หุบเขาอันมืดมิดไร้แสงตะวันสาดส่องยามนี้ เสมือนเผชิญหน้ากับภัยพิบัติเพลิงวายุ ทั้งหุบเขาบังเกิดความวินาศสันตะโรครั้งยิ่งใหญ่ ราวกับวันสิ้นโลกมาถึงแล้วก็ไม่ปาน
“เล็งได้แล้ว!”
ท่ามกลางเพลิงไฟที่ลุกโชนเร่าๆ ร่างต้วนหลิงเทียนที่บุกฝ่าพายุใต้ฝุ่นมหาประลัย อันเต็มไปด้วยคลื่นพลังสะบั้น คมมีดสายลมไม่เว้นเส้นด้ายดั่งไหมเงินเข้ามา ในที่สุดก็สามารถเพ่งเล็งไปยังหว่างคิ้วของนักฆ่ากะโหลกเลือดได้สำเร็จ
“ดิ้นรนได้ไม่เลวนี่…ถึงกับฝ่าเข้ามาหาข้าได้”
เมื่อเห็นร่างอันยับเยินที่เนื้อตัวเต็มไปด้วยรอยแผล ทั้งเสื้อคลุมขาดวิ่นไม่มีชิ้นดีของต้วนหลิงเทียน นักฆ่ากะโหลกเลือดก็อดไม่ได้ที่จะแปลกใจอยู่บ้าง ที่ต้วนหลิงเทียนสามารถดิ้นรนเข้ามาใกล้ตัวมันได้ขนาดนี้
“อย่างไรก็ตาม เจ้ามาได้แค่นี้ล่ะ…เรื่องราวสมควรจบได้เสียที”
มุมปากนักฆ่ากะโหลกเลือดยกยิ้มแสยะเย้ยเยาะ พร้อมกันนั้นมือมันก็สะบัดไปทางต้วนหลิงเทียน อาวุธที่มีลักษณะเป็นไหมสีเงินของมันก็เริ่มม้วนขนด ก่อนจะสะบัดฟาดไปทางต้วนหลิงเทียนดั่งหางอสรพิษปราดเปรียว!
ไหมเงินฟาดมาครานี้ สภาวะพลังของมันประหนึ่งทัพม้านับพันยาตราก็ไม่ปาน เพราะยามมันฟาดฟันเข้ามา ก็ปรากฏคลื่นสะบั้นนับร้อยพันก่อเกิดติดตามมาดั่งเงา ทำราวกับจะสะบั้นหั่นร่างต้วนหลิงเทียนให้ไร้ซากศพสมบูรณ์!
ขณะออกกระบวนท่าสังหาร สองตานักฆ่ากะโหลกเลือดก็ชืดชาเหลือเกิน สีหน้าของมันไม่มีอารมณ์ความรู้สึกใดๆอยู่เลย
ประหนึ่งในสายตาของมัน ต้วนหลิงเทียนก็คือคนที่ตายไปแล้ว
“ตอนนี้ล่ะ เจ้าหนู!!”
และในขณะที่นักฆ่ากะโหลกเลือดเห็นร่างต้วนหลิงเทียนบุกฝ่าพายุใต้ฝุ่นคมพลังมหาประลัยของมันเข้ามาได้ และออกกระบวนท่าสังหารไปหมายปิดงาน เสียงของทองเทพสุดลี้ลับก็โพล่งดังขึ้นในหูต้วนหลิงเทียนอย่างประจวบเหมาะ!
“ตาย!”
ได้ยินเสียงโพล่งดังของทองเทพสุดลี้ลับ สองตาที่ต้วนหลิงเทียนใช้มองนักฆ่ากะโหลกเลือดก็กลับกลายเป็นเยียบเย็น ขณะเดียวกันกระบี่ในมือก็ปะทุแสงพลังออกมาสว่างเจิดจ้า 7 สีสัน!
วู้ม! วู้ม! วู้ม! วู้ม! วู้ม! วู้ม! วู้ม!
…
กระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยนในมือต้วนหลิงเทียนที่แต่เดิมไม่คล้ายมีอะไรพิเศษ บัดนี้ได้ปลดปล่อยพลังงอำนาจออกมาถึงขีดสุด! แสงพลังส่องสว่างเจิดจ้า กลิ่นอายพลังอันน่าพรั่นพรึงปะทุออกมาอย่างไม่คิดจะกักเก็บ!!
รังสีกระบี่ 7 สายหลากสีสัน พวยพุ่งออกมาจากตัวกระบี่อย่างพร้อมเพรียง พวกมันเริ่มโคจรม้วนวนรอบๆกระบี่ เปล่งแสงประชันกันและกัน!
อีกทั้งรังสีกระบี่ทั้ง 7 สี ยังเปล่งกลิ่นอายที่แตกต่างกันออกไปอย่างสิ้นเชิง
และเมื่อรังสีกระบี่ 7 สีดังกล่าวห้อมล้อมเวียนวนรอบกระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยนอยู่พักหนึ่ง กระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยนก็เริ่มสั่นไหวไปปานโดนฉีดเลือดไก่ แสงพลังสาดส่องออกมาเจิดจ้า พริบตากลิ่นอายของมันก็คล้ายจะทวีความดุร้ายคมกล้าขึ้นไป 5 เท่า!
กลิ่นอายที่แผ่กำจายออกมาทั่วกระบี่ยามนี้มันทรงพลังอันตรายเหลือเกิน
“นี่มัน…”
นักฆ่าโครงกระดูกที่พึ่งลงมือป้อนกระบวนท่าสังหารเข่นฆ่ามาทางต้วนหลิงเทียน หากวินาทีนี้มันยังไม่รับทราบถึงความไม่ธรรมดาของกระบี่ในมือต้วนหลิงเทียน น่ากลัวชีวิตที่อยู่มานานของมันคงไร้ค่าเยี่ยงชีวิตสุนัข!
อย่างไรก็ตาม ก่อนที่มันจะทันได้มีเวลาตอบสนองกับความเปลี่ยนแปลงที่อุบัติขึ้นในฉับพลัน มันก็เหลือบไปเห็นด้ายสีทองที่เริ่มหลั่งไหลไปทั่วกระบี่ของต้วนหลิงเทียน
หากมองดูให้ดีนั่นมิใช่ด้ายสีทองอันใด แต่เป็นกระแสพลังสีทอง! แถมบัดนี้กระแสพลังดังกล่าวคล้ายกลายเป็นสายน้ำเชี่ยวหนึ่ง หลั่งไหลฉาบเคลือบไปทั่วตัวกระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยนเร็วไว!!
ซัว! ซัว! ซัว! ซัว! ซัว! ซัว! ซัว!
…
ไหมสีเงินในมือนักฆ่ากะโหลกเลือด ยังคงตวัดฟาดฟันหอบหิ้วคลื่นพลังสะบั้นนับไม่ถ้วนเข่นฆ่ามาทางต้วนหลิงเทียน ด้วยสภาวะพลังดุร้าย หมายสับสะบั้นหั่นร่างต้วนหลิงเทียนให้แหลกเป็นหมื่นๆชิ้น
เผชิญหน้ากับฉากอันตรายดังกล่าว ต้วนหลิงเทียนหาได้นำพาความตาย เพียงควบรวมสำนึกเทวะลงสู่ตัวกระบี่และใช้ออกด้วยกระบวนท่าใจกระบี่เหินสวนออกไปอย่างไร้หวั่นหวาด!
ฟั่ฟฟฟฟฟฟ!!
หนึ่งกระบี่ พุ่งทะยานออกไปด้วสภาวะพลังน่าพรั่นพรึง ประหนึ่งจะทะลวงได้กระทั่งความว่างเปล่า ไม่ว่ามันจะผ่านพ้นไปที่ใด กระแสพลังสีทองที่ห่อหุ้มก็เปล่งพลังอานุภาพทะลวงทำลายคลื่นสะบั้นที่โถมถันเข้ามาเบื้องหน้าหมดสิ้น!
อย่างไรก็ตามคลื่นสะบั้นบางส่วนยังคงเล็ดลอดมาเชือดเฉือนเลือดเนื้อต้วนหลิงเทียน ทำให้ร่างกายที่ยับเยินอยู่แล้วของเขาปรากฏบาดแผลฉกรรจ์อีกนับร้อยจุดในชั่วพริบตา ประหนึ่งคนพึ่งวิ่งผ่านเครื่องปั่นเนื้อมาอย่างไรอย่างนั้น
เรียกว่าบัดนี้ถึงกาลอวสานของชุดคลุมสีม่วงตัวเก่งที่แท้จริง! ชิ้นเนื้อบางส่วนยังขาดวิ่นปลิดปลิว โลหิตสาดกระจายส่งกลิ่นคาวคลุ้ง สภาพดูแทบไม่คล้ายผู้คน!!
เรื่องราวทั้งหมดอุบัติขึ้นในห้วงเวลาชั่วพริบตาดุจฟ้าแลบ
“อุปกรณ์อมตะระดับจักรพรรดิ!!”
นักฆ่ากะโหลกเลือดที่เห็นสภาวะพลังแกร่งกล้าหาใดเปรียบของกระบี่ อันฉาบเคลือบไปด้วยกระแสพลังสีทองที่พุ่งฝ่าคลื่นสะบั้นและกระบวนท่าโจมตีของมันเข้ามาได้ง่ายดาย อดไม่ได้ที่จะอุทานออกมาด้วยความตื่นตระหนก และรู้ตัวอีกทีปลายกระบี่ก็จดจ่ออยู่ที่หว่างคิ้วมันแล้ว!
นักฆ่ากะโหลกเลือดไม่มีเวลาป้องกันหลบหนีหรือทำอะไรได้ทันเลย เพราะกระบี่บินนี้ของต้วนหลิงเทียนมาได้รวดเร็วเกินไป ทั้งทรงพลังอัศจรรย์เกินไป!
กระทั่งมันยังรู้สึกเสมือนพึ่งเห็นว่ากระบี่ในมือต้วนหลิงเทียนปรากฏกระแสพลังสีทองฉาบเคลือบอยู่แหม็บๆ ไม่ทันรู้ตัว เสี้ยวพริบตากระบี่ดังกล่าวก็พุ่งจี้มาถึงหว่างคิ้วมันเสียแล้ว
สวบ!
เสียงละมุนหนึ่งดังขึ้นแผ่วเบา ฟังไปคล้ายมีดเจาะผ่านเต้าหู้อยู่บ้าง เป็นกระบี่บินทะลวงฟ้ามาฉับไว ได้เสือกทะลวงเข้ากลางหว่างคิ้วของนนักฆ่ากะโหลกเลือด แรกเข้าใบกระบี่ใสสะอาด หากแต่ยามทะลุออกหลังหัวกลับเต็มไปด้วยสีแดงฉาน..
ในขณะที่กระบี่ชำแรกทะลวงเข้าหว่างคิ้วนั้น กระแสพลังสีทองที่ฉาบเคลือบตัวกระบี่เอาไว้ยังปะทุพลังอานุภาพเกรี้ยวกราด ป่นทำลายดวงจิตทั้งพลังวิญญาณที่กักเก็บภายในจนสิ้นสลาย ดั่งหนึ่งเท้าย่ำเหยียบใบไม้แห้งกรอบ แหลกลงเป็นผงละออง…
สองตานักฆ่ากะโหลกเลือดยังคงมองจ้องมาที่ต้วนหลิงเทียนอย่างไม่เข้าใจ จากนั้นร่างไร้วิญญาณที่สองตาเบิกโพลง เพียงเหินโถมมาอีกเล็กน้อยก็ค่อยๆร่วงลงตามแรงเฉื่อย
ก่อนที่มันจะตกตาย มันได้ทุ่มพลังทั้งหมดที่เหลือในร่างลงสู่เกราะอมตะระดับราชาที่ผ่านการขัดเกลาหล่อเลี้ยงจากจอมราชันอมตะเพื่อสร้างม่านพลังป้องกันเต็มที่แล้ว อนิจจาม่านพลังดังกล่าวกับถูกหนึ่งกระบี่เหินทะลวงเจาะเข้ามาได้อย่างไร้เรื่องราว…
เรียกว่ากระบวนการเจาะทะลวงของกระบี่อันส่องประกายแสงหลากสีสันนั่น เสมือนกำแพงแก้วอันแสนเปราะบางคิดต้านทานหอกขุนพลอย่างไรอย่างนั้น…
และก่อนที่จะถูกฆ่าตาย ในหัวของนักฆ่ากะโหลกเลือดก็คงเหลือเพียงความคิดเดียวเท่านั้น
“ต้วนหลิงเทียนผู้นี้ ไฉนจึงใช้ความลึกซึ้ง ‘ทะลวงเจาะ’ ของกฏแห่งทองได้ ทั้งๆที่กำลังใช้ความลึกซึ้งแห่งไฟอยู่?”
ลักษณะพลังของทองเทพสุดลี้ลับที่ฉาบเคลือบกระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยนของต้วนหลิงเทียนนั้น ให้ความรู้สึกคล้ายความลึกซึ้งทะลวงเจาะของกฏแห่งทองอยู่บ้าง
ตัวนักฆ่ากะโหลกเลือดเองก็เข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งลมหลายประการ ทำให้มันสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายที่ละม้ายคล้ายคลึงกันกับความลึกซึ้งของกฏแห่งลมประการหนึ่งจากกระบี่ของต้วนหลิงเทียนได้ไม่ยาก…
ความลึกซึ้งของกฏแห่งลมที่ว่า ก็คือ สะบั้น…
กฏแห่งทองนั้นมีความลึกซึ้ง ‘ทะลวงเจาะ’ ส่วนกฏแห่งลมก็มีความลึกซึ้ง ‘สะบั้น’ ซึ่งเป็นการเสริมพลังให้สุดโต่งไปทางหนึ่งเหมือนๆกัน เรียกว่าแม้จะส่งเสริมคนละด้าน แต่แนวทางการเสริมพลังก็มีส่วนคล้ายกัน
เดิมทีนักฆ่ากะโหลกเลือดผู้นี้ เพื่อที่จะทำความเข้าใจความลึกซึ้งสะบั้น มันเองไม่เพียงแต่จะศึกษาจากลูกแก้วเงาลอยที่บันทึกฉากผู้ใช้ความลึกซึ้งสะบั้นของกฏแห่งลมเท่านั้น แต่ยังศึกษาลูกแก้วเงาลอยที่บันทึกฉากคนใช้ความลึกซึ้ง ทะลวงเจาะของกฏแห่งทอง เพื่อหาแรงบันดาลใจอีกด้วย…
ด้วยเหตุนี้มันจึงเห็นฉากที่ผู้ใช้ความลึกซึ้งทะลวงเจาะของกฏฏแห่งทองมามากมาย ไม่ได้ด้อยไปกว่าที่ฉากผู้ใช้ความลึกซึ้งสะบั้นของกฏแห่งลมเลยด้วยซ้ำ…
เป็นธรรมดาว่าหากตัวต้วนหลิงเทียนนั้น จะเข้าใจความลึกซึ้งทะลวงเจาะของกฏแห่งทองด้วย ก็ไม่ใช่เรื่องที่มันคิดว่าเป็นไปไม่ได้
อย่างไรก็ตาม ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนกำลังใช้ความลึกซึ้ง ความหมายแห่งไฟ ลุกโหม ปะทุ ของกฏแห่งไฟอยู่ชัดๆ แต่ไฉนอีกฝ่ายถึงได้ใช้ความลึกซึ้งทะลวงเจาะของกฏแห่งทองออกมาได้? สิ่งนี้ทำให้มันไม่อาจเข้าใจได้สิ้นเชิง ยังล้มล้างความคิดที่ว่าความลึกซึ้งของกฏต่างชนิดกันไม่อาจใช้พร้อมกันได้ไปโดยสมบูรณ์
ฟู่มมมม!!
ซัว ลา ลา!
…
หลังนักฆ่ากะโหลกเลือดตกตาย พายุพลังมหาประลัยที่เต็มไปด้วยคลื่นสะบั้นทั้งคมมีดสายลมเมื่อไร้ผู้ควบคุม ก็สูญสิ้นเสถียรภาพและแตกกระจายทันที บังเกิดเป็นสายลมวิปริตรุนแรงซัดกวาดไปทั่วสารทิศ นอกจากนั้นคลื่นสะบั้นทั้งคมมีดสายลมก็ซัดทำลายออกไปวุ่นวาย!
ทันใดนั้น
เปรี้งงงง!!
ตูมม!! ครืนนนน! ครึก! ครึกก!!
…
หุบเขาสั่นสะท้านสะเทือนประหนึ่งบังเกิดแผ่นดินไหวครั้งยิ่งใหญ่ หน้าดินถล่มลงมาอย่างรุนแรง ฝุ่นละอองคละคลุ้งไปทั่ว
“อั๊ค…แค่ก แค่ก..”
“แฮ่ก~~แฮ่ก~~แฮ่ก~~”
…
หลังพายุมหาประลัยสลายตัว ร่างต้วนหลิงเทียนที่อยู่ ณใจกลางแรงระเบิด แน่นอนว่าย่อมได้รับผลกระทบครั้งใหญ่ คนปลิดปลิวร่วงไปกองสิ้นท่าอยู่บนพื้น คนนอนแผ่หรากระอักโลหิตออกมาคำใหญ่ทั้งหอบหายใจแฮ่กๆ
หลังจากรีดเค้นพลังเฮือกสุดท้ายควบคุมกระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยนให้บินย้อนกลับมาและเก็บกลับไป ต้วนหลิงเทียนก็ถูกความเจ็บปวดเคี่ยวกรำจนแทบสิ้นสติ
หลังนอนหอบหายใจอยู่พักใหญ่ ต้วนหลิงเทียนก็ค่อยๆยกมือที่บัดนี้บังเกิดรอยแผลชิ้นเนื้อขาดวิ่นเห็นกระดูกดั่งผ้าขี้ริ้วเก่าๆขึ้นมาเบาๆ เรียกโอสถรักษาออกจากแหวนพื้นที่ก่อนจะตบเข้าปาก จากนั้นก็รอให้โอสถแสดงผลอยู่พักหนึ่งเริ่มโคจรพลังเพื่อกระจายผลของมันไปทั่วร่าง
ผ่านไปไม่กี่สิบลมหายใจอาการบาดเจ็บของเขาก็ทุเลาลงจนเริ่มมีเรี่ยวแรงให้พอขยับร่างได้อีกครั้ง
“เจ้าหนู เพลิงเทพโกลาหลกับทองเทพสุดลี้ลับ ได้เข้าสู่ห้วงนิทราเป็นการชั่วคราวเพราะช่วยเจ้า…ข้าเองก็จำต้องงีบหลับเพื่อฟื้นฟูพลังสักระยะ…”
ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนเริ่มมีเรี่ยวแรงขยับตัว และคิดจะไปเก็บอุปกรณ์อมตะของนักฆ่ากะโหลกเลือดและแหวนพื้นที่ของอีกฝ่าย ก็พอดีกับที่เสียงปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินดังขึ้นในหัวเขาเสียก่อน
ในอดีตนั้นน้ำเสียงเล็กๆปานเด็กน้อยยังไม่หย่านมมารดาของปฐพีเทพสุดลี้ลับจะเต็มไปด้วยความคึกคักมีชีวิตชีวา ทว่าคราวนี้กลับเฉื่อยชาคล้ายเด็กน้อยง่วงนอน และยิ่งพูดเสียงก็เบาลงมากขึ้นทุกขณะ
“ขยันบ่มเพาะให้มาก เพิ่มพูนความแข็งแกร่งให้เร็วที่สุด…นอกจากนี้แม้เพลิงเทพโกลาหลจะเข้าสู่ห้วงนิทรา แต่เจ้าไม่เพียงจุดเพลิงขึ้นมาเพื่อหลอมโอสถ เจ้ายังใช้เป็นสื่อเพิ่มเพิ่มความเร็วในการทำความเข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งไฟได้อยู่…”
“ด้วยวิธีนี้ความเร็วในการทำความเข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งไฟของเจ้า ก็จะยังก้าวหน้ารวดเร็วกว่าผู้อื่น…”
“แน่นอนว่าถึงจะเร็วขึ้นกว่าคนอื่นก็จริง แต่ก็ยังด้อยกว่ามีเพลิงเทพโกลาหลคอยชี้แนะมาก…”
“ทว่า…ตอนนี้ต่อให้เจ้าอยากได้รับคำชี้แนะจากเพลิงเทพโกลาหลมากแค่ไหน ข้าก็เกรงว่าเจ้าต้องรอจนกว่ามันจะตื่นขึ้นอีกครั้ง…”
เสียงปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินค่อยๆเบาลงเรื่อยๆ สุดท้ายพอกล่าวถึงจุดนี้ก็หยุดลงกะทันหัน จากนั้นก็เงียบหายไปเลย
‘ดูเหมือนหลังจากนี้คงต้องพึ่งตัวเองอย่างเดียวแล้ว…’
ต้วนหลิงเทียนลอบกล่าวในใจ
“ต้วนหลิงเทียน!”
ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนกำลังจะเก็บสินสงครามจากนักฆ่ากะโหลกเลือดอีกครั้ง ก็พลันมีเสียงดังขึ้นจากด้านนอกหุบเขาเสียก่อน แถมเสียงดังกล่าวยังเต็มไปด้วยความวิตกกังวลอย่างมาก
ฟังแล้ว ต้นเสียงยังห่างจากหุบเขาอยู่พอสมควร…
“ประมุขรึ?”
อย่างไรก็ตามพอต้วนหลิงเทียนรู้สึกตัวและจดจำได้ว่าเจ้าของเสียงเป็นใคร ก็ปรากฏร่างหนึ่งผุดโผล่ขึ้นในอากาศเบื้องหน้าเขาปานภูตผี
เป็นชายวัยกลางคนรูปร่างปานกลางค่อนไปทางผอม มาในชุดนักพรตเต๋าเก่าๆ
เป็นประมุขนิกายอมตะเป้าผู่ ซุนเหลียงเผิง
“ต้วนหลิงเทียนเจ้า…เจ้าบาดเจ็บสาหัสนัก!”
พอเห็นบาดแผลเหวอะหวะทั่วร่างต้วนหลิงเทียน กระทั่งบางจุดยังลึกจนเห็นอวัยวะภายในไม่เว้นกระดูก สีหน้าซุนเหลียงเผิงก็เปลี่ยนไปไม่น้อย จากนั้นก็ถามออกมาอย่างไม่รู้ตัวว่า “แล้วนักฆ่ากะโหลกเลือดเล่า…”
“ตรงนั้น…”
ต้วนหลิงเทียนเงยหน้าไปยังทิศทางหนึ่ง ซึ่งตรงนั้นปรากฏร่างแหลกเหลวจากการร่วงตกจากที่สูงของนักฆ่ากะโหลกเลือดนอนตายจมแอ่งเลือดคาวคลุ้งอยู่…
ซุนเหลียงเผิงโรยตัวลงมายืนบนพื้น จากนั้นก็เดินไปดูศพของนักฆ่ากะโหลกเลือดทันที
พอเห็นว่าเป็นศพของนักฆ่ากะโหลกเลือดจริงๆ ซุนเหลียงเผิงก็ตกตะลึงอึ้งไปโดยสมบูรณ์ “นิ…นี่คือนักฆ่ากะโหลกเลือด?”
“มัน…ถูกต้วนหลิงเทียนฆ่าตายงั้นหรือ!?”
ในขณะที่ซุนเหลืองเผิงฟื้นสติจากความตกใจ ก็พอดีกับต้วนหลิงเทียนที่ใช้พลังเก็บของจากร่างไร้วิญญาณของนักฆ่ากะโหลกเลือดมาได้ในที่สุด
“นี่นับเป็นครั้งแรกเลยจริงๆที่ข้าเห็นอุปกรณ์อมตะประเภทศาสตราที่มีลักษณ์เป็นเส้นไหมแบบนี้…แม้มันจะดูบอบบาง แต่หากไปอยู่ในมือของผู้ใช้กฏแห่งทองหรือกฏแห่งลมจะเป็นอะไรที่น่ากลัวมาก”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวพึมพำขณะตรวจสอบอาวุธที่นักฆ่ากะโหลกเลือดใช้
ก่อนหน้านี้ยามนักฆ่ากะโหลกเลือดลงมือ เส้นไหมสีเงินนี่มันแหวกฝ่าอากาศมารวดเร็วเหลือเกิน ความว่างเปล่าเสมือนถูกมันตัดผ่าได้อย่างง่ายดาย
ฟุ่บ!
ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนเก็บไหมเงินของนักฆ่ากะโหลกเลือดลงแหวนพื้นที่แล้วเสร็จ ก็พอดีกับที่ร่างซุนเหลียงเผิงมาปรากฏตัวข้างๆเขาอีกครั้ง
“ต้วนหลิงเทียน นักฆ่ากะโหลกเลือดผู้นี้มีด่านพลังฝึกปรือขอบเขตใด?”
ซุนนเหลียงเผิงมองถามระดับบ่มเพาะนักฆ่ากะโหลกเลือดจากต้วนหลิงเทียนด้วยความสงสัย
“ราชาอมตะ 6 ผสาน…”
ต้วนหลิงเทียนกล่าว