ซูจ้านทำอาหารเสร็จแล้วก็เข้ามา เมื่อเปิดประตูก็เห็นฉินยากำลังหยอกปลาเล่น บนใบหน้ามีรอยยิ้มที่ไม่ได้พบนานแล้วด้วย
นานเท่าไรแล้วนะที่ไม่ได้เห็นเธอยิ้ม?
ดูเหมือนว่าจะนานมากแล้ว
เขาไม่อยากรบกวนความเงียบสงบที่หาได้ยากนี้ จึงพิงร่างที่ข้างประตูมองเธอเงียบๆ
ผ่านไปครู่หนึ่ง ฉินยาก็เห็นเขาแล้ว เขาจึงก้าวเดินเข้ามา
ฉินยาเอ่ย “หาสถานที่แบบนี้เจอได้อย่างไรกันคะ”
ซูจ้านเอ่ย “ตอนนี้โปรแกรมที่ใช้ในการหาบ้านมีเยอะมาก ขอเพียงแค่ยอมจ่ายเงิน สิ่งที่ชื่นชอบและถูกใจนั้นย่อมมี”
ฉินยาเข้าใจได้ในทันที ที่นี่ไม่ได้ใหญ่เหมือนกับที่บ้าน แต่กลับเงียบสงบกว่าที่บ้านมากนัก ทั้งยังมีอิสระและสบายใจ หากอยู่ในบ้านล่ะก็ล้วนต้องระมัดระวัง เพราะกลัวว่าท่านย่าจะไม่พอใจ
ถ้าหากว่ายังใช้ชีวิตอยู่ในบ้านต่อไป เกรงว่าเธอจะกลายเป็นโรคซึมเศร้าแล้ว
เธอลงมาจากเก้าอี้แขวน เพราะนั่งอยู่นานขาขวาจึงมีอาการเหน็บชาเล็กน้อย ทำให้ยืนทรงตัวไม่อยู่จนเกือบจะหกล้ม ซูจ้านมีปฏิกิริยาตอบสนองที่ว่องไวรับเธอเอาไว้ได้ทัน
ฉินยาเงยหน้า ซูจ้านกำลังมองเธอ ถามเสียงเบาว่า “ไม่เป็นไรใช่ไหม”
เธอส่ายหน้าพลางเอ่ยว่า “ไม่เป็นไรค่ะ นั่งนานไป ขาเลยชา”
ซูจ้านจับช่วงกลางเอวแล้วอุ้มเธอขึ้นมา ฉินยาดิ้น ซูจ้านจึงกระชับอ้อมแขนให้แน่นขึ้นเล็กน้อย “อย่าขยับมั่วซั่ว ให้ผมอุ้มคุณสักพัก นานมากแล้วที่ไม่ได้อุ้ม”
เขาเอ่ยขึ้น หลุบตาลง “เบาขึ้นมาก”
ฉินยายกริมฝีปากขึ้นเล็กน้อย “ฉันผอมหรือคะ”
“ผอม”
ซูจ้านวางเธอลงบนเก้าอี้หน้าโต๊ะ บนโต๊ะมีอาหารรสจืดวางอยู่สามอย่าง ผัดตั้งโอ๋ เต้าหู้ผัดไข่ที่ด้านในใส่กุ้ง และยังมีน้ำแกงสาหร่ายอีกหนึ่งอย่าง
ฉินยาเห็นอาหารบนโต๊ะแล้วก็ยังไม่ค่อยอยากจะเชื่ออยู่บ้าง “นี่คุณทำจริงๆหรือคะ”
ซูจ้านเอ่ย “ไม่ได้โกหกคุณหรอก หลังจากนี้จะทำให้คุณกินทุกวัน ก็โกหกคุณไม่ได้แล้ว”
เขาใช้ช้อนตักเต้าหู้ช้อนหนึ่งใส่ชามฉินยา พลางเอ่ยว่า “ก่อนหน้านี้ผมมักจะทำเองบ่อยๆ ภายหลังก็ไม่ได้ทำแล้ว”
เขา เสิ่นเผินซวน กับจงจิ่งห้าว มีแค่ตัวเขาเองที่ทำอาหารเป็น
ฉินยาใช้ช้อนตักเข้าปาก ชิมรสชาติ ไม่สามารถพูดได้ว่าอร่อยมาก เพราะเทียบกับพ่อครัวใหญ่ในร้านอาหารไม่ได้แน่นอน
แต่สำหรับเธอแล้ว ตอนนี้สิ่งที่สามารถกินได้ก็มีเพียงแค่อาหารรสจืดเหล่านี้ หนึ่งเดือนมานี้ ในปากของเธอล้วนเป็นรสชาติขมเฝื่อน
ซูจ้านเอ่ยว่า “กินข้าวเสร็จแล้ว คุณก็ออกไปข้างนอกกับผมเถอะ”
ฉินยาถาม “ไปไหนหรือคะ”
“สำนักงานของผม” ซูจ้านเอ่ย “ช่วงนี้ไม่อยู่ที่บ้านก็เป็นโรงพยาบาล นานแล้วที่ไม่ได้ออกไปพบผู้คน ถือเสียว่าเป็นการผ่อนคลาย”
ฉินยาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แม้ว่าตัวเองจะไม่ออกไป แต่ก็นอนหลับอยู่ที่บ้าน ไม่สู้ออกไปสูดอากาศสดชื่นสักหน่อย ดังนั้นจึงตอบตกลง “ค่ะ”
หลังจากกินอาหารเสร็จ ซูจ้านเก็บชามและตะเกียบ หาเสื้อผ้าให้เธอ
ฉินยาเอ่ยว่า “เสื้อผ้าบนตัวฉันก็ดีอยู่แล้วนะคะ”
เธอก้มหน้ามองตัวเอง รู้สึกว่าไม่มีตรงไหนที่ไม่เรียบร้อย
ซูจ้านหยิบเสื้อผ้าชุดใหม่ออกมาจากในตู้ ให้เธอไปเปลี่ยน
บอกว่าให้เธอมีอารมณ์ที่ดี
ฉินยารับเสื้อผ้ามา พลางเอ่ยว่า “เปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่ชุดหนึ่ง จะอารมณ์ดีได้หรือคะ”
ซูจ้านเอ่ยว่า “อย่างน้อยต้องเปลี่ยนแปลง”
ฉินยาทำตามเขา เปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่แล้วออกไปข้างนอกกับเขา ทั้งสองคนกุมมือกัน เดินออกไปจากชุมชนที่แปลกหน้าเล็กน้อย บางทีเป็นเพราะสถานที่ที่ไม่คุ้นเคย ตอนที่เดินผ่านทุกสิ่ง จึงอดไม่ได้ที่จะมองสภาพแวดล้อมรอบด้านให้มากหน่อย
ชุมชนแห่งนี้ใหญ่มาก ระหว่างตึกนั้นก็ห่างกันมาก พื้นที่สีเขียวสมเหตุสมผล ประตูใหญ่ที่ใช้เข้าออกมีพนักงานรักษาความปลอดภัยเฝ้าดูแลอยู่
ซูจ้านยื่นแขนให้ฉินยาคล้องแขนตัวเอง
ฉินยาไม่ได้ยื่นมือไป พลางเอ่ยว่า “ไม่ได้มาออกเดทกันสักหน่อยนะคะ ต้องทำอะไรน่าเบื่อแบบนี้ด้วย”
“ทำไมพวกเราถึงจะกำลังออกเดทกันไม่ได้” ซูจ้านถามเธอ และนำมือเธอมาคล้องที่แขน
เขาเอ่ยว่า “ที่นี่ใกล้กับสำนักงานมาก พวกเราเดินเล่นไปกัน”
ฉินยาเอ่ยว่าค่ะ
วันนี้ไม่ร้อน พวกเขาจึงเดินไปอย่างช้าๆ ข้างทางมีต้นเบิร์ช กิ่งก้านยังคงเจริญงอกงาม บางครั้งมีลมพัดมาใบไม้ก็จะส่งเสียงดังแส่กๆ
ผ่านไปครู่หนึ่ง เมื่อทั้งสองคนเดินเข้าไปในสำนักงานก็ได้ยินเสียงร้องไห้ดังอยู่ครู่หนึ่ง ซูจ้านมีสีหน้าท่าทางเคร่งเครียดขึ้นมา รีบหยุดฝีเท้าทันที
ฉินยาไม่เข้าใจว่าเขาเป็นอะไร
ซูจ้านตั้งใจฟังอย่างใจจดใจจ่อ
ฉินยาใช้มือผลักเขาเล็กน้อย ถามว่า “คุณกำลังทำอะไรคะ”
ซูจ้านกลัวว่าท่านย่าหาเขาไม่เจอแล้วจะวิ่งมาร้องไห้โวยวายถึงที่นี่
ภายในบ้านถูกเธอทำให้กลายสภาพเป็นแบบนั้นแล้ว เขาสามารถจินตนาการได้เลยว่า ท่านย่าจะต้องวิ่งมาโวยวายที่นี่โดยไม่ใส่ใจภาพลักษณ์ ด่าว่าเขาแน่นอน
เขาใกล้จะถูกท่านย่าทำให้เป็นโรคประสาทแล้ว จึงกลัวว่าคนที่ร้องไห้จะเป็นเธอ
เมื่อตั้งใจฟังดูแล้วก็ดูเหมือนว่าจะไม่ใช่ เสียงดูอ่อนเยาว์กว่าท่านย่า
เขาตบมือฉินยาเบาๆ เอ่ยว่า “ไม่มีอะไรแล้ว พวกเราเข้าไปกันเถอะ”
ฉินยามองเขา ดูเหมือนว่าคนที่ตื่นเต้นจะเป็นเขานะ?
พวกเขาเดินเข้าไป ก็เห็นหญิงวัยกลางคนกำลังนั่งร้องไห้ด้วยความเจ็บปวดรวดร้าวอยู่ในห้องรับรอง
ด้านข้างเป็นทนายความคนหนึ่งของสำนักงานกฎหมาย มองหญิงคนนี้อย่างจนปัญญา ไม่มีหนทางในการพูดคุยเลยแม้แต่น้อย เธอมานั่งร้องไห้อยู่ที่นี่ และไม่พูดถึงสถานการณ์ เขาจะทำอะไรได้?
ซูจ้านถามพนักงานต้อนรับ “นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้น?”
“ทนายซู ผู้หญิงคนนี้มาได้สักครู่หนึ่งแล้ว บอกว่าจะมาหาทนายความฟ้องร้องดำเนินคดีให้กับลูกสาวเธอ ทนายเฉินมารับรองเธอแล้ว เธอก็ร้องไห้หนักและไม่พูดว่าเรื่องอะไร ดังนั้นทนายเฉินจึงกลายเป็นคนยื่นกระดาษทิชชู่ซับน้ำตาให้เธอแทน”
เอ่ยแล้วก็ยังทอดถอนใจว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันนะ ถึงได้สามารถร้องไห้ด้วยความเจ็บปวดรวดร้าวขนาดนี้
ซูจ้านเดินเข้าไป ให้ทนายเฉินไปทำงาน คนนี้เขาจัดการเอง
เขาไม่ได้รีบร้อนสอบถามสถานการณ์ของผู้หญิงคนนี้ แค่มองก็รู้แล้วว่าอารมณ์สะเทือนใจมากเกินไป ตัวเองยังไม่ทันจะสงบเยือกเย็น จะสามารถอธิบายได้ชัดเจนถึงเป้าหมายที่เธอมาหาทนายความได้อย่างไรกัน?”
ซูจ้านถามฉินยาอย่างไม่รีบร้อนว่า “คุณหิวน้ำหรือไม่”
ฉินยาเห็นอกเห็นใจผู้หญิงคนนี้ จึงเอ่ยว่า “คุณไม่ถามว่าเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นหรือคะ”
ซูจ้านไม่ได้ตอบเธอ แต่รินน้ำสองแก้วแล้วเดินเข้ามา แก้วหนึ่งยื่นให้ฉินยา อีกแก้วหนึ่งวางลงตรงหน้าผู้หญิงคนนี้
และเอ่ยกับฉินยาว่า “คุณจะไปที่ห้องทำงานผมไหม”
ฉินยาส่ายหน้า เธออยากฟังว่าเพราะเรื่องอะไร ผู้หญิงคนนี้ถึงได้ร้องไห้หนักขนาดนี้
ผู้หญิงคนนี้เห็นว่าทนายเฉินคนนั้นจากไปแล้ว ทั้งยังไม่รู้จักสองคนนี้ จึงถามว่า “พวกคุณคือใครคะ”
ซูจ้านประคองฉินยาให้นั่งบนโซฟา เอ่ยว่า “เป็นทนายความที่นี่ครับ ทำไมคุณถึงมาที่นี่ สามารถบอกกับผมได้ ถ้าหากว่ายังคิดได้ไม่ชัดเจน สามารถกลับไปคิดต่อที่บ้านได้ คิดชัดเจนแล้วค่อยตัดสินใจว่าจะมาหรือไม่มา”