล้ว เธอก็ดีใจมาก
“วางไว้ตรงนี้แหละ พวกคุณจะทำอะไร ก็ทำไป” ป้าหยูมองมาทางบอดี้การ์ดและโบกมือให้ เพื่อให้พวกเขาเอากระเป๋าสัมภาระวางไว้ตรงทางเข้าประตู
ประตูเปิดนานลมก็พัดเข้ามาแล้ว หลินซินเหยียนถอดเสื้อนอกของหลินซีเฉินออก เพื่อให้เขาไปล้างมือเตรียมกินข้าว หลินซีเฉินเป็นคนที่เธอไม่ต้องเข้าไปวุ่นวายมาก สามารถล้างมือเองและไปกินข้าวได้
หลินซินเหยียนถอดเสื้อขนเป็ดที่อยู่บนตัวออกจากนั้นก็แขวนไว้ที่ชั้นวางเสื้อ และเดินไปล้างมือ พร้อมทั้งตักข้าวในครัว จากนั้นก็หาถาดและเอาถ้วยวางด้านบน พร้อมทั้งหยิบกับข้าวที่อยู่บนโต๊ะกินข้าวสองอย่างขึ้นมา จากนั้นก็ยกไปในห้อง
“เหยียนเหยียน” จวงจื่อจิ่นเรียกเธอจากนั้นก็ไม่พูดอะไรต่อ
หลินซินเหยียนจ้องมองเธอ “อื้อ ทำไมเหรอ?”
“ไม่มีอะไร แกไปเถอะ” จวงจื่อจิ่นโบกมือไปมา จากนั้นก็หันไปยังห้องครัว เพื่อตักน้ำซุปให้หลินซีเฉิน
หลินซินเหยียนรู้สึกว่าจวงจื่อจิ่นมีอะไรที่อยากจะพูดกับเธอ เมื่อคิดว่าเธอออกไปสักระยะหนึ่ง ก็น่าจะพูดกับเธอสักหน่อย ด้วยสภาพของตนเอง เลยพูดว่า “แม่ เดี๋ยวอีกสักพักใหญ่ฉันจะไปห้องแม่นะ ฉันมีเรื่องอยากจะคุยกับแม่”
“ตกลง ฉันก็มีเรื่องอยากจะพูดคุยกับแกพอดี” จวงจื่อจิ่นเอ่ย
“เรื่องอะไร?” หลินซินเหยียนถามกลับ
จวงจื่อจิ่นครุ่นคิดอยู่สักพัก ตอนนี้พวกเขาเพิ่งจะกลับมา อีกทั้งป้าหยูกับหลินซีเฉินก็อยู่ด้วย เลยพูดไม่สะดวก
เรื่องที่เธออยากจะพูด แต่ไม่อยากให้คนอื่นได้ยิน เธอมองลูกสาว “สักพัก แกก็ไปค่อยไปที่ห้องฉันค่อยคุยกัน”
หลินซินเหยียนพยักหน้าให้ พลันถือของกินเข้าห้อง เสื้อผ้าของหลินลุ่ยซีวางอยู่บนเตียง ตอนนี้คนกำลังนอนหลับอยู่ อีกทั้งจงจิ่งห้าวก็นั่งอยู่ข้างเตียง และจ้องมองเธออยู่
หลินซินเหยียนได้แต่ถอนหายใจอยู่ในใจ เธอเดินเข้ามา จากนั้นก็วางอาหารไว้บนโต๊ะ “คุณกินอะไรสักหน่อย”
เธอเดินมาหยิบเสื้อผ้าของลูกสาวออก พลันพาดไว้บนชั้นแขวนเสื้อ
จงจิ่งห้าวนั่งอยู่แต่ไม่ยอมขยับ เขาไม่อยากกิน กินไม่ลง เมื่อเห็นใบหน้าของลูกสาวมันยิ่งทำให้เขากินไม่ลงหนักกว่าเดิม
แม้ว่าร่องรอยมันจะหายไปใกล้จะหมดแล้ว แต่ว่า เขายังคงหมกมุ่นอยู่กับการที่ลูกสาวถูกคนทำร้ายมา
หลินซินเหยียนเดินเข้ามาหา พลางวางมือไว้บนไหล่ของเธอ เมื่อเห็นว่าเขาเป็นแบบนี้เพราะว่าลูกสาว ในใจของเธอนั้นดีใจมาก
เพราะว่าเขาก็สนใจลูกของพวกเขาด้วย
“อย่าตำหนิตัวเองเลย มันก็แค่อุบัติเหตุเอง” หลินซินเหยียนได้แต่ปลอบใจ
มือของจงจิ่งห้าวกุมหลังฝ่ามือของเธอ หลินซินเหยียนนั่งลงบนหน้าตักของเขา หันหน้าเข้าหากัน แต่ไม่พูดอะไร
ทำได้แค่จ้องมองฝั่งตรงข้ามอย่างเงียบๆ จ้องมองนัยน์ตาสีดำขลับ มีหลายครั้งที่หลินซินเหยียนอยากจะเปิดปากพูดเรื่องของเฉิงยู่ซิ่วให้เขาฟัง
แต่ว่าเธอก็รู้ว่า นั่นไม่ใช่เหตุผลที่ดี
การทำลายล้างเขา ก็จะทำให้เฉิงยู่ซิ่วที่อดกลั้นฝืนทนมาหลายปีเปล่าประโยชน์ไปฟรีๆ
เธอถามเสียงเบา “คุณยังโกรธอยู่เหรอ?”
จงจิ่งห้าวส่งเสียงตอบกลับอย่างทุ้มต่ำ
“มันไม่ใช่ความผิดของคุณ” หลินซินเหยียนพูด
จงจิ่งห้าวหลับตาต่ำ “ผ่านไปหกปี ถือว่าเป็นสิ่งน่าละอายใจที่สุดในชีวิต”
เขาพลาดช่วงเวลาที่หลินซินเหยียนต้องการเขาที่สุด พลาด กับการเติบโตในทุกช่วงเวลาของเด็กสองคน
“ต่อไปพวกเราอยู่ด้วยกันแล้ว” หลินซินเหยียนยิ้มให้ เขาที่ตกอยู่ในสภาพนี้ ทำให้เธอไม่ค่อยคุ้นชินเลย
เขาจริงจังมาก “คุณมีลูกอีกสักคนสิ”
เพื่อให้เขาเห็นตอนที่เธอตั้งท้อง ผ่านความเจ็บปวดตอนคลอด จ้องมองเด็กทารกที่ค่อยๆ เติบโตขึ้นเรื่อยๆ
เขาต้องการทดแทนความละอายใจของสิ่งที่เขาพลาดไป
ครั้งที่แล้วหลินซินเหยียนก็พูดกับตนเองว่าร่างกายไม่ดี ไม่ได้โกหกเขา คือไม่เหมาะกับการตั้งท้องอีกครั้ง แต่เพื่อไม่ให้เขาผิดหวัง จึงได้ตอบตกลงไป “ได้”
จงจิ่งห้าวโอบเอวเธอเอาไว้ พร้อมทั้งใช้คางเกยบนหัวไหล่เธอ ปลายจมูกสูดดมกลิ่นกายเฉพาะตัวของเธอ
พร้อมทั้งเสียงทุ้มต่ำมาก แต่ทุกคำที่พูดออกมาเน้นย้ำย่างชัดเจน แถมมีเสน่ห์อย่างเปี่ยมล้น “คืนนี้คุณนอนกับผมใช่ไหม?”
หลินซินเหยียน “…”
คนคนนี้ไม่ต้องตรงขนาดนี้ก็ได้ไหม?
มือของหลินซินเหยียนที่วางพาดอยู่บนไหล่ของเขา ดึงกลับทันที “คืนนี้ไม่ได้”
“หือ?”
“ฉันว่าแม่ฉันมีเรื่องในใจ อีกสักพักฉันต้องไปห้องแม่แล้ว”
“ผมรอคุณ”
หลินซินเหยียนเพิ่งพูดจบ เขาก็พูดสวนทันที ขอแค่ไม่ต้องนอนกับจวงจื่อจิ่น เขารอสักเดี๋ยวก็เท่านั้นเอง
หลินซินเหยียนกลืนน้ำลายลงคอ ตานี่นี่นะ…
เธอกลัวว่าจงจิ่งห้าวจะพูดอะไรออกมา “คุณไปกินข้าวก่อน เดี๋ยวเย็นหมดแล้ว ฉันจะไปดูเสี่ยวลุ่ย อีกอย่างฉันก็หิวแล้ว”
วันนี้เธอยังไม่ได้กินข้าวทั้งวัน ตอนนี้หิวขึ้นมาจริงๆ แล้ว
จงจิ่งห้าวดึงมือของเธอเอาไว้ พร้อมทั้งยิ้มให้เล็กน้อย “คืนนี้ผมป้อนคุณให้อิ่มเอง”
ใบหน้าของหลินซินเหยียนแดงแจ๋ลามไปจนถึงลำคอ พร้อมทั้งแกะมือของเขาออก และถลึงตาให้ “ทะลึ่ง”