เมื่อเปิดประตูห้องหนังสือเข้าไป เธอก็เห็นเงาดำที่อยู่หน้าโต๊ะหนังสือได้ในทันที
ภายในห้องมีไฟสีขาวดวงหนึ่งสว่างอยู่ กลิ่นอายแห่งความเศร้าเสียใจหนักอึ้ง กลางห้องกว้างมีโต๊ะหนังสือตัวใหญ่วางอยู่หนึ่งตัว
ด้านบนมีพู่กัน แท่งหมึก กระดาษ และที่ฝนหมึก จงฉีเฟิงชื่นชอบการเขียนตัวอักษรด้วยพู่กันจีน
แต่ในตอนนี้คนที่มักจะถือพู่กัน ก้มตัวเขียนตัวอักษรอยู่หน้าโต๊ะนั้นไม่อยู่อีกแล้ว
หลินซินเหยียนเดินเข้าไป แท่งหมึกในที่ฝนหมึกที่วางอยู่ด้านหนึ่งของโต๊ะนั้นแห้งกรัง กลิ่นหมึกค่อยๆอบอวลขึ้นมาอย่างช้าๆ เธอมองไปทางชายหนุ่มที่นั่งอยู่หน้าโต๊ะ ลังเลอยู่หลายครั้งก็ยังไม่รู้ว่าจะเอ่ยปากพูดกับเขาอย่างไร จึงเดินเข้าไปแนบร่างโอบกอดเขาเอาไว้
ผ่านไปเนิ่นนาน ค่อยเอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบพร่าว่า “เมื่อฟ้าสว่างก็จะมีคนมา คุณต้องรีบจัดการอารมณ์ให้เรียบร้อยนะคะ”
จงจิ่งห้าวมองไปยังสิ่งที่อยู่ในห้องทั้งหมด ทั้งคุ้นเคยและรู้สึกว่าแปลกตา ตอบด้วยน้ำเสียงแหบต่ำว่า “เหยียนเหยียน ผมสูญเสียญาติไปอีกคนหนึ่งแล้ว”
เขาไม่มีมารดา และในวันนี้ก็ไม่มีบิดาแล้วเช่นกัน
หลินซินเหยียนโพรงจมูกแสบร้อน กระชับแขนที่กอดเขาเอาไว้แน่นขึ้น เอ่ยเสียงสะอื้นว่า “คุณยังมีฉัน ยังมีลูกของพวกเรา พวกเราล้วนอยู่เป็นเพื่อนคุณนะคะ…”
จงจิ่งห้าวกักขังเธอเอาไว้ในอ้อมแขน เขาใช้แรงมาก ร่างกายของหลินซินเหยียนเกือบจะกระแทกเข้ามา ใบหน้าของเขาซุกอยู่บริเวณหน้าอกเธอ ร่างกายสั่นเทาเล็กน้อย
หลินซินเหยียนหาคำพูดที่จะใช้ปลอบใจเขาไม่เจอ จึงทำได้เพียงแค่อยู่เป็นเพื่อนเขาเงียบๆ
ผ่านไปนานมากจนกระทั่งท้องฟ้าด้านนอกสว่างขึ้นเล็กน้อย จงจิ่งห้าวถึงได้ปล่อยเธอออก
หลินซินเหยียนเห็นใบหน้าเรียบนิ่งของเขา ก็รู้แล้วว่าตอนนี้เขาเก็บซ่อนความโศกเศร้าเอาไว้ ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะมาเศร้าเสียใจ
คนจากไปแล้ว ก็ต้องให้เขาจากไปด้วยความสบายใจ เรื่องงานฌาปนกิจเป็นเรื่องที่ต้องจัดการก่อน
ก๊อกๆ……
ประตูห้องหนังสือถูกเคาะกะทันหัน
จงจิ่งห้าวเอ่ย “เข้ามาได้”
ป้าหยูผลักประตูเข้ามา เอ่ยว่า “มีคนมาที่บ้าน กำลังร้องไห้อยู่ในห้องค่ะ”
ก่อนหน้านี้ป้าหยูเคยเจอ ดูเหมือนว่าจะเป็นญาติร่วมแซ่เพียงของเดียวของตระกูลจง
“ผมรู้แล้ว” จงจิ่งห้าวลุกขึ้นยืน เมื่อคืนนี้เด็กทั้งสองคนก็ไม่ค่อยได้นอน เขาให้หลินซินเหยียนไปดูลูก ส่วนตัวเองก็ไปที่ห้อง
ยังไม่ทันจะเข้าไปในห้อง เขาก็ได้ยินเสียงร้องไห้ดังขึ้น เสียงร้องไห้นั้นเป็นเพียงแค่เปลือกนอก เสียงดังแต่กลับไม่ได้ทำให้คนรู้สึกถึงความเศร้าเสียใจ
ยิ่งเหมือนกับการแสร้งทำมากกว่าเดิม
จงจิ่งห้าวเดินเข้าไปในห้อง ก็เห็นชายสวมชุดสูทจงซานคนหนึ่งยืนอยู่ พาดตัวร้องไห้อย่างทนไม่ไหวที่หัวเตียง
แม้ว่าจงจิ่งห้าวจะไม่เคยพบหน้าเขา แต่ก็ยังมองออกว่าเป็นลูกพี่ลูกน้องของจงฉีเฟิง
เขาต้องเรียกว่าคุณอา
เพราะว่าร่างกายบกพร่องจึงไม่ได้ไปมาหาสู่กับผู้อื่นเท่าไรนัก
ชายคนนี้รูปร่างผอมแห้ง ผมสีดำแซมขาวทรงโมฮ็อก ผิวค่อนข้างขาว กระเนื้อน้อย มองดูแล้วมีชีวิตชีวามาก
การที่มาปรากฏตัวขึ้นที่นี่อย่างรวดเร็วในคราวนี้นั้นทำให้ผู้คนประหลาดใจจริงๆ
“จิ่งห้าวเอ๋ย ทำไมถึงไม่บอกกับอาสักคำว่าสุขภาพของพี่ใหญ่ไม่ดี? ทำให้อาไม่ได้พบหน้าเขาเป็นครั้งสุดท้าย หลานเป็นลูกชายแบบไหนกัน”
เมื่อเอ่ยปากก็แฝงไปด้วยคำถาม
คนที่ยามปกติไม่ได้ไปมาหาสู่กัน เมื่อจงฉีเฟิงเสียชีวิตก็มาหาเรื่องที่บ้าน
เขาคิดจะทำอะไร?
จงจิ่งห้าวหรี่ตาลง เอ่ยอย่างไม่เร็วไม่ช้าว่า “ทำไมคุณอาถึงได้มีเวลาว่างมาล่ะครับ”
“อา…” จงหยุนเฉียงอึ้งไปครู่หนึ่ง
ในอดีตที่ผ่านมา เขาไม่ค่อยชอบที่จะมาที่นี่ แม้ว่าจะเป็นญาติก็ตาม
“อาก็แซ่จง ไม่ใช่คนนอก คุณพ่อหลานเสียชีวิตไปแล้ว อาไม่ควรมาหรือ” เขาเอ่ยอย่างมีโทสะ
จงจิ่งห้าวมองเขาเงียบๆ วันนี้เขาจะมาด้วยความจริงใจก็ดี เสแสร้งแกล้งทำก็ช่าง ล้วนไม่สามารถโต้เถียงกันต่อหน้าจงฉีเฟิงได้ ผู้ตายใหญ่สุด ต้องให้เขาจากไปด้วยความสบายใจ
“อารู้จักบริษัทประกอบพิธีฌาปนกิจศพที่ไม่เลวบริษัทหนึ่ง…”
“ผมจัดการเรียบร้อยแล้วครับ” จงจิ่งห้าวตัดบทเขา
จงหยุนเฉียงมีสีหน้ากระอักกระอ่วนเล็กน้อย รู้สึกว่าจงจิ่งห้าวไม่เห็นแก่หน้าเขา คำพูดที่สุภาพก็ไม่เอ่ยเลยแม้แต่น้อย
ความจริงแล้ว จงจิ่งห้าวไม่ได้คิดจะตาต่อตา ฟันต่อฟันกับเขาเช่นนี้ ถึงอย่างไรก็มีสายสัมพันธ์ความเป็นญาติอยู่ พูดกันดีๆก็สามารถปล่อยผ่านไปได้ แต่การที่คนปกติที่ไม่ได้ติดต่อคุณมีท่าทางเป็นมิตรขึ้นมากะทันหันนั้น ก็ทำให้คุณอดคิดมากอย่างไม่ได้
ถ้าหากว่าเขามาในช่วงเวลากลางวัน จงจิ่งห้าวจะไม่รู้สึกว่ามีอะไร แต่การที่เขารู้เร็วขนาดนี้ ยังจะแสร้งทำท่าทางเสียใจ
ก็เรียกได้ว่า เรื่องผิดปกติย่อมมีจุดที่แปลกๆ!
จงหยุนเฉียงแค่นเสียงเย็น สะบัดแขนเสื้อออกจากห้องไป
จงจิ่งห้าวก็ไม่ได้ต่อปากต่อคำอีก เดินไปดูที่เตียงแวบหนึ่ง ความรู้สึกก้นบึ้งนัยน์ตาไหววูบ แต่ก็กลับมาราบเรียบเหมือนเดิมได้อย่างรวดเร็ว ความรู้สึกทั้งหมดล้วนเก็บซ่อนเอาไว้ในส่วนลึก
เขาหยิบโทรศัพท์ออกมาแล้วต่อสายออกไป เอ่ยไม่กี่ประโยค เขาก็วางสายและเก็บโทรศัพท์มือถือกลับไป ค่อยๆเดินไปที่ข้างเตียง
หลินซินเหยียนไปดูลูกที่ห้องชั้นบน จวงจื่อจิ่นเฝ้าอยู่ คนเล็กตื่นแล้ว แต่ไม่ร้องไห้และไม่ได้โยเย ที่โตแล้วสองคน จวงจื่อจิ่นบอกว่าร้องไห้อยู่นาน ร้องไห้เหนื่อยแล้วก็เพิ่งจะได้หลับไป หลับได้ไม่สนิทนัก บางครั้งก็ตื่น ตื่นมาแล้วก็จะหาคุณปู่
เธอดูลูกๆอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อเห็นว่าพวกเขาไม่ได้ตื่นขึ้นมา เดิมคิดอยากจะลงไปดูว่าใครมา เมื่อผลักประตูเข้าไป ก็เห็นจงจิ่งห้าวนั่งอยู่บนเก้าอี้บริเวณหัวเตียง
เธอปิดประตูลงเบาๆ
นี่เกรงว่าจะเป็นช่วงเวลาสุดท้ายที่จะได้อยู่ด้วยกัน หลังจากนี้ก็ไม่สามารถพบหน้ากันได้อีกแล้ว
ฟ้าสว่างแล้ว ผ่านไปไม่นานก็จะมีคนมา เวลาของพวกเขามีไม่มากแล้ว เธอจึงไม่ได้เข้าไปรบกวน
ตอนเก้าโมง ก็มีขบวนรถมารับศพของจงฉีเฟิงจากไป จงจิ่งห้าวและเสิ่นเผยซวนก็ไปด้วย ส่วนหลินซินเหยียนอยู่ที่บ้าน
เมื่อข่าวแพร่ออกไป ที่บ้านก็จะมีคนมา หลินซินเหยียนต้องอยู่บ้านรับรองแขก ปฏิบัติตามประเพณีของพวกเขา โดยแขวนผ้าสีขาวหนาเอาไว้ที่บ้านตระกูลหลัก
เพียงแต่จงจิ่งห้าวได้จัดการสิ่งเหล่านี้เรียบร้อยแล้ว คนของหอประกอบพิธีฌาปนกิจศพจะเข้ามาจัดการ เรื่องราวที่เกี่ยวข้องทั้งหมดล้วนจำเป็นต้องให้เธอจัดการ เธอเพียงแค่ต้องรับรองแขกผู้มาเยือนบางส่วน
วันนี้ไม่ใช่วันทำพิธีไว้อาลัย คนที่มาจึงไม่มากนัก
“ทำไมในบ้านถึงได้เงียบเชียบเช่นนี้?” หญิงสาวที่สวมเดรสสีดำเดินเข้ามาในบ้าน
หลินซินเหยียนไม่รู้จักผู้หญิงคนนี้ แต่คิดว่าน่าจะมีความสัมพันธ์ที่ไม่เลว ไม่อย่างนั้นคงจะไม่ได้มาวันนี้ แต่วาจาที่เอ่ยออกมานั้นทำให้คนอึดอัดเป็นอย่างมาก
อะไรที่เรียกว่าเงียบเชียบกัน?
หรือว่าการที่ในบ้านสูญเสียญาติไป จะต้องตีฆ้องตีกลองเฉลิมฉลองกัน?
เธอจึงเอ่ยนิ่งๆว่า “คุณคือ?”