ตอนที่ 2,944 : หาที่ตาย? ข้าว่าเป็นเจ้า!
นอกจากชายหนุ่มหล่อเหลามาดองอาจปานพยัคฆ์แล้ว ยังมีสตรีนางหนึ่งมาในชุดที่แลดูวาบหวิวชวนสยิวเหลือเกิน…กระโปรงนางช่างสั้นนัก ยังดีทีชายเสื้อนางยาวลงมาปิดบังขาอ่อนเอาไว้ แต่ยามเดินก็เผยออกมาวับๆแวมๆ ส่วนชุดเสื้อคลุมที่สวมก็เผยให้เหินเนินอก ยามก้าวเดินแขนเสื้อยาวๆ ยังแผ่วพริ้วไปมาปานปีกผีเสื้อ
ถึงแม้ว่าสตรีนางนี้หน้าตากล่าวไปจะไม่งดงามเท่าหูเฟยเยี่ยน แต่ก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าเหอเชี่ยนแม้แต่น้อย ทั้งนางยังแต่งหน้าทาปากมาได้อย่างเหมาะสม จึงแลดูงดงามกว่าเหอเชี่ยนที่ไม่แต่งหน้าหลายส่วน
“เป็นเจ้านั่นเองเหรอ…”
ต้วนหลิงเทียนจดจำได้ทันที ว่าชายหนุ่มที่ก้าวอาดๆเข้ามาเป็นใคร มันก็ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นคนที่ถูกเขาฟาดไปพลองเดียวก็ปลิวสลบกลางหาว หวงเจียหลง บุตรชายคนที่ 4 ของเหอเฟยเหยี่ยน เจ้าเมืองตู้อวิ๋น!
“ไม่น่าแปลกใจเลย ที่วันนี้ได้ยินคนพูดถึงกันหนาหู…ว่าหวงเจียหลงผู้นี้ที่แท้เป็นบุรุษเจ้าสำราญมากรักผู้หนึ่ง ที่แท้เป็นความจริง…สตรีข้างกายนางนั้นเห็นได้ชัดว่าควงอย่างขอไปทีไม่ได้จริงจังอะไรแม้แต่น้อย”
ต้วนหลิงเทียนเหลือบมองไปยังสตรีในชุดวาบหวิวปราดหนึ่ง จากนั้นก็ละสายตาออกมา
ด้านหวงเจียหลง หลังจากก้าวอาดๆเข้ามาในเหลาพร้อมสตรีนางนั้นแล้ว มันก็สัมผัสได้ถึงสายตาของต้วนหลิงเทียนที่มองมาเช่นกัน
อย่างไรก็ตามมันเข้าใจว่าเป็นสายตาของผู้ที่มาดื่มกินในเหลาทั่วไป
จนเมื่อมันพบว่า ในขณะที่ทุกสายตายังจับจ้องงมาที่มันไม่วาง แต่มีสายตาหนึ่งถอนกลับไป มันก็เลยหันไปมองทางนั้นโดยไม่รู้ตัว
และพอสายตาที่มันเหลือบมองไปผ่านๆสังเกตเห็นต้วนหลิงเทียนเท่านั้นล่ะ
ลูกตาของหวงเจียหลงพลันสว่างจ้าขึ้นมาปานดารากลางฟ้ายามรัตติกาลทันที!
“ยาหยีพอดีข้าเจอคนรู้จักน่ะ เจ้ากลับไปก่อนนะ”
ลูกตาหวงเจียหลงทอประกายจ้าได้พักหนึ่ง ก็หันหน้าไปกล่าวกับสตรีในชุดวาบหวิวข้างกายเล็กน้อย พอกล่าวจบมันก็ผละออกจากร่างสตรีในชุดวาบหวิวแล้วก้าวอาดๆไปหาต้วนหลิงเทียนโดยไม่รอฟังคำตอบจากนางสักคำ
สตรีในชุดวาบหวิวแลดูมากเสน่ห์ พอเห็นหวงเจียหลงหาข้ออ้างผละไปดื้อๆแบบนี้ นางก็คิดว่าไม่พ้นอีกฝ่ายพบเจอสตรีที่น่าสนใจกว่านางเข้าแล้ว นางก็เลยได้แต่บังเกิดความรู้สึกช่วยไม่ได้ อย่างไรก็ตามพอเห็นว่าหวงเจียหลงที่ก้าวอาดๆออกไปนั้น กำลังมุ่งหน้าไปหาชายหนุ่มที่หล่อเหลายิ่งกว่าผู้หนึ่ง ร่างบางก็อดไม่ได้ที่จะสะท้านไปทันใด
‘หรือรสนิยมเจ้าเมืองน้อยผู้นี้…จะเปลี่ยนไปแล้ว?’
“นายท่าน มีคนมาหาท่านขอรับ”
หลิวก่วงหลินที่เห็นหวงเจียหลงก้าวอาดๆเข้ามา ก็รู้ได้ทันทีว่าอีกฝ่ายไม่พ้นต้องมาหาต้วนหลิงเทียนแน่ จึงหันไปกล่าวบอกต้วนหลิงเทียนทันที ด้านต้วนหลิงเทียนก็พยักหน้ารับเบาๆ เพราะเขาเองก็เห็นแล้ว
“น้องต้วน”
ต้วนหลิงเทียนเดิมทีคิดว่าหวงเจียหลงคงเข้ามาทักทายเขาเฉยๆ แต่คิดไม่ถึงเลยว่าอีกฝ่ายพอมาถึงก็ยกมือทักทายอย่างเป็นกันเอง จากนั้นก็เลื่อนเก้าอี้ออกแล้วนั่งลง ยังหันไปโบกไม้โบกมือ บอกให้เสี่ยวเอ้อนำสุรากับอาหารขึ้นชื่อของเหลามาเพิ่ม จากนั้นก็แกะตะเกียบแล้วคีบอาหารที่ต้วนหลิงเทียนสั่งมาแต่แรกเข้าปากเคี้ยวหงับๆหน้าตาเฉย…
คล้ายมันเป็นสหายที่รู้จักกันกับต้วนหลิงเทียนมานานปี จึงไม่จำเป็นต้องมีความเกรงใจใดๆทั้งสิ้น
ขณะเดียวกันเหล่าผู้ที่มาดื่มกินในเหลาที่ให้ความสนใจหวงเจียหลงแต่แรก พอได้ยินคำทักว่า ‘น้องต้วน’ ของหวงเจียหลง พวกมันก็หันไปมองต้วนหลิงเทียน และเริ่มคาดเดาตัวตนต้วนหลิงเทียนขึ้นมากันทันควัน
“น้องต้วนหรือ? แลดูเจ้าเมืองน้อยของเมืองตู้อวิ๋นจะไว้หน้าอีกฝ่ายไม่น้อยถึงเป็นฝ่ายไปทักผู้อื่นก่อนแบบนั้น…ว่าแต่ในประเทศฝูชิวเรามียอดฝีมือแซ่ต้วนด้วยรึ?”
“แซ่ต้วน ใส่ชุดสีม่วง หน้าตาหล่อเหลา…พรูด! เฮ้! อย่าบอกนะว่าเจ้าหนุ่มนั่นคือต้วนหลิงเทียนคนนั้นน่ะ!?”
“ต้วนหลิงเทียน? คนที่เอาชนะเจ้าเมืองน้อยของเมืองตู้อวิ๋นในกระบวนท่าเดียวตอนงานประลองสวรรค์ใต้วันที่สองผู้นั้นน่ะนะ!?”
“ให้ตายเถอะ นั่นน่ะเหรอยอดฝีมือขอบเขตยอดเซียนอมตะที่มีความเป็นมาลึกลับ ไม่เพียงแต่จะมีอุปกรณ์อมตะระดับราชา 2 ชิ้น แต่พลังฝีมือยังเหนือกว่าขุนนางอมตะ 1 ต้นกำเนิดที่อ่อนด้อยบางคน?”
…
หลายคนเริ่มคาดเดาตัวตนของต้วนหลิงเทียนได้ออก ทำให้ต้วนหลิงเทียนที่นั่งอยู่ในหลืบมุมของโถงรวมเหลาอาหารกลับกลายเป็นจุดสนใจขึ้นมาทันที
“น้องต้วน ข้าขอบอกต่อท่านตามตรง ตั้งแต่ที่ข้าหวงเจียหลงคนนี้เกิดมา ข้าไม่เคยนับถือใครมาก่อนเลยสักคน…จะเป็นท่านพ่อก็ดีหรือฮ่องเต้ฝูชิวก็ดี ข้าเชื่อมั่นว่าหากมีเวลา วันหน้าข้าต้องก้าวข้ามได้แน่…”
หลังจากนั่งลงแล้วคีบเนื้อชิ้นหนึ่งมากินเสร็จ หวงเจียหลงก็เงยหน้าขึ้นมามองกล่าวกับต้วนหลิงเทียนด้วยท่าทางเลื่อมไส “แต่หลังจากข้าเจอท่าน ข้าจึงได้รู้ว่าที่แท้การยอมรับนับถือใครสักคนนั้นเป็นอย่างไร”
“เจ้าเมืองน้อย ท่านก็กล่าวชมข้าเกินไป…ข้าเองก็ได้ยินมาเหมือนกัน ว่าความสามารถของเจ้าเมืองน้อยยอดเยี่ยมไม่ธรรมดา เป็นอัจฉริยะที่ยากพานพบในประเทศฝูชิวคนหนึ่ง หากไม่ใช่เพราะมัวแต่คอย ‘ดูแล’ สตรีน้อยใหญ่ เกรงว่าป่านนี้คงเหนือกว่าองค์ชาย 4 ฝูชิวไปแล้วกระมัง”
ต้วนหลิงเทียนมองกล่าวกับหวงเจียหลงอย่างถ่อมตัว ขณะยกย่องอีกฝ่ายส่วนหนึ่ง อีกส่วนก็กล่าวแซวอีกฝ่ายออกมาด้วยรอยยิ้มสนุกสนาน
“อะแฮ่ม เดี๋ยวก่อนนะน้องต้วน…เรื่องนี้ท่านก็รู้ด้วยเหรอ?”
หวงเจียหลงสะดุ้งหน้าม้านไปเล็กน้อย มือยกขึ้นมาบีบจมูกแก้เขิน ด้วยไม่คิดเลยว่าอัจฉริยะรุ่นเยาว์ที่มันบังเกิดความยอมรับนับถือจะรู้เรื่องงานอดิเรกของมันด้วย
“ทำให้น้องต้วนต้องขบขันแล้วจริงๆ…แต่ข้าหวงเจียหลงคนนี้ ชั่วชีวิตนอกจากเรื่องบ่มเพาะฝึกฝนแล้ว ข้ายังชมชอบรักถนอมบุปผาเป็นที่สุด!”
หวงเจียหลงคลี่ยิ้มโง่งม จากนั้นก็กล่าวเสริมออกมาเป็นมั่นเหมาะ “แต่แม้ข้าหวงเจียหลงจะเป็นบุรุษมากรัก แต่ข้าก็ไม่ใช่คนถ่อยไร้ยางอายนา…เพราะตั้งแต่ข้าเกิดมา ข้าไม่เคยฝืนใจสตรีคนไหนแม้แต่คนเดียว ข้าควงก็แต่คนที่เต็มใจเท่านั้นแหล่ะ”
สิ่งที่หวงเจียหลงกล่าวออกมา ต้วนหลิงเทียนย่อมเชื่อเป็นธรรมดา แม้เขาจะไม่เก่งกาจถึงขั้นอ่านใจผู้คนได้ แต่หลังใช้ชีวิตมาสองชาติภพ เขาเองก็พอมีความสามารถในการมองคนอยู่บ้าง
เมื่อพิจารณาจากหว่างคิ้วองอาจสง่าผ่าเผยของหวงเจียหลงกับแววตาใสกระจ่างยามกล่าวคำของอีกฝ่ายแล้ว เขาเชื่อว่าอีกฝ่ายไม่ใช่คนชั่วร้ายอันใด
“หากเจ้าเมืองน้อยเป็นคนแบบนั้น ท่านคิดว่าข้าจะยอมให้ท่านนั่งสนทนากับข้าแบบนี้หรือ?”
ต้วนหลิงเทียนส่ายหัวไปมาด้วยรอยยิ้ม
หากหวงเจียหลงเป็นคนถ่อยนิยมเด็ดบุปผาอย่างใจเหี้ยมจริงๆ อย่าว่าแต่มานั่งคุยหัวร่อกับเขาแบบนี้ บางทีเขาอาจจะบังเกิดจิตคิดผดุงคุณธรรมแทนฟ้าพิพากษาคนชั่วก็เป็นได้
ต้องกล่าว่าหวงเจียหลงนั้นช่างเจรจาไม่ใช่น้อย และสรรหาเรื่องขบขันมาคุยกับเขาได้เรื่อยๆ
และเรื่องที่พูดถึงก็เป็นแค่เรื่องทั่วๆไปเท่านั้น
แต่ต้นจนจบอีกฝ่ายไม่แม้แต่จะเลียบๆเคียงๆถึงเรื่องความเป็นมาอะไรเขาเลย ทำราวกับอีกฝ่ายเป็นเพื่อนเขามาหลายปี และไม่ได้เจอกันนานเท่านั้น
ต้องกล่าวว่าหวงเจียหลงผู้นี้เข้าหาคนเก่งจริงๆ ไม่เพียงช่างจ้อไปเรื่อยเท่านั้น แต่ยังรู้ว่าอะไรควรพูดไม่ควรพูด สุดท้ายก็นั่งคุยเล่นกับเขาจนถึงเย็น
และในระหว่างที่คุยเล่นไปเรื่อยเปื่อย ต้วนหลิงเทียนก็ยังได้รับทราบเรื่องราวที่ไม่เคยรู้มากมายจากปากของหวงเจียหลง
‘ที่แท้ในแดนสวรรค์ใต้ หรือที่ใดในระนาบเทวโลก ก็มีการจัดระดับขุมกำลังทั้งหลายโดยละเอียดเช่นกัน…’
‘อย่างเช่นนิกายอมตะใหญ่ในเขตพื้นที่ชายแดนของแดนสวรรค์ใต้นั้น ล้วนแล้วถูกจัดให้เป็นขุมกำลังประเภทนิกายระดับ 9…’
‘ส่วนประเทศที่ตั้งอยู่ในตะเข็บชายแดนของภาคกลางอย่างประเทศฝูชิวนั้น ได้ถูกจัดอันดับให้เป็นขุมกำลังประเภท ประเทศอมตะระดับ 8’
‘ในประเทศฝูชิวเอง ก็ยังมีนิกายและตระกูลที่ถูกจัดให้เป็นขุมกำลังระดับ 9 มากมาย…อย่างตระกูลเหออะไรของเหอเชี่ยนนั่นก็เป็นตระกูลระดับ 9 เช่นเดียวกันกับตระกูลหวงของหวงเจียหลงที่เป็นเจ้าเมือง ก็ถือเป็นตระกูลระดับ 9 เช่นกัน’
‘หากเดินทางเข้าสู่ภาคกลางไปมากกว่านี้ พอพ้นจากพื้นที่แนวตะเข็บชายแดนเมื่อไหร่ ก็จะเข้าเขตของพวกขุมกำลังระดับเดียวกันกับ 3 ขุมกำลังและ 2 ตระกูล ที่จะมาชักชวนคนที่รอดออกจากแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำคราวนี้ พวกมันก็คือนิกายระดับ 7 และตระกูลระดับ 7’
‘นิกายระดับ 7 กับตระกูลระดับ 7 ล้วนแล้วแต่เป็นขุมกำลังที่มีสายแร่ผลึกอมตะระดับสูงไว้ในครอบครอง และสายแร่ผลึกอมตะระดับสูงของพวกมัน ยังสามารถให้ผลผลิตออกมาเป็นผลึกอมตะระดับสูงสุดได้บางส่วน’
‘นอกจากนี้ 3 นิกายกับ 2 ตระกูลที่ว่า ยังมีความสัมพันธ์กับคฤหาสน์เฉวียนโยวไม่น้อย…กล่าวได้ว่าเป็นดั่งผู้ที่อยู่ใต้อาณัติกลายๆ’
‘และตอนนี้สถานที่ๆข้าอยู่ ก็คือเขตพื้นที่ๆอยู่ภายใต้การควบคุมดูแลของคฤหาสน์เฉวียนโยว และเป็นแค่พื้นที่ส่วนหนึ่งในแดนสวรรค์ใต้เท่านั้น’
‘คฤหาสน์เฉวียโยวยังเกี่ยวพันกับ 10 ตระกูลใหญ่ของแดนสวรรค์ใต้…ในขณะเดียวกันคฤหาสน์เฉวียนโยวก็จัดเป็น คฤหาสน์อมตะระดับ 6 เท่านั้น’
…
หลังได้สนทนากับหวงเจียหลงมาตลอดทั้งบ่าย ต้วนหลิงเทียนก็ได้รู้เรื่องราวพื้นฐานมากมาย ขณะเดียวกันเขาก็ได้รับทราบเวลาเปิดของแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำที่แน่นอนมาจากหวงเจียหลง ว่าเป็นอีกครึ่งปีหลังจากนี้
“เดิมทีข้าก็ใกล้จะทะลวงผ่านไปถึงขุนนางอมตะอยู่แล้ว…แต่เพื่อเข้าไปแสวงหาโชควาสนาและโอกาสต่างๆในแดนสวรรค์ใต้โบราณ ข้าก็เลยระงับด่านพลังเอาไว้ไม่คิดรีบร้อนทะลวงผ่าน หันไปตีความเวทย์พลังที่ยังไม่แตกฉานแทน”
เวทย์พลังระดับขุนนางที่หวงเจียหลงยังไม่บรรลุถึงขั้นตอนไร้ตำหนินั้น ก็คือเวทย์พลังประเภทสนับสนุน กล่าวได้ว่าก่อนจะถึงวันที่ต้องเข้าสู่แดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำ มันยังมีพื้นที่ให้ก้าวหน้าอยู่อีก
และด่านพลังสูงสุดที่สามารถเข้าไปในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำ ก็ถูกจำกัดไว้ที่ขอบเขตยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดเท่านั้น!
หากเป็นตัวตนที่อยู่เหนือขอบเขตยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดเข้าไป ก็จะถูกพลังอำนาจของค่ายกลปฏิเสธ ไม่อาจเข้าไปได้
“น้องต้วน นี่มันก็เริ่มมืดแล้ว ข้าว่าข้าเดินไปส่งพวกเจ้ากลับก่อนดีกว่า…ไว้พรุ่งนี้ค่อยมานั่งหาอะไรกินแล้วคุยกันใหม่”
หลังเห็นว่าฟ้าด้านนอกมืดแล้ว หวงเจียหลงก็หยุดปากที่พ่นวาจาไม่หยุดมาตั้งแต่บ่ายลงทันที…
“ไม่รบกวนท่านดีกว่า เดี๋ยวพวกเรากลับเองก็ได้”
ต้วนหลิงเทียนคิดปฏิเสธน้ำใจของหวงเจียหลง หากแต่ก็ไม่อาจทนลูกตื๊อของอีกฝ่ายได้ไหว สุดท้ายก็ได้แต่ให้หวงเจียหลงเดินกลับพระราชวังหลวงกับเขาและหลิวก่วงหลิน
ในขณะที่เดินผ่านตรอกหนึ่งที่ค่อนข้างเปลี่ยว หากแต่เป็นทางที่ใกล้ที่สุดที่จะไปพระราชวังหลวงนั้นเอง…
ฟุ่บ! ฟิ่ว!
พลันแว่วสำเนียงเสียงแหวกสายลมฉับไวดังขึ้น 2 สาย จากนั้นก็ปรากฏร่าง 2 ร่างที่พุ่งออกมาปานพยัคฆ์โจนทะยานลงภูปิดทางพวกต้วนหลิงเทียนทั้ง 3 เอาไว้
“หืม?”
หลังต้วนหลิงเทียนชะงักร่างหยุดลง ก็มองไปยังสองร่างที่ปิดทางเอาไว้ คิ้วยังเริ่มขมวดขึ้นเป็นปม
นั่นเพราะชายวัยกลางคนผู้หนึ่งที่มาขวางทางเขานั้น กำลังจับจ้องมองมาที่เขาด้วยสายตาอาฆาตแค้น คล้ายมีความเกลียดชังอันล้ำลึกต่อเขา!
“ต้วนหลิงเทียน เจ้าฆ่าลูกชายคนเดียวของข้า…วันนี้ข้าจะให้เจ้าชดใช้ด้วยชีวิต!”
ชายวัยกลางคนที่มองจ้องต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาอาฆาต กล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเยียบเย็นพาลให้ผู้ฟังรู้สึกเสมือนตกลงไปในหล่มน้ำแข็ง
“ข้าน่ะเหรอ ฆ่าลูกชายเจ้า?”
ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะเลิกคิ้วขึ้นด้วยความแปลกใจ
“11 วันที่แล้วนอกเมืองหลวง”
ชายวัยกลางคนกล่าวพลางยิ้มเยาะ
ได้ยินคำของชายวัยกลางคน ต้วนหลิงเทียนก็นึกออกทันที “ที่แท้เจ้าก็เป็นพ่อของตัวอัปลักษณ์จิตใจวิปริตบิดเบี้ยวคนนั้นนั่นเอง…”
“ดูเหมือนว่ายันต์อมตะสื่อสารที่มันส่งไปก่อนตาย จะทิ้งเบาะแสอะไรไว้สินะ…ไม่งั้นเจ้าคงไม่มีทางตามสืบจนหาข้าเจอได้”
ต้วนหลิงเทียนมองจ้องชายวัยกลางคนด้วยสีหน้าแววตาสงบพลางกล่าวออกเฉย หากแต่ไม่ทราบตั้งแต่เมื่อไหร่ ในฝ่ามือเขากลับกำไว้ด้วยปิ่นปักผมเล่มหนึ่ง
ตัวปิ่นปักผมเล็กนี้ยังทอแสงลี้ลับเรืองออกมาสลัวๆ และบริเวณด้ามปิ่นยังปรากฏบุปผาสีเลือด 2 ดอกที่แดงฉานปานจะคั้นได้เป็นหยดโลหิต
อย่างไรก็ตามด้วยความที่เขากอบกุมปิ่นปักผมดังกล่าวเอาไว้ จึงไม่มีใครสามารถพบเห็นความไม่ธรรมดาของมันได้
และปิ่นปักผมดังกล่าว ก็คืออุปกรณ์อมตะระดับจอมราชันประเภทสิ้นเปลือง ที่ต้วนหลิงเทียนได้มาจากพื้นที่ชายแดนนั่นเอง
หลังจากใช้ไปแล้วครั้งหนึ่ง ปิ่นนี้ยังสามารถใช้งานได้อีก 2 ครั้ง
ถึงแม้ว่าเขาจะไม่รู้ระดับพลังฝึกปรือที่แน่ชัดของชายวัยกลางคนที่มองเขามาด้วยสายตาอาฆาตแค้น กับชายอีกคนที่อยู่ด้านหลัง ซึ่งจากความรู้สึกแล้วเขาก็บอกได้ว่าพลังฝีมือสมควรไม่ได้อ่อนด้อยไปกว่าชายวัยกลางคนผู้นี้แม้แต่น้อย และเรื่องหนึ่งที่เขามั่นใจเป็นอย่างมากก็คือ…พลังฝีมือของทั้งคู่นั้นเหนือกว่าหลิวก่วงหลินที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาพวกเขา 3 คนแน่นอน!
หลิวก่วงหลินเป็นแค่ขุนนางอมตะ 1 ต้นกำเนิดเท่านั้น ความเร็วย่อมอ่อนด้อยกว่าทั้ง 2 ที่มาขวางทางมาก เช่นนั้นก็เลิกคิดเรื่องให้อีกฝ่ายพาหนีไปได้เลย
ดังนั้นต้วนหลิงเทียนจึงเรียกปิ่นมากอบกุมเอาไว้ เพราะเขาสัมผัสได้ถึงภัยคุกคาม
“หาที่ตาย!!”
เมื่อได้ยินต้วนหลิงเทียนที่เป็นฆาตกรสังหารบุตรชายคนเดียว เรียกหาบุตรชายตัวเองว่าตัวอัปลักษณ์จิตใจวิปริตบิดเบี้ยว ชายวัยกลางคนจึงอดไม่ได้ที่จะมีน้ำโห หลังตะคอกคำดุร้ายปานคำราม พลังเซียนอมตะต้นกำเนิดก็พวยพุ่งขึ้นมาลุกโชนท่วมร่างปานเพลิงไฟ!
และในขณะที่เสียงคำรามของชายวัยกลางคนดังจบคำ และคนกำลังจะเปิดฉากเข่นฆ่าสังหารเข้ามา ต้วนหลิงเทียนก็พร้อมจะใช้อุปกรณ์อมตะจอมราชันสิ้นเปลืองทันที
หากทว่าในขณะที่ต้วนหลิงเทียนกำลังจะเดินพลังเปิดใช้งานปิ่นในกำมือนั้นเอง เสียงไม่แยแสหนึ่งพลันดังขึ้นอย่างประจวบเหมาะ!
“หาที่ตาย ข้าว่าเป็นเจ้า!”