“งั้นคุณก็ให้ฉันตอนนี้เลย!” ฉินยาโกรธ
“ให้” ซูจ้านเดินมา อยากจะกอดเธอ แต่ถูกเธอผลักออก “ออกไปห่างๆฉันหน่อย พรุ่งนี้เอาหนังสือหย่าให้ฉันด้วย”
พูดจบก็หมุนตัวเดินไป ซูจ้านเดินไปจับเธอไว้ “เสี่ยวยา……”
“นี่ บะหมี่คุณเสร็จแล้ว คุณสั่งแล้วไม่กินก็ต้องจ่ายเงิน” เวลานี้เองเจ้าของร้านบะหมี่เดินออกมา บะหมี่ทำเสร็จแล้ว พบว่าคนไม่อยู่ที่โต๊ะ เดินออกมาก็เห็นว่าอยู่ตรงประตู
ซูจ้านพูดกับเจ้าของร้านว่า “ผมจะจ่ายเงินให้ครับ”
ฉินยาพยายามสะบัดเขาออก ซูจ้านรัดแน่น “ผมหิวแล้ว เข้าไปเป็นเพื่อนผมหน่อย”
“คุณหิวแล้ว คุณก็ไปกิน” ฉินยายังคงโกรธอยู่
ซูจ้านพูดอย่างมีนัยยะว่า “ผมอยากกินกับคุณ”
“ซูจ้าน ทำไมคุณทุเรศแบบนี้นะ”
“ผมขอโทษ”
ฉินยาที่ตอนแรกโกรธมาก จู่ๆพอได้ยินคำขอโทษก็ทำให้เธอใจเย็นลงบ้าง จ้องมองเขาครู่หนึ่ง ความโกรธที่จุกอยู่ในหัวใจก็ค่อยๆจางหายไปอย่างเงียบๆ ซูจ้านลากเธอเข้าไปในร้านก๋วยเตี๋ยวใหม่อีกครั้ง บะหมี่วางอยู่บนโต๊ะแล้ว เจ้าของร้านกลัวเขาจะหนี จึงเอาคิวอาร์โค้ดมาให้เขาจ่ายเงิน
ซูจ้านล้วงโทรศัพท์มือถือออกมาจ่ายเงิน จากนั้นก็วางโทรศัพท์มือถือไว้บนโต๊ะ หยิบตะเกียบขึ้นมา เขายกชามมา คีบเนื้อหนึ่งชิ้นยื่นไปที่ปากฉินยา “คุณกินก่อนคำหนึ่ง”
ฉินยาขมวดคิ้ว “ฉันกินแล้ว ไม่หิว”
“ก็แค่คำนี้คำเดียว” ซูจ้านเขยิบไปข้างหน้าอีกหน่อย ยังไม่ล้มเลิกความตั้งใจ
ฉินยาถลึงตาใส่เขา “คุณเป็นโรคประสาทหรือไง”
“คุณก็คิดว่าผมเป็นโรคประสาทแล้วกัน” ซูจ้านยิ้ม
ฉินยาไม่อยากถูกคนอื่นเหล่มองด้วยสายตาแปลกๆ จึงอ้าปากกินเนื้อชิ้นที่เขาคีบส่งมา
ซูจ้านยิ้ม ถามว่า “กินบะหมี่มั้ย”
ฉินยาถลึงตาใส่เขา “ถ้าคุณยังกวนประสาทอีก ฉันจะโกรธแล้วนะ”
ซูจ้านหยุดพูดทันที ก้มหน้าเอาบะหมี่ยัดเข้าไปในปาก ถามลอยๆอย่างไม่ได้ตั้งใจว่า “คุณอยู่ที่เมืองC ช่าวหยุนดูแลคุณอย่างดีมากสินะ”
ฉินยาไม่รู้ว่านี่เป็นการถามหยั่งเชิงของเขา พูดว่า “อืม เขาเป็นผู้ใหญ่ไง ดีกับฉันมาก”
ช่าวหยุนดีกับเธอตั้งแต่แรก ไม่มีความจำเป็นต้องโกหก
ซูจ้านยังคงก้มหน้า “แล้วคุณดีต่อเขามั้ย”
“เขาดีกับฉัน แน่นอนว่าฉันก็ต้องดีกับเขา ” ฉินยารู้สึกว่ามีอะไรผิดปกติ “อยู่ดีๆคุณพูดถึงเขาทำไม”
ซูจ้านเงยหน้าขึ้นมายิ้มกับเธอ “ไม่มีอะไร ก็แค่ถามไปอย่างนั้น”
สายตาของฉินยามองไปทางอื่น “คุณรีบๆกินเข้าเถอะ อย่ามัวแต่พูดเรื่องไร้สาระพวกนี้”
ซูจ้านกินอย่างไม่รู้รสชาติอะไร พูดว่า “ฉินยา……”
เขาอยากจะบอกกับฉินยาว่า แม้จะหย่ากันแล้ว เธอจะไปหาคู่ชีวิตใหม่ก็ได้ แต่เขาหวังว่าจะไม่ใช่ช่าวหยุนคนนั้น อายุห่างกันมากเกินไป เธอยังสวยสะพรั่ง ช่าวหยุนก็แก่แล้ว ช่วงเวลาที่สวยงามมีไม่มาก อย่างน้อยก็หาคนที่อายุใกล้เคียงกัน
ติ๊งต่องหน้าจอโทรศัพท์เขามีข้อความเด้งขึ้นมาหนึ่งข้อความ ฉินยาเหล่มองเห็นว่าเป็นคุณเฉิน เป็นลูกความของซูจ้าน เขาเหล่มอง ไม่ได้สนใจ
อยากจะพูดกับฉินยาต่อในหัวข้อที่เขายังไม่ได้เอ่ยปาก ฉินยาถามว่า “มีคนส่งข้อความมาให้คุณ คุณไม่อ่านเหรอ”
ซูจ้านเหลือบมองแล้วพูดว่า “ไม่เร่งด่วน ฉินยาถ้าคุณ……”
ครั้งนี้คำพูดเขาก็ยังไม่ได้พูดออกมาอีก ถูกเสียงของโทรศัพท์ขัดอีกคราวนี้ไม่ใช่ข้อความ แต่เป็นการโทรมา
ซูจ้านขมวดคิ้วไม่ชอบโทรศัพท์ที่มาไม่ถูกเวลาแบบนี้ ฉินยาพูดว่า “รับเถอะ ไม่แน่ว่ามีธุระด่วนกับคุณ”
ซูจ้านวางตะเกียบลง หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาอย่างไม่เต็มใจนัก รับสายแล้วแต่ปลายสายกลับไม่มีเสียงพูด ได้ยินเพียงเสียงดังเอะอะ จากนั้นยังมีเสียงร้องด้วยความตกใจ ดูเหมือนเป็นเสียงลูกความของเขา เขาเงยหน้ามองฉินยา “อาจจะเกิดเรื่องกับลูกความผมแล้ว”
ฉินยาขมวดคิ้ว “แล้วยังไง”
ซูจ้านวางตะเกียบลง พูดว่า “ผมไม่มีเวลาอธิบายอย่างละเอียดกับคุณ แต่ผมคิดว่าสามีเขาคงถูกบีบจนเป็นสุนัขจนตรอกแล้วแน่นอน”
ฉินยาตามเขาไป “ฉันไปกับคุณด้วย”
ซูจ้านไม่ค่อนอยากให้เธอไป กลัวจะมีอันตรายอะไร
“ลูกความคุณไม่ใช่ผู้หญิงเหรอ” ความหมายที่ซ่อนอยู่ในคำพูดของฉินยาหมายความว่าฉันไม่ไว้ใจคุณ
ซูจ้านมองเธอ ทันใดนั้นก็ยิ้มออกมา “งั้นคุณไปพร้อมผมคอยดูผมไว้”
ฉินยาปากแข็งพูดว่า “ใครจะดูคุณกัน”
ซูจ้านยิ้มไม่พูดอะไร ตรงประตูโรงพยาบาลมีรถแท็กซี่มากมาย ไม่นานพวกเขาก็ขึ้นมาอยู่บนรถแท็กซี่ ซูจ้านกดเปิดจีพีเอสเมื่อครู่ ไม่นานจีพีเอสก็แสดงจุดหมายปลายทางเป็นคอนโดมิเนียมแห่งหนึ่ง เขาขมวดคิ้ว ลูกความสาวคนนี้ไม่ได้บอกว่าตอนนี้พักอยู่ที่โรงแรมหรอกเหรอ
ที่นี่ดูเหมือนว่าเป็นที่พักของเธอ เมื่อก่อนเธอเอ่ยถึงขึ้นทะเบียนอสังหาริมทรัพย์ก็คือคอนโดนี้
ไม่นานก็มาถึงคอนโด ซูจ้านไม่ได้เข้าไปโดยพลการ แต่เรียกนิติของคอนโดขึ้นไปด้วย
เจ้าหน้าที่นิติพาซูจ้านกับฉินยาขึ้นมาชั้นบน ยังถามด้วยว่า “พวกคุณรู้ได้ยังไงว่าบ้านนี้เกิดเรื่องแล้ว”
ซูจ้านบอกว่า “ผมเป็นทนาย ครอบครัวนี้กำลังมีปัญหาเรื่องหย่าร้างกัน ภรรยาอยากให้สามีหย่าโดยไม่แบ่งสินสมรส อาจจะทำให้เกิดความขัดแย้งขึ้นมา”
เจ้าหน้าที่นิติเข้าใจโดยทันที ไม่นานก็มาถึงประตูห้องเจ้าหน้าที่นิติคอนโดยกมือขึ้นมาเคาะประตู ไม่มีปฏิกิริยาตอบกลับ เจ้าหน้าที่ก็เคาะต่อเนื่องไปอีกหลายครั้ง ผ่านไปสักพักจึงมีเสียงพูดว่า “ใคร”
“เจ้าหน้าที่นิติครับ ที่ชั้นล่างบอกว่าที่บ้านคุณน้ำรั่ว จะต้องขอไปดูที่ห้องน้ำในบ้านคุณหน่อยครับ”
“บ้านผมไม่ได้เปิดน้ำ จะมีน้ำรั่วได้ยังไง” ชายหนุ่มปฏิเสธ
“มีน้ำรั่วหรือไม่พวกเราตรวจสอบดูหน่อยก็ทราบแล้วครับ ถ้าคุณไม่ให้พวกเราเข้าไปตรวจดูแสดงว่าคุณมีพิรุธ อีกเดี๋ยวคนที่ชั้นล่างมาหาคุณด้วยตัวเอง ถึงเวลาถีบประตูบ้านคุณ ทะเลาะผิดใจกันคงไม่ดีแน่ ทุกคนต่างก็เป็นเพื่อนบ้านกันควรจะให้ความสะดวกใจที่จะพบกันครั้งต่อไป”
นิ่งเงียบไปพักหนึ่งประตูก็เปิดออก มองเห็นว่ายังมีอีกสองคนที่ไม่ใช่เจ้าหน้าที่นิติคอนโดอยู่ที่ประตู แววตาก็หวาดระแวงขึ้นมาทันที “พวกคุณเป็นใคร”
ซูจ้านพูดว่า “ผมเป็นทนายครับ ผมได้รับสายจากลูกความ ตอนนี้ผมต้องการพบเธอ”
“เธอไม่อยู่ที่บ้าน!” ชายหนุ่มขวางที่ประตูไม่ให้เข้า
“อยู่หรือไม่อยู่ที่บ้านพวกเราเข้าไปดูเดี๋ยวก็รู้แล้วครับ” เจ้าหน้าที่นิติพูด
“ไม่ได้รับความยินยอมจากผม พวกคุณเข้ามาในบ้านผมถือว่าบุกรุก” ชายหนุ่มพยายามปิดประตู ซูจ้านเอามือข้างหนึ่งขัดเอาไว้ “อยู่ไม่อยู่ที่บ้านพวกเราดูก็รู้แล้ว”
“ไสหัวไปให้หมด!” ชายหนุ่มออกแรงพยายามจะปิดประตู เจ้าหน้าที่นิติเห็นว่าผู้ชายคนนี้แสดงพิรุธชัดเจน จึงพร้อมใจกับซูจ้านออกแรงผลักประตูเปิด ชายหนุ่มถูกบานประตูกระแทกจนถอยหลังไปสองก้าว ตะโกนด่าอย่างโมโห “พวกแกรนหาที่ตายใช่มั้ย”
“ภรรยาคุณล่ะ” เจ้าหน้าที่นิติถาม
ซูจ้านมองประตูห้องนอนที่เปิดแง้มไว้ครึ่งหนึ่ง คิดจะเดินเข้าไป ชายหนุ่มเอามือดึงเขาไว้ “อย่ามาทำตัวโอหังในบ้านของฉัน ไสหัวออกไป!”
ซูจ้านส่งสายตาให้ฉินยา เขาล็อคตัวชายหนุ่มไว้ ให้เธอเข้าไปดูในห้องนอนว่ามีคนอยู่หรือไม่
เจ้าหน้าที่นิติเองก็มีไหวพริบรู้เท่าทัน ขวางทางไปของชายหนุ่มไว้
ฉินยาเดินเข้าไปในห้องนอนเห็นเลือดจำนวนมาก มีผู้หญิงนอนอยู่ข้างเตียง ตอนนี้หมดสติแล้ว
เธอพูดว่า “มีคนอยู่ในห้อง”
ซูจ้านกับเจ้าหน้าที่นิติมองชายหนุ่ม “คุณยังมีอะไรจะพูดอีก”
ระหว่างการโต้เถียงของชายหนุ่มกับภรรยาก็เกิดบันดาลโทสะ ตอนนี้ถูกคนพบความจริงที่ว่าตนเองทำร้ายภรรยาอีก โกรธแค้นด้วยความอับอาย พุ่งตัวไปหยิบมีดที่อยู่ในครัวออกมา“วันนี้พวกแกอย่าคิดว่าจะออกไปจากที่นี่ได้!”
ฉินยาล้วงโทรศัพท์มือถือออกมาจะโทรไปแจ้งตำรวจ ชายหนุ่มอ่านความคิดเธอออก เขาหยิบมีดในมือเหวี่ยงให้ซูจ้านและเจ้าหน้าที่นิติหลบไป พุ่งไปทางฉินยาเพื่อแย่งโทรศัพท์ในมือเธอ
“ระวัง!” ซูจ้านเบิกตาโต ฉินยาเงยหน้าขึ้นมามองเห็นมีดในมือชายหนุ่มพุ่งมาทางตนเอง
เธอตกใจจนชะงักงัน วินาทีแห่งวิกฤติอันตรายนั้นเอง เห็นเพียงเงาดำของซูจ้านพุ่งมา ถีบชายหนุ่มออกไป ชายหนุ่มเองก็มีปฏิกิริยาที่ว่องไว หลังจากที่ร่างกระแทกเตียงแล้วก็พลิกตัวใช้มีดพุ่งมาจะฟันที่ศีรษะของฉินยา ซูจ้านเอาฉินยาเข้ามาในอ้อมกอด มีดของชายหนุ่มฟันลงมาอย่างรวดเร็ว ซูจ้านเอาตัวฉินยาวิ่งหนีมาไม่ทัน มีดฟันมาที่แขนเขา เวลานี้เจ้าหน้าที่นิติก็เรียกเพื่อนร่วมงานที่มาเข้าเวรอีกสองคน พุ่งเข้ามาพร้อมกัน เตะชายหนุ่มลงไปกองกับพื้น แล้วแย่งมีดในมือเขามา
“นี่มันเรื่องในครอบครัวกูเกี่ยวอะไรกับพวกมึงด้วย ปล่อยกูเดี๋ยวนี้!” ใบหน้าของชายหนุ่มถูกกดลงกับพื้น แต่ก็ยังตะโกนด่าไม่หยุด
“พวกเราแจ้งตำรวจแล้ว” เจ้าหน้าที่นิติพูด
ฉินยาที่ยังอยู่ในอาการตื่นตกใจ สีหน้าซีดเผือดด้วยความตกใจ มองเห็นเสื้อเชิ้ตสีขาวบนตัวซูจ้านชุ่มไปด้วยเลือดก็ตั้งสติกลับมาได้ “คุณได้รับบาดเจ็บแล้ว”
ซูจ้านมองไปที่แขน คิ้วค่อยๆขมวดพูดว่า “ไม่เป็นอะไร แผลนิดเดียว”
ไม่รู้ว่าแผลลึกหรือไม่ แต่เลือดไหลเยอะมากไม่นานก็เปียกชุ่มไปทั้งแขนช่วงล่าง
“พวกเราไปโรงพยาบาลกัน” ฉินยาทั้งเป็นห่วงทั้งสงสาร ลากแขนอีกข้างของเขาไป
ตอนนี้เองตำรวจก็เข้ามา น่าจะเป็นคนที่แจ้งตำรวจบอกไว้ว่ามีคนบาดเจ็บ จึงมีเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ตามด้วย