“รีบทานข้าวเถอะ เดี๋ยวจะเย็นหมด” หลินซินเหยียนเร่งรัด
จงจิ่งห้าวลุกขึ้นยืน เดินมาที่ด้านหน้าโต๊ะ เขาเงยหน้ามองเธอ “คุณไม่ทานพร้อมกับผมเหรอ”
“ฉันเอาข้าวมาแค่ชามเดียว เดี๋ยวฉันออกไปกินข้างนอก”
“มาอยู่เป็นเพื่อนผมตรงนี้” จงจิ่งห้าวนั่งลง ดึงเธอลงมานั่งบนตักตนเอง หลินซินเหยียนเงยหน้ามองเขา ย้ำอีกรอบว่า “ก็แค่ข้าวถ้วยเดียว”
“พวกเรากินด้วยกัน” จงจิ่งห้าวไม่คิดว่านี่เป็นปัญหาเลย เขาคีบอาหารไปบริเวณข้างปากเธอ
หลินซินเหยียน “……”
“หืม”
จงจิ่งห้าวก็ยื่นไปข้างหน้าอีกหน่อย กระเจี๊ยบสีเขียว แตะบนริมฝีปากเธอ “ไม่ใช่ว่าหิวแล้วเหรอ”
หลินซินเหยียนบ่นอุบอิบในใจ เธอไม่ใช่เด็กเล็กๆ แล้วนะ ที่ต้องให้คนป้อน
“ไม่อยากให้ผมป้อนเหรอ” จงจิ่งห้าวมองแวบเดียว ก็อ่านความคิดในใจเธอออก
เธอก้มหน้า พูดเบาๆ ว่า “ฉันโตแล้ว คุณทำอย่างกับฉันเป็นเด็ก”
จงจิ่งห้าวเอาอาหารที่เธอไม่ได้กินยัดใส่เข้าปาก วางชามลง “งั้นคุณป้อนผม”
หลินซินเหยียน “…”
“คุณจะเลี้ยงผมเป็นลูกก็ได้” เขาเงยหน้า ขยิบตาให้เธอ “ป้อนผมสิ”
หางตาของหลินซินเหยียนกระตุก แต่เห็นได้ชัดว่า ถ้าเธอไม่ทำ เกรงว่าผู้ชายคนนี้จะตื๊อเธอไม่ยอมเลิก
เพื่อให้หลุดพ้นจากเขาโดยเร็ว หลินซินเหยียนหยิบตะเกียบกับชามขึ้นมา คีบกุ้งแห้งส่งเข้าไปที่ปากเขา
จงจิ่งห้าวอ้าปากกัด แม้แต่ตะเกียบยังกัดแน่น หลินซินเหยียนต้องขยับอยู่หลายครั้ง ยังเอาออกไม่ได้ ขมวดคิ้วขึ้นมา เตรียมจะแผลงฤทธิ์ จงจิ่งห้าวก็ปล่อย
“อร่อย” เขายิ้มอ่อนๆ
หลินซินเหยียนถลึงตาใส่เขา “อาหารที่ป้าหยูทำอร่อยอยู่แล้ว”
“เพราะคุณป้อนก็เลยอร่อย” เขาโอบเอวเธอ เงยหน้า เอากุ้งตัวเล็กที่หลินซินเหยียนป้อนเขาให้เธอ “ไม่เชื่อคุณลองชิม”
หลินซินเหยียน “…….”
เธอไม่กิน จงจิ่งห้าวขมวดคิ้วเล็กน้อย “ทำไม รังเกียจผมเหรอ”
หลินซินเหยียนมองผ่านสายตาของเขา “เปล่าค่ะ”
“งั้นคุณก็กินสิ”
หลินซินเหยียน “…….”
“คุณอย่าล้อเล่นได้มั้ย…อื้อ…..”
เธอยังพูดไม่ทันจบ ก็ถูกอุดปาก กุ้งชิ้นนั้นเข้าไปอยู่ในปากเธอ
หลินซินเหยียนเบิกตาโพลง
เขาหัวเราะแบบไม่มีเสียง “หวานไหม”
หลินซินเหยียนไม่ได้คิดจะคายทิ้ง จงจิ่งห้าวเห็นท่าทางของเธอ ก็เชิดกรามของเธอขึ้น กุ้งก็ไหลลงไปตามหลอดอาหารของเธอ รสชาติสดใหม่ที่เข้มข้น กระจายทั่วทั้งปาก
“คิดจะแกล้งผมเหรอ” จงจิ่งห้าวยิ้มกว้างขึ้น หลินซินเหยียนไม่มองเขา กินข้าวไปหนึ่งคำ จงจิ่งห้าวไม่ได้แกล้งเธออีก อีกเดี๋ยวถ้าเธอเกิดโมโหขึ้นมา เขายังต้องง้อเธอด้วย
ทั้งยังไม่รู้ว่าจะง้อสำเร็จหรือไม่
เพราะข้าวชามเดียวนี้เอง พวกเขาสองคนกินกับข้าวจนหมด หลินซินเหยียนยกจานชามออกไป จงจิ่งห้าวไปห้องน้ำ
ป้าหยูกำลังเก็บข้าวของ จวงจื่อจิ่นไปอาบน้ำให้หลินซีเฉินแล้ว
หลินซินเหยียนเก็บถ้วยตะเกียบจากในห้องอาหารวางในอ่างน้ำของห้องครัว สวมถุงมือ บีบน้ำยาล้างจาน ล้างชาม
ป้าหยูเก็บข้าวของเสร็จและเดินมา มองเห็นหลินซินเหยียนกำลังล้างชามก็รีบเข้ามา “นั่งรถมาทั้งวันคงจะเหนื่อยแล้ว วางไว้ตรงนี้เดี๋ยวฉันล้างเองค่ะ คุณไปอาบน้ำก่อน นอนพักผ่อน ให้หายจากการเมื่อยล้าเถอะค่ะ”
หลินซินเหยียนยิ้มพลางเอ่ยว่า “ไม่เหนื่อยค่ะ”
“ไม่เหนื่อย ก็ไม่ต้องให้คุณล้างค่ะ” ป้าหยูดึงเธอออก ถอดเอาถุงมือของเธอออกมา “ฉันเห็นคุณชายดูเหมือนไม่ค่อยพอใจ คุณไปอยู่เป็นเพื่อนกับเขาดีกว่าค่ะ”
หลินซินเหยียนไม่อยากเข้าบ้าน อีกเดี๋ยวก็ถูกเขาตามรังควาน เธอยังยืนอยู่ข้างๆ อย่างดื้อรั้น หยิบแอปเปิลที่ล้างแล้วมาหนึ่งลูก แกล้งทำเป็นถามอย่างไม่ตั้งใจว่า “คุณแม่ของเขา….”
ป้าหยูเงยหน้ามองเธอ เหมือนประหลาดใจเล็กน้อย ที่อยู่ๆ เธอก็พูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา “คุณหมายถึงคุณผู้หญิงเหรอคะ”
หลินซินเหยียนพยักหน้า “คุณช่วยเล่าเรื่องของเธอให้ฉันฟังหน่อยได้ไหมคะ”
ป้าหยูค่อยๆ ชะงักเล็กน้อยก่อน จากนั้นจึงยิ้มร่าพลางพูดว่า “ได้สิคะ”
เธอเป็นฝ่ายถามถึงเรื่องเกี่ยวกับคุณชายก่อน เป็นไปได้ว่า ช่วงที่ผ่านมานี้ตอนอยู่ข้างนอกเธอและคุณชายได้พัฒนาความสัมพันธ์กันมากขึ้นแล้ว?
“ฉันติดตามคุณผู้หญิงมาที่ตระกูลจง เมื่อก่อนฉันเป็นคนรับใช้ของตระกูลเหวิน ต่อมาคุณผู้หญิงแต่งงานมาตระกูลจง คนตระกูลเหวิน กลัวว่าจะไม่มีคนที่ได้รับประโยชน์คอยดูแล เลยให้ฉันตามมาด้วย คุณผู้หญิงกับท่านปู่จงแต่งงานด้วยการคลุมถุงชน แม้ว่าตอนแรกจะไม่มีความผูกพันอะไร แต่ก็ถือว่าเคารพให้เกียรติซึ่งกันและกัน ต่อมา ก็มีคุณชาย ความสัมพันธ์ของพวกเขาก็ดีขึ้นมาก จากนั้น คุณหญิงก็ป่วยจนเสียชีวิต คุณหญิงเสียไปไม่ถึงเดือน ท่านปู่จงก็แต่งงานกับคุณหญิงคนต่อมาคนนี้”
หลินซินเหยียนกัดแอปเปิลไปหนึ่งคำ ค่อยๆ เคี้ยวอยู่ในปาก ในหัวสมองกลับกำลังคิดถึงเรื่องนี้ รู้สึกว่ายังมีหลายจุดที่ยังอธิบายให้ชัดเจนไม่ได้
เหวินเสียนตายแล้ว แต่เฉิงยู่ซิ่วบอกว่า เธอเคยตั้งท้อง อย่างนั้นตอนนี้เด็กคนนั้นเล่า
ผู้ชายคนนั้นที่ดีกับเธอในตอนแรกล่ะ
ดูเหมือนว่าทุกอย่างจะหายสาบสูญไป พร้อมกับการตายของเหวินเสียน
ทั้งยังเรื่องที่ป้าหยูรู้ก็ยิ่งน้อยมาก แม้แต่เรื่องที่จงจิ่งห้าวไม่ใช่ลูกของเหวินเสียนก็ยังไม่รู้เลย
“คุณคิดว่ายู่ซิ่วเป็นยังไงคะ” หลินซินเหยียนถามอีก
ป้าหยูครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ จึงยอมพูดออกมาว่า “แม้ว่าเธอจะแต่งงานกับท่านปู่จงผิดที่ผิดเวลาไป แต่เธอก็ไม่ใช่คนเลวร้ายอะไร ดูเหมือนว่าสุขภาพก็ไม่ค่อยดี ไม่ได้ทำร้าย หรือว่าเข้มงวดกับคุณชาย อีกทั้งยังสงบเสงี่ยมเจียมตัวมาก ที่สำคัญก็คือ เธอไม่มีลูก ข้อนี้ ฉันยกย่องชื่นชมเธอมาก อย่างไรก็ตามตอนนั้นเธออายุยังน้อยมาก ผู้หญิงคนหนึ่ง ไม่ได้มีลูกของตนเองตลอดชีวิต จะว่าไปแล้วมันก็น่าเศร้า”
หลินซินเหยียนหลุบสายตา แอปเปิลในปากก็ไร้ซึ่งรสชาติไปแล้ว วันนี้ เฉิงยู่ซิ่วโทรศัพท์มาหาเธอ ก็คืออยากให้เธอปล่อยผ้าไหมกวางตุ้งออกมาเผชิญหน้ากันอีกครั้ง
ตอนแรก ด้วยการกดดันของตระกูลเหวินถูกเหวินชิงใช้กิจการของบรรพบุรุษตระกูลตระกูลเฉิงเพื่อแลกกับการแต่งงานกับจงฉีเฟิงเพียงเพื่อให้ได้อยู่ข้างกายลูกของตนเอง
ถึงแม้ว่า ลูกของเธอจะไม่รู้จักเธอก็ตาม
ในเมื่อเธอรู้แล้ว ก็ไม่อาจแสร้งทำเป็นไม่รู้ได้ ตอนแรกเธอไม่มีสิทธิ์ตัดสินได้ ว่าถูกหรือผิด แต่ตระกูลเหวินรังแกคนอื่นมากเกินไปแล้ว
สองมือเธอกำแน่นโดยไม่รู้ตัว ในเมื่อเธอตัดสินใจแล้วก็จะไม่มีวันเสียใจทีหลัง
หลินซินเหยียนยังอยากถามป้าหยูเกี่ยวกับเรื่องของเหวินชิง
เธอเคยอยู่ที่ตระกูลเหวิน ต้องรู้จักเหวินชิงคนนี้แน่ ตอนที่เธอกำลังจะถ้าปากถามนั้นเอง ก็ได้ยินเสียงของจวงจื่อจิ่น
“เหยียนเหยียน”
จวงจื่อจิ่นอาบน้ำให้หลินซีเฉินเสร็จแล้ว อาจจะเพราะนั่งรถจนอ่อนเพลีย พอขึ้นเตียงนอนก็หลับไปเลย
จวงจื่อจิ่นมีเรื่องอยากจะพูดคุยกับลูกสาว เห็นว่าเธออยู่ในห้องครัว ก็เลยเรียกชื่อเธอ
หลินซินเหยียนนึกได้ว่าแม่มีเรื่องจะคุยกับตนเอง เธอจึงวางแอปเปิลในมือ เดินออกมา “แม่”
“ตามแม่เข้ามา” จวงจื่อจิ่นหมุนตัวเดินเข้าห้อง
หลินซินเหยียนเดินตามเข้ามา เดินมาถึงในห้อง จวงจื่อจิ่นก็พูดว่า “ปิดประตู”
หลินซินเหยียนปิดประตู นั่งลงข้างเตียง ถามว่า “แม่มีเรื่องอะไรจะพูดฉัน”
สองมือของจวงจื่อจิ่นกำแน่นอยู่ตลอด เธอไม่รู้จะเอ่ยปากอย่างไร หรือบอกไปแล้ว หลินซินเหยียนจะต้องคัดค้านเธอแน่นอน
“ช่วงนี้ลูกกับเขา อยู่ข้างนอกสบายดีไหม?” จวงจื่อจิ่นตัดสินใจว่าจะสร้างบรรยากาศที่อบอุ่นผ่อนคลายก่อนแล้วค่อยบอก
หลินซินเหยียนรู้ว่าเขาที่จวงจื่อจิ่นพูดนั้นหมายถึงใคร
เธอเองก็คิดว่าจะบอกการตัดสินใจของเธอกับจวงจื่อจิ่นอยู่พอดี “ฉันกับเขาสบายดีค่ะ ฉันตัดสินใจแล้วว่าจะอยู่เขา”
“ก็ดี” จวงจื่อจิ่นเองก็คิดเช่นนี้ “ในเมื่อเขาก็เป็นพ่อของลูกทั้งสองคน อาจจะเป็นพรหมลิขิตของเธอสองคน ที่กำหนดไว้แต่แรกแล้ว หมุนไปหมุนมา ก็ยังกลับมาอยู่ที่เดิม”
จากการหมั้นหมายในวัยเด็ก จนจับพลัดจับผลูให้กำเนิดลูกของเขาโดยไม่ได้ตั้งใจ
หรือว่าทุกอย่างได้ถูกกำหนดเอาไว้แล้ว
“เหยียนเหยียน…..” จวงจื่อจิ่นหยุดพูด
“แม่ แม่อยากพูดอะไรก็พูดเถอะค่ะ ฉันก็ไม่ใช่คนนอก ฉันเป็นลูกสาวของแม่” หลินซินเหยียนกุมมือเธอไว้แน่น
จวงจื่อจิ่นมองดูลูกสาว รวบรวมความกล้า “แม่ตัดสินใจจะแต่งงานกับหลินกั๋วอันอีกครั้ง”