WSSTH ตอนที่ 3,023 : ข้าลำบากแค่ 1 ท่าก็ฆ่าพวกมันได้ในพริบตา
“อ่าวเจ้านั่น…ไฉนทำเหมือนจะยอมแพ้ซะเล่า?”
“นี่ไม่เหมือนลักษณะนิสัยมันเลยนี่นา?”
เมื่อเห็นว่าหลิงเจวี๋ยอวิ๋นพ่นลมทิ้งทายคำหนึ่ง ก็เลือกจะเหินไปทางแท่นหินรองลงมาแทน ต้วนหลิงเทียนก็รู้สึกแปลกใจไม่น้อย อดไม่ได้ที่จะกล่าวพึมพำออกมาด้วยความงุนงง
“เสี่ยวเฟิงกลัวว่าเจ้าจะมีโมโหที่พ่ายแพ้ สุดท้ายก็เอาโทสะมาลงกับข้า…”
เสียงสตรีนางหนึ่งดังขึ้นจากด้านในทะเลวิญญาณของต้วนหลิงเทียนอย่างประจวบเหมาะ ทำให้ต้วนหลิงเทียนถึงกับอึ้งไปไร้คำจะพูด
“เจ้าบ้านั่น…มันเห็นข้าเป็นคนแบบนั้นเหรอ?”
ต้วนหลิงเทียนหันไปมองจ้องแผ่นหลังหลิงเจวี๋ยอวิ๋นด้วยสายตาอึ้งๆ รู้สึกหมดคำจะพูดแล้วจริงๆ
หลังจากที่หวงเอ้อตื่นขึ้นแล้วกล่าวอธิบายให้ฟัง ต้วนหลิงเทียนก็เข้าใจสาเหตุได้ไม่ยากว่าไฉนหลิงเจวี๋ยอวิ๋นถึงเลือกถอยไปไม่สู้ ที่แท้มันกลัวเขาแพ้ แล้วเอาไปลงกับหวงเอ้อ!
เดิมทีผู้คนในหุบเขาทั้ง 3 ยังคงตะลึงกับโอกาสที่จะสัมผัสถึงกฏแห่งเวลา ตอนนี้พอมาเห็นบางคนนกำลังมุ่งหน้าไปยังแท่นศิลาเหนือหุบเขา ก็พลันได้สติและเริ่มเคลื่อนไหวทันที
ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ!
…
ไม่เว้นพวกเชวียจิงอวี่ที่อยู่ไม่ห่างต้วนหลิงเทียน ตอนนี้พวกมันก็เริ่มเหินร่างมุ่งหน้าไปยังแท่นศิลาเหนือหุบเขาเช่นกัน
อย่างไรก็ตามพวกมันรู้ระดับของตัวเองดี จึงไม่มีใครคิดทำอะไรเกินตัวและเลือกแท่นศิลาที่อยู่สูงสุด
กระทั่งแท่นศิลารองลงมา 2 แท่นที่หลิงเจวี๋ยอวิ๋นกำลังมุ่งหน้าไป พวกมันก็ไม่คิดจะเลือก
หลิงเจวี๋ยอวิ๋นนั้นได้เลือก 1 ใน 2 แท่นศิลาที่ลอต่ำถัดจากแท่นศิลาสูงสุด และยังเป็นแท่นศิลา 2 แท่นที่ชายหนุ่มชุดดำที่แลดูเกลียดชังต้วนหลิงเทียนหมายตาไว้ตั้งแต่แรก
ตอนนี้คนที่เหินร่างขึ้นไปยังแท่นศิลาเหมือนหลิงเจวี๋ยอวิ๋น ล้วนแล้วแต่เป็นคนที่เข้าใจความลึกซึ้งของกฏแค่ประการเดียวเท่านั้น
เนื่องจากพวกมันค่อนข้างรู้กำลังของตัวเองดี ว่าอยู่ในระดับบใด จึงไม่คิดที่จะชิงแท่นศิลาที่สูงสุด 6 แท่นแรกให้เสียเวลา…
แท่นศิลาที่ลอยอยู่สูงสุดมี 1 แท่น ต่ำลงมาอีก 100 หมี่ก็มี 2 แท่น จากนั้นต่ำลงมาอีก 100 หมี่ ก็มี 3 แท่น
และตอนนี้การปะทะเพื่อช่วงชิงแท่นศิลาถัดจากทั้ง 6 แท่นด้านบน ก็ชุลมุนทั้งดุเดือดไม่น้อย!
เป็นธรรมดาว่าแม้จะต่อสู้กันชุลมุนและลงมือกันอย่างดุดัน แต่ก็ไม่มีใครคิดลงมือถึงขั้นฆ่าคน ต่างสงวนกำลังไว้ให้พอยั้งมือได้ไม่ลำบาก เพียงแค่ประมือกันให้รู้สูงต่ำแล้วให้ผู้แพ้เลิกราไปเองก็พอ
และทุกคนก็เหมือนจะเห็นพ้องต้องกันในเรื่องนี้
ที่ไฉนสถานการณ์กลายเป็นแบบนี้ เพราะไม่ว่าใครก็กลัวจะมีคนตายมากเกินไป ถึงตอนนั้นเกิดครบกำหนด 7 ส่วน ทำให้แดนสวรรค์ใต้โบราณเปิดออกอีกครั้ง ไม่ซวยกันถ้วนหน้ารึไง?
เพราะเกิดฆ่าไปสักคน แล้จำนวนคนตายดันครบกำหนดแดนสวรรค์ใต้โบราณเปิดออกพอดี โอกาสเข้าใจความหมายแห่งเวลาที่ไม่รู้ชาตินี้จะมีมาอีกไหม ไม่หายวับไปต่อหน้าต่อตาแล้วหรือ…
จากนั้นหลังผ่านไปสักพัก ในที่สุดนอกจาก 6 แท่นสิลาด้านบนแล้ว แท่นศิลาด้านล่างก็มีคนจับจองกันหมด
ในตอนนี้ก็เหลือคนแค่ไม่กี่คนเท่านั้นที่ยังไม่ลงมือ
ต้วนหลิงเทียน มู่หรงเซี่ยวเซี่ยว โอวหยา
นอกจากนั้นยังมีชายหนุ่มชุดดำชายหนุ่มชุดเขียว จากนั้นก็มีชายชุดวักลางคนชุดสีน้ำเงิน ชายชุดแดง ชายชราในชุดคลุมสีเงิน แล้วก็คนสุดท้ายชายชราในชุดคลุมสีเทา
ในบรรดาคนพวกนี้ ชายหนุ่มชุดเขียวกับชุดดำที่ยืนเคียงข้างกัน 2 คน ส่วนอีก 4 คนรวมกันเป็นกลุ่มคล้ายรู้จักกัน
“ไปกันเถอะ”
หลังจากทราบความสำคัญของสถานที่สุดท้ายวังจอมราชันอมตะแล้ว มู่หรงเซี่ยวเซี่ยวก็ไม่คิดจะเสียเวลากับต้วนหลิงเทียนอีกต่อไป หลังชวนโอวหยา ทั้งคู่ก็พากันเหินร่างขึ้นไปเหนือหุบเขาทันที
ก่อนที่ความสำคัญของสถานที่สุดท้ายวังจอมราชันอมตะจะเผยออกมา มู่หรงเซี่ยวเซี่ยวก็คิดจะสานไมตรีกับต้วนหลิงเทียน เพื่อให้ต้วนหลิงเทียนเห็นแก่หน้านางบ้าง
อย่างน้อยๆหากมีสมบัติอะไร อีกฝ่ายก็จะปล่อยให้ตกมาถึงมือนางบางส่วน
แต่ตอนนี้เมื่อได้รู้แล้วว่าสถานที่สุดท้ายของวังจอมราชันอมตะแห่งนี้คืออะไร และทราบว่าต้วนหลิงเทียนไม่คิดสละแท่นศิลาสูงสุดให้ นางก็ล้มเลิกความคิดตี้ซี้ต้วนหลิงเทียนทันที
“ไอ้หนู ต่อไปก็อยู่ห่างๆมู่หรงเซี่ยวเซี่ยวไว้ให้มาก…หาไม่แล้วเจ้าอาจตายไม่รู้ตัว!”
หลังเห็นมู่หรงเซี่ยวเซี่ยวกับโอวหยาเหินร่างขึ้นไปแล้ว ชายหนุ่มชุดดำก็พาชายหนุ่มชุดเขียวมาหยุดเบื้องหน้าต้วนหลิงเทียน มันมองจ้องต้วนหลิงเทียนด้วยสาตาเยียบเย็นเอาเรื่อง ทิ้งคำขู่ไว้คำหนึ่ง ก่อนจะพาชายหนุ่มชุดเขียวเหินร่างขึ้นไปยังแท่นศิลาเหนือหุบเขา
หากไม่ใช่ว่ากลัวฆ่าต้วนหลิงเทียนไปแล้ว อีกฝ่ายอาจเป็นคนสุดท้ายที่ตายครบกำหนดเงื่อนไขการเปิดออกของแดนสวรรค์ใต้โบราณล่ะก็ ชายหนุ่มชุดดำคงเลือกลงมือสังหารต้วนหลิงเทียนไปนานแล้ว
เผชิญกับวาจาข่มขู่ของชายหนุ่มชุดดำ ต้วนหลิงเทียนแค่ส่ายหัวไปมาเบาๆ แต่ไม่คิดจะพูดอะไรออกมา
“ฮ่าๆๆ น้องชายเจ้านับว่าโชคดียิ่งนัก! ปกติหลี่หยวนผู้นั้นนิสัยอำมหิตไม่ไว้หน้าใคร ไม่คิดเลยว่ามันจะปล่อยเจ้าไปง่ายๆ”
หลังชายหนุ่มชุดดำกับบชายหนุ่มชุดเขียวพากันเหินร่างขึ้นไปบนฟ้า ชายชุดแดง 1 ใน 4 คนที่เหลือก็มองมาทางต้วนหลิงเทียนพลางกล่าวด้วยเสียงหัวเราะ
“ใช่แล้วน้องชาย..ด้วยนิสัยของหลี่หยวน หากไม่ใช่เพราะมันกลัวว่าเกิดฆ่าเจ้าไป แล้วทุกคนอาจจะถูกส่งออกจากแดนสวรรค์ใต้โบราณทันที มันไม่พ้นต้องลงมือจัดการเจ้าแน่ นับว่าเจ้าโชคดีจริงๆ!”
ชายชราในชุดคลุมสีเงินกล่าวเสริม เห็นชัดว่ามันเห็นด้วยกับชายหนุ่มชุดแดง
“ฟังจากที่พวกท่านพูด…หมายความว่าหากมันคิดฆ่าข้า ตัวข้าก็ไม่อาจรอดพ้นเงื้อมมือมันได้หรือ?”
ต้วนหลิงเทียนคลี่ยิ้มบางๆ พลางเอ่ยถาม
ที่แท้ชายหนุ่มชุดดำที่เขม่นเขาเพราะหญิง ก็คือหลี่หยวนนี่เอง
หลี่หยวนเป็นใครนั้น เขาเคยได้ยินเชวียจิงอวี่กับคนอื่นๆคุยกันตอนรอเวลาก่อนหน้านี้ มันก็คือคนที่เข้าใจความลึกซึ้งของกฏ 2 ประการเช่นกัน และยังเป็นความลึกซึ้งของกฏแห่งทอง!
นอกจากนั้นหลี่หยวนยังเป็นอัจฉริยะของนิกายระดับ 8 กระทั่งเป็นอัจฉริยะในรอบพันปีของนิกายระดับ 8 ที่ว่าอีกด้วย
แต่นี่ก็เป็นเรื่องธรรมดา ผู้ที่จะมาถึงวังจอมราชันอมตะและสถานที่สุดท้ายแบบนี้ได้ ก็ล้วนแล้วแต่เป็นอัจฉริยะระดับแนวหน้าของเขตปกครองคฤหาสน์เฉวียนโยวทั้งสิ้น
“น้องชายอย่าพึ่งไม่พอใจพวกเราเลย…ที่พวกเรากล่าวเช่นนี้ ก็เพราะเจ้าหลี่หยวนคนนั้นมันร้ายกาจมิใช่ชั่วจริงๆ…มันเข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งทอง 2 ประการแล้ว!”
ชายชราในชุดคลุมสีเงินกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“แล้วพลังฝีมือของมันหากให้เทียบกับสุมาฉุนหรือตงฟางจิ่นหลุน นับว่าเป็นยังไง?”
เผชิญหน้ากับรอยิ้มของชายชราชุดคลุมสีเงิน ต้วนหลิงเทียนก็ยักไหล่อย่างไม่ยี่หระ พลางถามสืบต่อ
และคำถามดังกล่าวของเขา ก็ทำให้ชายชราในชุดคลุมสีเงินกับคนอื่นๆที่กำลังจะเหินร่างขึ้นไปบนฟ้า พลันชะงักลงทันที จากนั้นทั้ง 4 ก็หันมามองจ้องเขาอย่างพร้อมเพรียง
“สุมาฉุน? ตงฟางจิ่นหลง?”
ได้ยินคำถามดังกล่าวของต้วนหลิงเทียน ชายในชุดแดงอดตกตะลึงไปไม่ได้ จากนั้นมันก็เริ่มหันไปหรี่ตามองสำรวจทุกคนที่อยู่บนฟ้าทันที “จะว่าไปก่อนหน้าข้าก็ไม่ทันได้สังเกต…สุมาฉุนับตงฟางจิ่นหลุนไปไหน? อาศัยพลังฝีมือของพวกมัน คิดจะมาถึงที่นี่คงมิใช่เรื่องยากอันใดนี่นา?”
“ใช่ ในบรรดาคนที่เข้ามาในแดนสวรรค์ใต้โบราณครั้งนี้ พวกมันนับเป็นคนที่เข้าใจความลึกซึ้งของกฏ 2 ประการที่เหลือที่ข้ายังไม่เห็น…”
ชายวัยกลางคนในชุดสีน้ำเงินเอ่ยถามออกมาลอยๆเสียงเข้ม “ตามหลักแล้ว ไม่น่าจะเป็นแบบนี้ไปได้…หรือพวกมันทั้งคู่ตกตายไปแล้ว?”
“นั่นสิ หากพวกมันยังไม่ตาย หากเข้ามาในวังจอมราชันอมตะได้ ก็สมควรมาปรากฏตัวที่นี่เช่นกัน…”
ชายชราในชุดคลุมสีเทากล่าวอย่างเห็นด้ววย
จากนั้นชายชราในชุดสีเงินกับอีก 3 คนที่เหลือก็หันมามองหน้าสบตากัน และพอนึกถึงคำถามก่อนหน้าของชายหนุ่มชุดม่วงตรงหน้า ลูกตาของพวกมันก็เริ่มฉายความหวาดกลัวให้เห็น
“น้องชาย…อยู่ดีๆเจ้าก็ถามถึงสุมาฉุนกับตงฟางจิ่นหลุนแบบนี้ หรือน้องชายล่วงรู้ว่าพวกมันอยู่ที่ใด?”
ชายชราในชุดคลุมสีเงินสูดลมหายใจเข้าลึกๆคำหนึ่ง ค่อยเอ่ยถามออกมา
“อ่อ ข้าย่อมรู้…”
ต้วนหลิงเทียนเหลือบมองชายชราชุดคลุมเงิน พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “พวกมันสองคนตายแล้ว”
ถึงแม้ทั้ง 4 จะตระหนักได้ว่าผลลัพธ์อาจเป็นแบบนี้ แต่พอได้ฟังคำยืนยันจากปากต้วนหลิงเทียน พวกมันก็อดไม่ได้ที่จะตื่นตระหนกตกใจ!
สุมาฉุน อัจฉริยะจากตระกูลระดับ 7 อยย่างตระกูลสุมา ผู้ที่เข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งลมอย่างความหมายแห่งลมกับ ลมกรด…
ความแข็งแกร่งของอีกฝ่า หากให้เทียบกับพวกมันแล้ว ก็ไม่ด้อยกว่าแม้แต่น้อย
ถึงพวกมันทั้ง 4 จะเข้าใจความลึกซึ้งของกฏ 2 ประการ แต่เรื่องที่จะให้ฆ่าสุมาฉุนนั้น พวกมันรู้ตัวว่าทำไม่ได้ เพราะหากสุมาฉุนคิดหนี พวกมันก็จนปัญญาจะเข่นฆ่าจริงๆ
เพราะสุมาฉุนที่เข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งลมอย่าง ลมกรด ไม่ใช่อะไรที่พวกมันจะไล่ตามได้ทัน!
สำหรับตงฟางจิ่นหลุนนั่น…
อีกฝ่ายก็คืออัจฉริยะของตระกูลตงฟางที่เป็นตระกูลระดับ 7 เข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งสายฟ้า 2 ประการ นอกจากความหมายแห่งสาฟ้า ความลึกซึ้งอีกประการก็คือ อัสนีฟาด …
กล่าวได้ว่าพลังฝีมือของตงฟางจิ่นหลุนนั้นพอๆกับสุมาฉุนเลย เทียบกับพวกมันแล้วก็มีแต่จะแข็งแกร่งกว่า ไม่อ่อนด้อยกว่าแน่นอน
ทว่า 2 คนนั้น ตายแล้วจริงๆเหรอ?
“น้องชาย…พวกมัน…พวกมันคงไม่ใช่ว่าถูกเจ้าฆ่าตายไปหรอกนะ?”
ชายวัยยกลางคนในชุดสีน้ำเงิน มองต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาหวั่นๆ หลังกลืนน้ำลายลงคออึกหนึ่ง ก็เอ่ยถามออกมาอย่างไม่อยากจะเชื่อเรื่องราว
ขณะเดียวกัน อีก 3 คนก็หันไปมองรอฟังคำตอบต้วนหลิงเทียนเช่นกัน
“อ่า”
เผชิญกับสายตาคาดหวังคำตอบของทั้ง 4 ต้วนหลิงเทียนพยักหน้ารับเบาๆ จากนั้นก็กระโดดเบาๆส่งร่างให้ลอยขึ้นไปในอากาศ ก่อนคนจะเหินลอยขึ้นไปอย่างไม่รีบไม่ร้อน
“พวกมันแต่ละคนล้วนมาหาเรื่องข้า…สุดท้ายอาศัยพลังฝีมืองั้นๆของพวกมัน ข้าลำบากแค่ 1 ท่าก็ฆ่าพวกมันในพริบตา”
พอวาจาต่อมาของต้วนหลิงเทียนดังขึ้นเข้าหูทั้ง 4 ลูกตาพวกมันก็หดเล็กลงโดยพลัน สีหน้ายังเผยความประหลาดใจทั้งเหลือเชื่อ
กระทั่งจังหวะนี้ทั้ง 4 ยังได้ยินเสียงลมหายใจหอบถี่ของคนข้างๆชัดเจน
เพียงเพราะคำพูดของชายหนุ่มชุดม่วงสะท้านขวัญเกินไป!
หากชายหนุ่มชุดม่วงเพียงยอมรับว่าฆ่าสุมาฉุนกับตงฟางจิ่นหลุนไปเท่านั้น พวกมันจะไม่แลดูตื่นตระหนกขนาดนี้
แต่ปัญหาก็คือ…
ชายหนุ่มชุดม่วงไม่เพียงยอมรับว่าฆ่าสุมาฉุนกับตงฟางจิ่นหลุนเท่านั้น แต่ยังกล่าวอีกว่าอาศัย 1 ท่าก็ฆ่าทั้งคู่ได้ในพริบตา!!
“มัน…มันล้อพวกเราเล่นรึเปล่า?”
“เจ้าเห็นท่าทีมัน…เจ้าคิดว่ามันล้อเล่นรึเปล่าเล่า?”
“สุมาฉุนกับตฟางจิ่นหลุน…ต่อให้เจ้าหนุ่มนั่นมันจะเข้าใจความลึกซึ้งประการที่ 3 ก็ไม่ใช่ว่าจะฆ่าทั้งคู่ได้มิใช่หรือไร?”
“กระทั่งให้มันมีอุกรณ์อมตะจอมราชันในมือ แต่ด้วยความเร็วของทั้งคู่มันจะฆ่าคนได้จริงๆ?”
…
ฟังจากวาจากระซิบกระซาบของทั้ง 4 เห็นชัดว่าพวกมันยากจะเชื่อในสิ่งที่ต้วนหลิงเทียนพูดได้ลงคอ และคิดว่าต้วนหลิงเทียนอาจจะกล่าวเกินจริงไปหน่อย
ขณะเดียวกัน ร่างต้วนหลิงเทียนก็เหินตรงไปยังแท่นศิลาสูงสุด จนเข้าใกล้มันทุกขณะ
“เซี่ยวเซี่ยว…มิใช่เจ้าสมควรไปแท่นหินบนสุดหรือ…ไฉนมาหยุดลงตรงแท่นหินทั้ง 2 นี่เล่า?”
ชายหนุ่มชุดดำ หลี่หยวน และชายหนุ่มชุดเขียว หวังเซี่ยน พอเหินร่างมาถึงแท่นศิลาทั้ง 2 ที่รองลงมาจากแท่นศิลาสูงสุด ก็อดไม่ได้ที่จะแปลกใจเมื่อพบว่ามู่หรงเซี่ยวเซี่ยวกับโอวหยา ก็มาป้วนเปี้ยนแถวนี้เหมือนกัน
“หรือ…เจ้าคิดจะช่วยแม่นางโอวหยยาให้ได้รับแท่นศิลา 1 ใน 2 แท่นนี้?”
ครู่ต่อมา หลี่หยวนก็ตระหนักได้ถึงเรื่องราวบางประการ หลังเหลือบมองโอวหยาข้างๆมู่หรงเซี่ยวเซี่ยวปราดหนึ่ง ก็ขมวดคิ้วเอ่ยถามออกมา
ขณะเดียวกันสีหน้าของหวังเชี่ยนที่ฟังเรื่องราวอยู่ข้างๆก็เปลี่ยนไปทันที
ลำพัง โอวหยา ย่อมไม่อาจต่อกรกับหลี่หยวนได้ แต่หากมู่หรงเซี่ยวเซี่ยวคิดช่วยเหลือโอวหยาชิงแท่นศิลาจริง หลี่หยวนก็ไม่อาจช่วยอะไรมันได้ หมายความว่ามันเสมือนถูกลิขิตให้พลาดแท่นศิลาทั้ง 2 เบื้องหน้าแล้ว!