เมื่อกับข้าววางครบแล้ว พนักงานก็ออกจากห้องอาหารไป จงเหยียนซีก็เริ่มเปีดปาก “คุณเจียงมีเรื่องอะไรจะพูด ก็พูดตอนนี้เลยสิคะ”
เจียงโม่หานไม่ได้ชายตาขึ้นมา “ผมเคยบอกคุณไปแล้ว ว่าผมจะคุยกับคุณแค่สองคนเท่านั้น”
เขาแทบไม่อยากจะมองท่าทีที่ดูสนิทสนมระหว่าง จงเหยียนซีกับซงเก้นเลยด้วยซ้ำ
“แต่พอดีว่าฉันไม่อยากเจอกับคุณลับหลังแฟนตัวเองนี่คะ คุณมีอะไรจะพูด ก็พูดออกมาต่อหน้าแฟนฉันเลยค่ะ แฟนฉันจะได้ไม่เข้าใจผิด ตอนนี้ฉันค่อนข้างแคร์ความรู้สึกของเขาเสียด้วยสิ”
พูดไปสายตาของเธอก็มองไปที่ ซงเก้น แล้วพูดด้วยความลึกซึ้ง “เมื่อก่อนฉันมีตาหามีแววไม่ แต่ก็ยังโชคดี ที่ฉันมีโอกาสได้เจอเขา”
เธอมองไปที่ ซงเก้นเหมือนคำพูดมีนัย ที่ใครๆ ฟังก็รู้
ขณะนั้นเอง ซงเก้นก็พูดความในใจที่แท้จริงออกมา “พรหมลิขิตมันไม่สนว่าช้าหรือเร็วหรอกนะ”
อันที่จริงเขาอยากจะโพล่งออกไปว่า เขาไม่รังเกียจเรื่องที่เธอแต่งงานมาก่อนเลย
เมื่อรู้ว่า ซงเก้นหมายความว่าอย่างนั้นจริงๆ จงเหยียนซีก็รีบเมือนหน้าหนีเพื่อหลบสายตาของเขา
ดูเหมือนอาหารค่ำในคืนนี้จะไม่ใช่อาหารค่ำอีกต่อไป ต่างคนต่างนิ่งและกินอะไรกันไม่ลง
ซงเก้นคีบเมนูด้กแด้ที่พนักงานแนะนำ มันผ่านการแปรรูป จนไม่เหลือเค้าเดิม ถูกเขฟปรุงจนดูน่ารับประทาน แค่เห็นก็ทำให้รู้สึกอยากอาหารขึ้นมาทันที เขาคีบมันลงในจานของ จงเหยียนซี “คุณ
ผอมเกินไปแล้ว”
พนักงานบอกว่าเมนูนี้มีสารอาหารมาก เลยอยากให้เธอกินเยอะๆ
“เธอกินอันนี้ไม่ได้ โปรตีนที่สูงเกินไปจะทำให้เธอแพ้ “เจียงโม่หานเตือน
ซงเก้นรีบคีบมันกลับมา จงเยียนซีกันตะเกียบของเขาเอาไว้ แล้วบอกเขาว่า “นั่นมันคือเมื่อก่อน ตอนนี้ฉันไม่แพ้แล้วค่ะ”
ว่าแล้วเธอก็คีบอาหารเข้าปาก แล้วกลืนเข้าไป จากนั้นก็มองไปยัง เจียงโม่หาน “คุณอย่าคิดว่าคุณรู้จักฉันดีนักเลย ฉันเปลี่ยนไปตั้งนานแล้ว”
พูดไปเธอก็คืบอีกชิ้นนึงเข้าปาก
เจียงโม่หานมองเธอนิ่งๆ “เอาร่างกายตัวเองมาล้อเล่นมันคุ้มหรือไง?”
“ถ้าคุณอยู่ห่างจากนสักหน่อย คงจะดีต่อร่างกายฉันอย่างไม่มีที่ติเลยล่ะ”
จงเหยียนซีตอบด้วยความเย็นชา
เจียงโม่หานมองเธอสักพักก็พูดขึ้นว่า” เรื่องที่เจอกันแค่เราสองคน ค่อยนัดกันครั้งหน้าเถอะ”
พูดจบก็ลุกขึ้น แล้วเดินออกจากห้องอาหารไป
จงเหยียนชีตะโกนตามหลังเขา “ฉันไม่ได้อยากเจอคุณสักหน่อย”
เจียงโม่หานชะงักฝีเท้า แต่ก็รีบเดินออกไป
ภายในห้องอาหารก็เหลือเพียงแค่จงเหยียนซีกับซงเก้น และลงเหลือไว้เพียงความเงียบ ซงเก้นรู้สึกผิดเป็นอย่างมาก ” ผมไม่รู้ว่า…. ”
” ไม่เป็นไร พวกเราไปกันเถอะ “จงเหยียนซีทำเหมือนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น ซงเก้นพยักหน้านิ่งๆ
ค่าอาหารทั้งหมดเจียงโม่หานเป็นคนจ่ายก่อนออกไป เมื่อพวกเขาออกจากร้านอาหารแล้ว ซงเก้นก็มองไปรอบทิศ แต่ก็ไม่เห็นร้านยาเลยสักที่ ” เดี๋ยวผมส่งคุณกลับไปเอง”
จงเยียนชีส่ายหัว ” ฉันเดินไปเองดีกว่า”
คนที่บ้านอยู่เยอะ ซงเก้นไปส่งเธอที่บ้าน เดี๋ยวจะพากันคิดกันไปใหญ่
เธอยังไม่รู้ว่าซงเก้นกับจงจิ่งห้าวเคยเจอหน้ากันมาก่อนแล้ว
ซงเก้นออกไปโบกรถ หลังจากที่นั่งรถแล้วซงเก้นก็ไม่ได้ไปส่งจงเหยียนซีกลับบ้าน แต่ให้คนขับรถขับไปที่ร้านยาแทน
คนขับรถพูดขึ้นว่า ” ผมรู้จักร้านยาละแวกนี้ร้านนึงพอดี ”
” ขอบคุณครับ ” ซงเก้นตอบไป
จงเหยียนซีที่นั่งอยู่ในรถตอนนี้เริ่มเกิดอาการแพ้แล้ว มันใบหน้าและตัวของเธอเริ่มมีอาการค้น จากนั้นไม่นานรถก็จอดลงตรงหน้าร้านยาพอดี ซงเก้นจ่ายเงินค่ารถแล้วพยุงจงเหยียนซีลงมา ให้เธอนั่งตรงเก้าอี้หินอ่อนริมทางไปก่อน จงเหยียนชีพยักหน้า
ซงเก้นเข้าไปในร้านเพื่อซื้อยา แล้วยังซื้อน้ำมาอีก เขาแกะกล่องยาและส่งยาให้กับเธอพร้อมน้ำ
จงเหยียนซีรับแล้วกินยาเข้าไป จากนั้นก็ตามด้วยน้ำหนึ่งอีก
ซงเก้นได้แต่นั่งรออยู่ข้างๆ
ทั้งสองไม่พูดไม่จานั่งนิ่งอยู่อย่างนั้นกพัก
พอผ่านไปสักพักจงเหยียนซีรู้สึกว่าอาการของตัวเองดีขึ้นแล้วจึงลุกขึ้น ซงเก้นจึงถามเธอว่า ” ดีขึ้นหรือยัง ”
จงเหยียนซีตอบกลับไปว่า” ตอนนี้ไม่เป็นอะไรแล้ว”
ทั้งสองค่อยๆ เดินไปตามถนนช้าๆ ซงเก้นเหมือนคนคิดอะไรบางอย่างอยู่สักพักจึงถามขึ้นมาว่า ” เมื่อกี้เขาจงใจที่จะออกไปใช่ไหม? ”
จงเหยียนซีมองไปยังเขา ” ที่คุณหมายถึงคือใครเหรอ? ”
” คุณเจียง ” ซงเก้นจำเป็นต้องยอมรับ เขาคงรู้จักจงเหยียนซีได้ไม่เท่าเจียงโม่หาน เมื่อก่อนนั้นแต่งงานกันมาสามปีแล้ว แน่นอนว่าทั้งสองฝ่ายต่างเคยชินกับนิสัยของทั้งคู่เป็นอย่างดี แต่สำหรับเขา
แล้วสิ่งที่รู้เกี่ยวกับจงเหยียนซีนั้นว่างเปล่า จนทำให้ภายในใจของเขารู้สึกผิดหวังเกินจะบรรยาย
“เขารู้ว่าคุณจงใจ แล้วเขาก็รู้ว่าคุณรู้สึม่สาย น่กลัวว่ามื่อตัวเองอยู่จะทำให้คุณไม่กล้าแสดงอากรออกมา แล้วฝืนตัวเองไว้ ด้งนั้นก็เลยยอมไป อาการแพ้ของคุณไม่ได้เปลี่ยนไปเลย ”
จงเหยียนซีพูดออกมาเนิบๆ ” นั่นมันคือเมื่อก่อน ”
ถึงจะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าอะไรสักหน่อย
” วันนี้ต้องขอบคุณคุณแล้วล่ะ ” จงเหยียนชีชะงักฝีเท้า ” ฉันไปส่งคุณที่โรงแรมก็แล้วกัน ”
” ไม่ต้องขอบคุณผมบ่อยๆ หรอก ” ซงเก้นหันไปมองเมืองที่ไม่คุ้นตา ” ช่วยเดินเป็นเพื่อนผมหน่อยได้ไหม?”
จงเหยียนซีตอบไปว่า ” เอาสิ ที่นี่ยังมีที่ที่ควรค่กับการเข้าไปชมอยู่ไม่น้อยเลยล่ะ”
เธอพาซงเก้นไปดูโบราณสถานแห่งหนึ่ง ที่รัฐบาลทำการซ่อมแซมและติดโคมไฟเพิ่มเข้าไป แสงไฟจากโคมที่ติดนั้นปรากฎเป็นเค้าโครงของแสงที่ดูสวยงาม ให้ความรู้สึกวิจิตรเป็นอย่างมาก
พอกลางคืนทั้งไม่เดินไปดูใกล้ๆ ก็จะมองไม่เห็นรูปลักษณ์ที่แท้จริงของมัน การถูกแขวนไปด้วยคงไฟที่เป็นสีสันทำให้ปกปิดสีเดิมของมัน
ประตูทางเข้าเป็นถนนเส้นหนึ่งที่คึกคักเป็นอย่างมาก ผู้คนมากมายต่างมาตั้งร้านขายของริมทางกัน
พวกเขาเดินเข้าไป ก็ผ่านป้ายสลักอันหนึ่ง ซงเก้นหยุดฝีเท้าตรงนั้น