“หืม?”
หลังจากต้วนหลิงเทียนลืมตาขึ้นมา และกำลังครุ่นคิดอยู่ว่าเขาสมควรทะลวงถึงขอบเขตขุนนางอมตะได้ภายใน 1 ปีนั้น เขาพลันสัมผัสได้ว่ามีข้อความหนึ่งส่งตรงมาถึงเขา
ถึงแม้ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา เขาจะได้รับข้อความติดต่อมาจากกหวงเจียหลง และได้ยินเรื่องชีวิตของอีกฝ่ายหลังใช้ชีวิตอยู่ที่นิกายอมตะฮวนเหอมากมาย
แต่ทว่า ข้อความที่พึ่งส่งมาถึงเขาตอนนี้ กลับเป็นข้อความแรกของคนๆหนึ่ง
อยู่ๆอีกฝ่ายก็ติดต่อมาแบบนี้ ทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกแปลกใจอยู่บ้าง
และผู้ที่ส่งข้อความติดต่อมาหาเขาครั้งนี้ ก็คือ หลิงเจวี๋ยอวิ๋น!
“เจ้ายังไม่ได้ทะลวงถึงขอบเขตขุนนางอมตะใช่ไหม?”
ประโยคแรกที่หลิงเจวี๋ยอวิ๋นติดต่อมาหลังจากผ่านไปหลายปี ก็เป็นการเอ่ยถามเรื่องด่านพลังของเขาออกมาตรงๆ ว่าทะลวงถึงขอบเขตขุนนางอมตะแล้วหรือยัง…
“ยัง…เจ้าล่ะ ทะลวงผ่านแล้วรึ?”
พอได้ยินคำถามของอีกฝ่าย สิ่งแรกที่ต้วนหลิงเทียนคิดก็คือ อีกฝ่ายไม่พ้นต้องทะลวงถึงขอบเขตขุนนางอมตะแล้วแน่นอน ที่ติดต่อมาถาม ก็น่าจะเพื่อเปรียบเทียบแข่งขันความเร็วในการก้าวหน้ากับเขา
“ไม่”
ทว่าคำตอบของหลิงเจวี๋ยอวิ๋นก็ทำให้ต้วนหลิงเทียนรู้สึกประหลาดใจทันที
ไม่?
ในเมื่อไม่ได้คิดอวดด่านพลัง แล้วอีกฝ่ายติดต่อมาถามเขาแบบนี้เขาทำไม?
หรืออีกฝ่ายกังวลว่าเขาจะทะลวงผ่านได้ก่อน?
ทำให้หลังได้รู้คำตอบของหลิงเจวี๋ยอวิ๋น ต้วนหลิงเทียนก็ไม่รู้จะไปต่อยังไง ได้แต่เงียบไปรอให้อีกฝ่ายเปิดประเด็น
“ต้วนหลิงเทียน อีก 2 ปีหลังจากนี้ ข้าจะไปหาเจ้า…หลังจากนั้นพวกเราจะเดินทางไปยังอวี้หวงเทียนด้วยกัน”
หลิงเจวี๋ยอวิ๋นได้ส่งข้อความติดต่อมาอีกครั้ง
“อวี้หวงเทียน?”
(สวรรค์จักรพรรดิหยก)
พอได้ยินข้อความดังกล่าวของหลิงเจวี๋ยอวิ๋น ลูกตาต้วนหลิงเทียนก็หดเล็กลงทันที
สำหรับเขา อวี้หวงเทียน ไม่ใช่นามแปลกหูเลย
กระทั่งตอนที่เขาขึ้นสู่สวรรค์ ตัวเขายังอยู่ในระนาบเหยียนหวง ซึ่งหากไม่มีอะไรผิดพลาด เขาก็สมควรขึ้นสวรรค์ไปยังอวี้หวงเทียน
อย่างไรก็ตามเนื่องจากห้วงมิติเกิดการแปรปรวน หลังระนาบทวยเทพได้โคจรมาชนกันในรอบหมื่นปี ทำให้ผู้คนในระนาบโลกียะใดๆ ไม่อาจขึ้นสู่แดนสวรรค์อย่างที่ควรจะเป็น
ต้วนหลิงเทียนก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น
“เจ้าคิดจะพาข้าไปทำอะไรที่อวี้หวงเทียน?”
ต้วนหลิงเทียนถาม
ถึงแม้ว่าการเดินทางไปยังระนาบเทวโลกต่างๆนั้น ขอเพียงบรรลุถึงขอบเขตต้าหลัวจินเซียนและมีผลึกอมตะเพียงพอ ก็สามารถใช้ค่ายกลเคลื่อนย้ายข้ามระนาบได้
อย่างไรก็ตามต้วนหลิงเทียนไม่ได้คิดจะออกจากหลิงหลัวเทียน
ประการแรกเลย เขาขึ้นสวรรค์มายังหลิงหลัวเทียนแห่งนี้ และอยู่จนคุ้นชินแล้ว หากเดินทางไปยังแดนสววรรค์แห่งอื่น ก็ไม่ต่างอะไรจากไปยังสถานที่แปลกตา และต้องเสียเวลารวบรวมข้อมูลทำความเข้าใจกับสถานการณ์ใหม่อีกรอบ…
ประการที่สอง คิดจะเดินทางข้ามระนาบเทวโลกไหนเลยเป็นเรื่องราวอันง่ายดาย? ความเสี่ยงย่อมมีไม่มากก็น้อย!
หากด่านพลังฝึกปรืออ่อนด้อยเกินไป ยังต่างอะไรจากปลาบนเขียงให้ผู้อื่นแล่สับ
ดังนั้นจนถึงวันนี้ เขาจึงไม่มีความคิดจะเดินทางออกจากหลิงหลัวเทียนไปไหนเลย แม้จะบรรลุถึงยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดแล้วก็ตาม
“เมื่อ 3 วันก่อนมีคนมาหาข้า…”
ได้ยินคำถามของต้วนหลิงเทียน หลิงเจวี๋ยอวิ๋นก็ตอบกลับมาว่า “และคนที่มาหาข้าพอรู้ว่าข้ายังไม่บรรลุถึงขุนนางอมตะ มันก็ถามข้าว่าสามารถติดต่อเจ้าได้หรือไม่ เพราะมันรู้ว่าข้ากับเจ้าได้อันดับ 1 กับ 2 ของแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำสาขาคฤหาสน์เฉวียนโยว”
“จากนั้นพอข้าถามมันว่ามาหาข้าทำไม แล้วคิดจะติดต่อเจ้าทำไม มันก็บอกว่าเพราะอยากให้พวกเราไปยังอวี้หวงเทียน…”
หลิงเจวี๋ยอวิ๋นกล่าว
“แล้วเจ้านั่นมันเป็นใครมาจากไหนกัน? มันบอกให้ข้ากับเจ้าไปอวี้หวงเทียน? แล้วพวกเราก็ต้องไปกับมันงั้นเหรอ ที่นั่นมีอะไรสำคัญกันแน่?”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวถามตรงๆ เพราะเขารู้ว่าตัวตนอย่างหลิงเจวี๋ยอวิ๋นคงไม่คิดสนใจแน่นอน หากไม่ใช่อะไรที่สำคัญและล้ำค่าจริงๆ!
“เจ้านั่นบอกข้าว่ามันบังเอิญไปเจอมรดกสถานที่สมควรเป็นของตัวตนขอบเขตจักรพรรดิอมตะ ภายในสมควรมีสิ่งของล้ำค่ามากมาย และยังพึ่งปรากฏขึ้นมาได้ไม่นาน อีกทั้งมันเจออุปกรณ์อมตะระดับจอมราชันแต่ไม่อาจเก็บได้…มันยังใช้ลูกแก้วเงาลอยให้ข้าดูด้วย ว่ามันไปเจอของดีมาจริงๆ”
หลิงเจวี๋ยอวิ๋นกล่าว “สิ่งของที่วางอยู่ตรงหน้าแต่มันเอามาไม่ได้…เป็นอุปกรณ์อมตะระดับจอมราชันจริงๆ”
“เมื่อครู่เจ้าบอกว่าเจ้านั่นพอพบว่าเจ้ายังไม่ทะลวงถึงขอบเขตขุนนางอมตะ ก็เลยถามต่อว่าติดต่อข้าได้หรือไม่…และข้อความแรกที่เจ้าติดต่อขามาก็คือถามข้าว่าข้าบรรลุถึงขุนนางอมตะแล้วรึยัง…”
สองตาต้วนหลิงเทียนทอประกายเรืองขึ้นวูบหนึ่ง “หรือมรดกสถานของจักรพรรดิอมตะที่ว่า…จำกัดด่านพลังผู้ที่จะเข้าไปด้านในให้ไม่เกินขุนนางอมตะ?”
“ไม่ผิด”
หลิงเจวี๋ยอวิ๋นตอบกลับ
“หากมีแค่อุปกรณ์อมตะระดับจอมราชัน หรือแม้แต่อุปกรณ์อมตะระดับจักรพรรดิ คงไม่อาจทำให้เจ้าสนใจได้กระมัง?”
ต้วนหลิงเทียนถาม
คนอื่นๆนั้นอาจไม่ทราบความเป็นมาของหลิงเจวี๋ยอวิ๋น แต่เขารู้ดีว่าหลิงเจวี่ยอวิ๋นนั้นเป็นคนที่มาจากตระกูลใหญ่ของดินแดนการล่มสลายแห่งทวยเทพ อีกทั้งยังมีอุปกรณ์เทพด้วยซ้ำ กับอีแค่อุปกรณ์อมตะระดับจักรพรรดิย่อมมีไม่ขาด
“นั่นมันแน่อยู่แล้ว”
หลิงเจวี๋ยอวิ๋นตอบกลับด้วยน้ำเสียงหยิ่งผยอง “อย่าว่าแต่อุปกรณ์อมตะระดับจอมราชันเลย ต่อให้จะเป็นระดับจักพรรดิ…ไม่เว้นเคล็ดอมตะ วรยุทธ์อมตะ หรือเวทย์พลังระดับจักรพรรดิ ในสายตาข้าล้วนไร้ค่า!”
“เหตุผลที่ข้าอยากไปที่นั่น เพราะจิตวิญญาณอุปกรณ์เทพของข้าสัมผัสได้…ว่าเจ้านั่นมันเป็นผู้อมตะกลับชาติมาเกิด!”
หลิงเจวี๋ยอวิ๋นกล่าว
“ผู้อมตะกลับชาติมาเกิด?”
ต้วนหลิงเทียนประหลาดใจอยู่บ้าง
ถึงเขาจะยังไม่เคยเจอผู้อมตะกลับชาติมาเกิดในหลิงหลัวเทียน แต่เขาก็เคยเจอมาแล้วในระนาบโลกียะ เพราะเค่อเอ๋อภรรยาเขาก็เป็นผู้อมตะกลับชาติมาเกิดใหม่เช่นกัน
ชาติที่แล้วของเค่อเอ๋อ ยังเป็นถึงเซี่ยหนิงเสวี่ย คุณหนูใหญ่ตระกูลเซี่ยของดินแดนการล่มสลายแห่งทวยเทพ!
ในชีวิตนี้ ก่อนที่ความทรงจำของเค่อเอ๋อจะฟื้นคืน นางก็ได้กลายเป็นภรรยาของเขากระทั่งมีลูกสาวกับเขา
ยิ่งไปกว่านั้น ทุกวันนี้ในนิกายอมตะเป้าผู่ก็ลือกันหนาหูว่าเขา ต้วนหลิงเทียน นั้น เป็นผู้อมตะกลับชาติมาเกิด หาไม่แล้วคงเป็นไปไม่ได้เลยที่จะประสบความสำเร็จเฉกเช่นทุกวันนี้ได้
“ไม่ผิดแน่!”
หลิงเจวี๋ยอวิ๋นตอบกลับ “ยิ่งไปกว่านั้นมันยังไม่ใช่ผู้อมตะกลับชาติมาเกิดใหม่ธรรมดาๆ…จิตวิญญาณอุปกรณ์เทพข้าบอกกว่า ชาติที่แล้วของเจ้านั่นอย่างน้อยๆก็ต้องเป็นจักรพรรดิอมตะ”
จักรพรรดิอมตะ ที่กลับชาติมาเกิดใหม่!
ใจต้วนหลิงเทียนยอดไม่ได้ที่จะสะท้าน
“พอรู้ว่ามันเป็นจักรพรรดิอมตะที่กลับชาติมาเกิดใหม่ ข้าก็พอจะคาดเดาวัตถุประสงค์ที่แท้จริงของมันได้ออกทันที ว่าไฉนถึงเอาเรื่องมรดกสถานของจักรพรรดิอมตะและอุปกรณ์อมตะจอมราชันมาล่อลวงข้า กระทั่งยังคิดจะให้ข้าชวนเจ้าไปด้วยแบบนี้…”
หลิงเจวี๋ยอวิ๋นกล่าว
“ทำไมหรือ?”
ต้วนหลิงเทียนถาม
“หากข้าเดาไม่ผิด ชาติที่แล้วมันสมควรได้เมล็ดพันธุ์ของ ‘ผลเทพสังเวยสวรรค์’ มาโดยบังเอิญ จากนั้นก็นำไปปลูกเอาไว้ก่อนที่จะกลับชาติมาเกิดใหม่ กระทั่งสมควรวางแผนการบางอย่างเอาไว้เรียบร้อย…พอมันกลับชาติมาเกิดและความทรงจำเมื่อชาติที่แล้วหวนคืนมา มันก็เลยพยายามหายอดเซียนอมตะมากพรสวรรค์ ให้ไปเข่นฆ่ากันเองต่อหน้าต้นไม้เทพสังเวยสวรรค์…ทั้งหมดเพื่อสร้าง ผลเทพสังเวยสวรรค์!”
หลิงเจวี๋ยอวิ๋นกล่าว
“ผลเทพสังเวยสวรรค์ มันคืออะไรกัน?”
ถึงแม้ต้วนหลิงเทียนจะทะยานขึ้นมาหลิงหลัวเทียนได้สักพัก และล่วงรู้เรื่องราวต่างๆในระนาบเทวโลกมากมาย
อย่างไรก็ตามนี่นับเป็นครั้งแรกเลยจริงๆที่เขาได้ยินคำว่า ผลเทพสังเวยสวรรค์
ทว่าถึงจะเคยได้ยินเป็นครั้งแรก แต่เขารู้ดีว่าลองมีคำว่า ‘เทพ’ อยู่ในชื่อแบบนี้ มันต้องเป็นอะไรที่ไม่ธรรมดาแน่นอน!
“ผลเทพสังเวยสวรรค์ก็เป็นผลไม้อมตะชนิดหนึ่ง…ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นผลไม้อมตะที่จะส่งผลกับผู้กินที่ยังมีด่านพลังไม่ถึงขอบเขตขุนนางอมตะเท่านั้น”
สำหรับเรื่องที่ต้วนหลิงเทียนไม่รู้จักผลเทพสังเวยสวรรค์ หลิงเจวี๋ยอวิ๋นก็ไม่ได้แปลกใจอะไร เพราะผลเทพสังเวยสวรรค์เป็นอะไรที่หาได้ยากมาก ถึงแม้จะปรากฏเมล็ดพันธุ์ของมันอยู่บ่อยครั้ง แต่ส่วนใหญ่ก็จะถูกเอาไปใช้เป็นกระสายยามากกว่า
มีน้อยคนนักที่คิดจะปลูกต้นไม้เทพสังเวยสววรค์ เพราะมันต้องใช้พลังงานหล่อเลี้ยงมหาศาล ไม่เว้นต้องใช้วัตถุดิบมากมายเผื่อทำให้เมล็ดพันธุ์เติบโต
อีกทั้งหลังต้นไม้เทพสวรรค์โตถึงจุดๆหนึ่งแล้ว จำต้องให้ตัวตนใต้ขอบเขตขุนนางอมตะที่เข้าใจกฏแล้วมาเข่นฆ่ากันเบื้องหน้า เพื่อสังเวยต้นไม้เทพสังเวยสวรรค์ ให้มันออกผล…
ที่สำคัญต่อให้สังเวยไปมากพอแล้ว แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะได้รับผลเสมอไป
เรียกว่ามันมีโอกาสฝ่อถึง 9 ส่วน และมีโอกาสเกิดผลแค่ 1 ส่วนเท่านั้น
“ส่วนเดียว!?”
ต้วนหลิงเทียนที่ได้ฟังข้อความร่ายยาวของหลิงเจวี๋ยอวิ๋นก็อดไม่ได้ที่จะอึ้ง กับอัตราการปรากฏของผลเทพสังเวยสวรรค์ “มีเงื่อนไขยุ่งยากวุ่นวายขนาดนี้ แต่มีโอกาสที่ผลจะสุกแค่ส่วนเดียว…ข้าเกรงว่าคนที่ปลูกต้นเทพสังเวยสวรรค์นี้ สมควรมีแต่คนบ้าใช่ไหม?”
“ถูก ล้วนมีแต่คนบ้าทั้งสิ้น!”
หลิงเจวี๋ยอวิ๋นกล่าว “ตอนที่ข้าอยู่ในดินแดนการล่มสลายแห่งทวยเทพ เท่าที่ข้าเคยได้ยินมา รู้สึกจะมีแค่ 3 คนเท่านั้นที่ปลูกต้นไม้เทพสังเวยสวรรค์จนโต และได้ผลของมัน”
“มี 2 ที่ตกตายไปแล้ว”
“คนสุดท้ายก็คือจักรพรรดิสวรรค์คนปัจุบันของว่านโช่วเทียน”
หลิงเจวี๋ยอวิ๋นพูดต่อ
“จักรพรรดิสวรรค์ว่านโช่วเทียน?!”
ต้วนหลิงเทียนอดสูดลมหายใจเข้าลึกๆไม่ได้
ว่านโชวเทียนนั้น เป็นแดนสวรรค์ที่ต้อนรับเฉพาะสัตว์อมตะเท่านั้น ส่วนมนุษย์จะถูกไล่ฆ่าทันทีที่เห็น เรียกว่าเป็นดินแดนของสัตว์อมตะก็ว่าได้
ด้วยเหตุนี้ภาวะแข่งขันในว่านโช่วเทียนสมควรดุร้ายรุนแรงมาก แล้วผู้ที่จะกลายเป็นจักรพรรดิสวรรค์ของว่านโช่วเทียนได้จะร้ายกาจปานใด?
“เจ้าออกทะเลมาไกลแล้ว…ไหนว่ามา ที่แท้ผลเทพสังเวยสวรรค์นั่นทำอะไรได้บ้าง? แล้วไฉนมีแต่ผู้ที่ยังไม่บรรลุถึงขุนนางอมตะเท่านั้นถึงจะกินได้?”
ต้วนหลิงเทียนเอ่ยถามด้วยสงสัย
นั่นเพราะผลเทพสังเวยสวรรค์มีคำว่า ‘เทพ’ อยู่ในชื่อ แถมยังจำกัดด่านพลังผู้ที่จะใช้ว่าต้องไม่เกินขุนนางอมตะอีก มันต้องมีเหตุผลอะไรสำคัญแน่นอน
เขาก็เลยอยากรู้
ว่าที่แท้ผลเทพสังเวยสวรรค์มันให้ผลเลิศล้ำอันใด?!
“ผลเทพสังเวยสวรรค์ที่ว่า ทันทีที่เจ้ากินมัน…มันจะทำให้ด่านพลังของเจ้ายกระดับไปหนึ่งขอบเขตทันที”
ได้ยินคำถามของต้วนหลิงเทียน หลิงเจวี๋ยอวิ๋นก็ตอบกลับทันที “ยกระดับไป 1 ขอบเขตที่ข้าว่า ไม่ใช่ว่ายอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดพอกินเข้าไปแล้วจะทะลวงถึงขุนนางอมตะ 1 ต้นกำเนิด แต่ยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดที่ว่า…จะทะลวงถึงด่านพลังขุนนางอมตะ 10 ทิศทันที!”
ภายในถิ่นที่อยู่ของนิกายอมตะอวิ๋นไถ
หลิงเจวี๋ยอวิ๋นที่นั่งอยู่บนโต๊ะหินอ่อนในลานเล็กๆแห่งหนึ่ง หลังส่งข้อความสุดท้ายให้ต้วนหลิงเทียน ก็เคาะนิ้วลงโต๊ะเบาๆ
เรื่องที่ต้วนหลิงเทียนนิ่งไปไม่ตอบอะไรกลับมาอยู่นานนั้น มันไม่ได้แปลกใจอะไรเลย
“แค่นี้เจ้าต้วนหลิงเทียนก็อึ้งแล้วหรือ? มันยังไม่ทันรู้ด้วยซ้ำ…ว่าแค่ยกระดับด่านพลังไปหนึ่งขอบเขตนั่น ยังเป็นแค่ 1 ใน 2 ความสามารถของผลเทพสังเวยสวรรค์เท่านั้น”
หลิงเจวี๋ยอวิ๋นพึมพำกับตัวเบาๆด้วยรอยยิ้มสนุกสนาน “หากมันรู้ว่าผลเทพสังเวยสวรรค์นั่นพอกินไปแล้ว ยังจะทำให้เข้าถึงกฏใดกฏหนึ่ง กระทั่งอาจเข้าใจความลึกซึ้งได้มากมายหลายประการมันจะทำหน้าอย่างไรนะ…”
ในลานแห่งหนึ่งของคฤหาสน์ส่วนตัวประมุขนิกายอมตะเป้าผู่
ต้วนหลิงเทียนที่ได้ยินข้อความของหลิงเจวี๋ยอวิ่นก็ตกตะลึงไปแล้วจริงๆ
ผลเทพสังเวยสวรรค์นั่นหากยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดกินไป จะทำให้บรรลุถึงขอบเขตขุนนางอมตะ 10 ทิศได้เลยงั้นเหรอ?
หลังอื้ออึงไปพักหนึ่ง ลมหายใจต้วนหลิงเทียนก็ถี่รัวขึ้นปานหอบเหนื่อย “ในสวรรค์และโลกกลับมีผลไม้อมตะที่มีพลังอำนาจน่ากลัวขนาดนี้อยู่ด้วย?”
“หากมันมีประสิทธิภาพทำให้ผู้ที่กินบรรลุถึงขุนนางอมตะ 10 ทิศได้ทันที ก็สมแล้วที่มีคำว่า ‘เทพ’ อยู่ในชื่อ”
ผ่านไปอีกสักพักลมหายใจของต้วนหลิงเทียนก็ค่อยๆสงบลง แต่กว่าจะสงบได้เขาก็ใช้ความพยายามไม่น้อย