เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ในวันทำพิธีศพนั้นท้องฟ้าปกคลุมไปด้วยเมฆ มืดมนเป็นอย่างมาก
ผู้ชายที่มาเข้าร่วมพิธีศพล้วนสวมชุดสูทสีดำล้วน ผู้หญิงที่มาเป็นเพื่อนสามีก็สวมชุดกระโปรงสีดำ หรือชุดสูทสีดำล้วนและแต่งหน้าอ่อนๆ
ครั้งนี้มีผู้มาเข้าร่วมค่อนข้างมาก เทียบกับพิธีศพของเฉิงยู่ซิ่วแล้ว ผู้ที่มาเข้าร่วมนั้นไม่น้อยกว่าหนึ่งเท่า
พวงหรีดตั้งเรียงกันตั้งแต่ห้องโถงยาวไปจนถึงถนน หลินซินเหยียนกับจงจิ่งห้าวยืนอยู่หน้าประตูห้องโถง ทั้งสองคนล้วนแต่งกายด้วยชุดไว้ทุกข์สีดำสนิท และกำลังโค้งตัวคำนับผู้ที่มาไว้ทุกข์ที่นี่
“คนตายไปแล้วก็ไม่สามารถฟื้นกลับมาได้อีก ขอแสดงความเสียใจด้วย” หลี่จิ้งกับเหวินชิงมาด้วยกัน ก่อนจะเข้าไปในห้องโถง เห็นหลินซินเหยียนมีสีหน้าไม่ค่อยดี จึงจับมือเธอ พลางเอ่ยว่า “พวกคุณต้องดูแลสุขภาพด้วย”
หลินซินเหยียนเอ่ย “ฉันจะดูแลค่ะ”
เธอไม่ได้แต่งหน้า เส้นผมก็ใช้ยางรัดผมรวบไว้หลังศีรษะง่ายๆ หลังหูข้างซ้ายทัดดอกไม้สีขาวเล็กๆดอกหนึ่ง เธอกับจงจิ่งห้าวโค้งให้พวกเขาด้วยกัน หลี่จิ้งถอนหายใจเล็กน้อย เดินตามเหวินชิงเข้าไปด้านใน ห้องโถงใหญ่มาก เคร่งขรึมและน่าเกรงขาม
พวกเขาเดินไปจนถึงกึ่งกลางของห้องโถงแล้วก็หยุดลง จุดธูปไว้อาลัยด้วยความโศกเศร้า
จุดไฟที่ธูปแล้ว เหวินชิงก็มองไปยังรูปภาพขาวดำปักดอกไม้สีดำที่วางอยู่ด้านหน้าตัวอักษรที่เขียนว่าหลุมฝังศพ ชั่วขณะหนึ่งที่รู้สึกมึนงง นัยน์ตาแดงระเรื่อ เขาจำท่าทางของจงฉีเฟิงที่แต่งงานกับน้องสาวตัวเองได้อย่างชัดเจน เขาสวมชุดที่ใช้ในพิธีการสีดำทั้งร่างยืนอยู่ในห้องโถงจัดงานแต่งงานด้วยท่าทางสูงส่งและสง่างาม ทั้งหล่อเหลาและเงียบขรึม เมื่อยืนอยู่กับน้องสาว เหมาะสมกันมาก เพียงแต่โชคชะตากลั่นแกล้งผู้คน
เพียงพริบตาเดียว ก็อายุมากแล้ว
ตอนนี้เขารู้สึกเสียใจในภายหลังที่ตอนนั้นให้น้องสาวแต่งให้กับเขา ทำร้ายชีวิตของทั้งสองคน ไม่ใช่สิ ชีวิตของคนสามคน และก็เกือบจะทำร้ายคนรุ่นถัดไปด้วย เขามองรูปภาพ ในใจก็เอ่ยกับเขาว่า “ฉีเฟิงเอ๋ย ฉันทำผิดต่อนาย นายจากไปแล้ว เกรงว่าอีกไม่อีกฉันก็จะไปพบนาย ถึงตอนนั้นค่อยสารภาพความผิดทั้งหมดที่ฉันทำต่อหน้านายอีกครั้ง”
นับตั้งแต่ที่ได้รู้ความจริง สุขภาพเขาก็ไม่ดีมาโดยตลอด ทั้งหมดล้วนพึ่งพาให้หลี่จิ้งดูแลอย่างเอาใจใส่
“เรียบร้อยแล้ว ไปเถอะ” หลี่จิ้งเอ่ยเตือนเหวินชิงเสียงเบา ด้านหลังยังมีคนอีกมากมาย
เหวินชิงพยักหน้า โค้งตัวสามครั้ง ก้าวไปด้านหน้าแล้วชูธูปขึ้น ตอนที่ไปปักธูปก็เอ่ยเสียงเบาว่า “พักผ่อนให้สบายเถอะ”
“ผู้ตายได้ตายไปแล้ว คนที่มีชีวิตอยู่ต้องทะนุถนอมสุขภาพ” ผู้ว่าการธนาคารถังพาหลี่ฉีลุ่ยมาด้วยกัน
หลี่ฉีลุ่ยที่ปกติแต่งกายไม่สนใจใครก็สวมชุดสูทสีดำได้อย่างเหมาะสมเช่นกัน
คนทั้งคู่แสดงความเสียใจและไว้อาลัยต่อพวกเขาสามีภรรยา
ใกล้เที่ยงจงหยุนเฉียงถึงได้มาแสดงการไว้อาลัย ข้างกายมีหญิงสาวที่ให้หลินซินเหยียนเรียกเธอว่าอาสะใภ้ วันนี้คนเยอะ ก็ประพฤติตัวเรียบร้อยไม่น้อย ไม่มีเรื่องหรือการกระทำใดๆ
พิธีไว้อาลัยจะดำเนินจนถึงบ่ายสองโมงถึงจะสิ้นสุด หลินซินเหยียนและจงจิ่งห้าวยืนตั้งแต่เช้าจนถึงบ่าย ฉินยายกน้ำมาสองแก้ว ให้พวกเขาดื่มสักหน่อย ยืนอยู่ตลอดแบบนี้ ไม่ต้องเอ่ยถึงกินข้าว กระทั่งน้ำก็ไม่ทันได้ดื่มสักอึก
บ่ายสามโมงสิบนาที ฝังลงดิน
รถยนต์สีดำทั้งขบวนราวกับมังกรสีดำตัวหนึ่งขับผ่านตัวเมืองไปยังชานเมืองอย่างช้าๆ
เมื่อถึงสวนมรกตถึงได้จอดนิ่งอยู่ริมถนนอีกครั้ง
คนที่มาส่งผู้ตายเป็นครั้งสุดท้ายที่นี่ทยอยลงจากรถ
จงจิ่งห้าวเดินนำอยู่หน้าสุด แขนทั้งสองข้างประคองรูปของจงฉีเฟิง เด็กทั้งสองคน คนหนึ่งซ้ายคนหนึ่งขวายืนเป็นเพื่อนเขา หลินซินเหยียนยืนอยู่ข้างลูกสาว คนที่เหลือก็อยู่ด้านหลัง เดินเข้าไปในสวนมรกตอย่างช้าๆ
ลมพัดแผ่วเบาครู่หนึ่ง ต้นสนโคลงเคลงเล็กน้อย อากาศเต็มไปด้วยกลิ่นหอมเบาบางของดอกเบญจมาศ และความเศร้าวิเวกวังเวง
ก้าวข้ามพื้นหินเดินไปถึงหน้าสุสาน แผ่นหินจารึกได้เปลี่ยนแล้ว รูปภาพเล็กๆสองรูป ด้านบนเขียนชื่อของคนสองคน ตัวอักษรสีดำด้านซ้ายเขียนว่า [หลุมฝังศพของจงฉีเฟิง] ตัวอักษรสีแดงด้านขวาเขียนว่า [ภรรยา เฉิงยู่ซิ่ว]
ท้องฟ้ามืดครึ้มมีฝนตกปรอยๆเล็กน้อย
จำได้ว่าตอนที่ฝังเฉิงยู่ซิ่วก็ฝนตก ครั้งนั้นฝนตกหนักกว่าครั้งนี้มาก
จงจิ่งห้าวมีสีหน้าเศร้าโศก โค้งตัววางรูปพิงเข้าที่ด้านหน้าแผ่นหินจารึก โค้งตัวให้กับแผ่นหินจารึกที่หลุมศพ ทุกคนล้วนโค้งตัวสามครั้ง
“เหยียนเฉิน เหยียนซี โขกศีรษะให้กับคุณปู่คุณย่า” หลินซินเหยียนเอ่ยเสียงเบากับเด็กทั้งสองคน
“คุณปู่ คุณปู่เจอคุณย่าแล้ว จำเอาไว้ด้วยว่าต้องทักทายคุณย่าแทนผมด้วย บอกกับคุณย่าว่า พวกเราคิดถึงคุณย่าและคิดถึงคุณปู่เช่นกันครับ” จงเหยียนเฉินเอ่ยจบแล้วก็โขกศีรษะ
“คุณพ่อ พวกเราไม่มีคุณปู่และไม่มีคุณย่าแล้ว” จงเหยียนซีกอดขาเขา ร้องไห้เสียงเบา
จงจิ่งห้าวย่อตัวลง เช็ดน้ำตาให้เธอ กอดเธอและลูกชายเอาไว้ในอ้อมแขน เอ่ยเสียงแหบพร่าว่า “ไม่ต้องร้องแล้ว คุณปู่คุณย่าเห็นแล้วจะไม่สบายใจ”
เด็กสองคนที่เดิมน้ำตารินไหลไม่หยุด เมื่อได้ยินจงจิ่งห้าวเอ่ยว่าคุณปู่คุณย่าอาจจะเสียใจได้ ก็รีบเช็ดน้ำตาทันที ไม่สามารถทำให้คุณปู่คุณย่าไม่สบายใจได้
เป็นเพราะท้องฟ้ามืดครึ้ม ตอนที่ใกล้จะห้าโมงฟ้าก็มืดแล้ว
เมื่อฝังลงหลุมศพเรียบร้อยแล้ว พิธีศพในวันนี้ก็สิ้นสุดลงแล้วเช่นกัน
คนทยอยกันแยกย้าย เหลือเพียงแค่จงจิ่งห้าวกับหลินซินเหยียน ครอบครัวพวกเขาสี่คน
ตากฝนคุกเข่าโขกศีรษะอยู่หน้าสุสาน นี่เป็นการส่งครั้งสุดท้ายแล้ว
จู่ๆเสิ่นเผยซวนที่รออยู่นอกสวนมรกตก็วิ่งเข้ามา หลังจากมองหลินซินเหยียนแวบหนึ่งก็กระซิบข้างหูจงจิ่งห้าวว่า “ลูกน้อยหายไปแล้ว”
จงจิ่งห้าวเงยหน้าทันที สายตาเฉียบคม “เกิดเรื่องอะไรขึ้น”
ธรรมเนียมของที่นี่ หญิงตั้งครรภ์และทารกที่ยังอายุไม่เต็มหนึ่งขวบไม่สามารถเข้าร่วมพิธีศพได้ ดวงตาของเด็กทารกบริสุทธิ์ มักจะมองเห็นสิ่งที่ผู้ใหญ่มองไม่เห็น ถ้าหากว่าเห็นจงฉีเฟิง เขาจะอาลัยอาวรณ์ที่จะจากไป
หญิงตั้งครรภ์ไม่สามารถเข้าร่วมพิธีศพได้เพราะไม่เป็นมงคล ดังนั้นซางหยูจึงอยู่ที่บ้านดูแลลูกน้อย
เธอเพียงแค่ลงไปดื่มน้ำที่ชั้นล่าง ลูกน้อยก็หายไปแล้ว