ต้วนหลิงเทียนก็หันมองไปตามมือที่ผายของชายวัยกลางคนทันที
จากนั้นเขาก็พบว่าเกาะลอยบนชั้นสูงสุดเกาะหนึ่ง มีบ้านลานขนาดปานกลางตั้งอยู่ และหน้าประตูบ้านลานดังกล่าวก็มีป้ายเขียนว่า ลานเทียนอี แปะไว้
ขณะเดียวกันต้วนหลิงเทียนก็ว่ายตามองไปยังเกาะลอยข้างๆในระดับชั้นเดียวกัน จึงเห็นว่าเหนือประตูบ้านลานดังกล่าวมีคำว่า ลานชิงเทียน เขียนไว้ สิ่งนี้ก็ทำให้เขางงเล็กน้อย ว่าไฉนไม่เป็นลานเทียนเอ้อ หรือเทียนซัน…
(ลานฟ้า 2 ลานฟ้า 3)
“หลิงเจวี๋ยอวิ๋น”
จากนั้นต้วนหลิงเทียนก็ส่ายหัวไปมาเบาๆ ค่อยหันกลับมามองลานเทียนอีอีกครั้ง และส่งเสียงผ่านพลังเข้าไปในบ้านลานดังกล่าว เพื่อเรียกหาหลิงเจวี๋ยอวิ๋นทันที
แอ๊ด…
หลังต้วนหลิงเทียนส่งเสียงไปได้ไม่ทันไร ประตูบ้านลานเทียนอีบนเกาะลอยกลางหาวเบื้องหน้าก็ค่อยๆแง้มเปิดออกมา จากนั้นก็ปรากฏร่างในชุดสีเทาก้าวออกมาอย่างเอื่อยเฉื่อย
เป็นชายหนุ่มชุดเทาอันมีใบหน้าเฉยชาไร้แยแสนัก บริเวณเอวข้างหนึ่งสะพายกระบี่เอาไว้ ยามก้าวเดินออกมาในลานอย่างไม่รีบไม่ร้อน เส้นผมยาวที่รวบมัดโบกสะบัดไปตามสายลมให้ความรู้สึกสง่างามน่าเกรงขามปานเซียนกระบี่
เป็นหลิงเจวี๋ยอวิ๋นเอง
เมื่อหลิงเจวี๋ยอวิ๋นก้าวออกยังลานได้สักพัก มันก็เหินร่างขึ้นมาหาต้วนหลิงเทียน ส่วนทางด้านชายวัวยกลางคนเมื่อเห็นว่าแขกพบเจอสหายแล้ว ก็เหินร่างจากไปเงียบๆ
“นี่เจ้ามารอข้าอยู่กี่วันแล้ว?”
ต้วนหลิงเทียนเอ่ยถาม
“ 3 วัน”
หลิงเจวี๋ยอวิ๋นกล่าวตอบเสียงเรียบ
ต้วนหลิงเทียนลองนึกเวลาดู เขาก็พบว่าตัวเองใช้เวลาเดินทางจากนิกายอมตะเป้าผู่มาถึงเมืองฝูซานแห่งนี้ 2 วันเต็มๆ กล่าวได้ว่าหลิงเจวี๋ยอวิ๋นมาถึงที่นี่ได้วันเดียว ก็ติดต่อมาหาเขาเลย
“เข้าไปคุยข้างในเถอะ”
หลังหลิงเจวี๋ยอวิ๋นกล่าวชวนต้วนหลิงเทียนจบคำ มันก็เหินร่างกลับไปยังลานเบื้องล่างทันที
ต้วนหลิงเทียนที่เหินตามเข้าไปก็พบว่าก่อนจะถึงลานบนเกาะ ห้วงอากาศว่างเปล่าก็ปรากฏระลอกคลื่นวงกลมเล็กน้อย ราวกับประตูบานหนึ่งเปิดออก รอให้ผู้คนก้าวเข้าไป
ต้วนหลิงเทียนก็เข้าใจได้ไม่ยาก ว่านี่สมควรเป็นม่านพลังจากค่ายกลที่ป้องกันลานเทียนอี
‘หืม? เห็นลานชั้นตี้ กับลานชั้นเหรินแล้ว…’
ก่อนจะเข้ามาในเขตลานเทียนอี ต้วนหลิงเทียนก็สังเกตเห็นแต่แรกว่า เมื่อเหินขึ้นมาถึงระดับหนึ่งจะมองไม่เห็นลานชั้นตี้กับลานชั้นเหรินอีกต่อไป เห็นเพียงแพเมฆสีขาวเบื้องล่างกับลานชั้นเทียนอื่นๆรอบข้างเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม ตอนนี้หากหรี่ตามองดูให้ดีเขาจะพบว่ามีจุดดำๆใต้เมฆขาวให้เห็นรางๆ
และหากเพ่งมองให้ละเอียดจะพบว่าจุดดำๆใต้แพเมฆขาวก็คือลานชั้นตี้ กับลานชั้นเหรินนั่นเอง
‘ตอนข้าอยู่ด้านล่าง ทันทีที่เหินผ่านแพเมฆมาก็จะเห็นลานชั้นเหริน ชั้นตี้ และชั้นเทียนชัดเจน และดูเหมือนจะอยู่สูงเหลื่อมล้ำกันชั้นละ 100 หมี่เท่านั้น…’
‘แต่ตอนเหินขึ้นมาถึงน่านฟ้าของลานชั้นเทียน พอมองลงไปกลับไม่เห็นอะไรเลย จนมาเข้าเขตม่านพลังของลานเทียนอีก่อน ค่อยสังเกตเห็นลานชั้นตี้กับหลานชั้นเหรินอีกครั้ง แต่ระยะห่างจากลานชั้นตี้ตอนนี้มันเกินหมื่นหมี่เสียอีก..’
‘ลานชั้นตี้ยังดีที่หากเพ่งมองก็พอเห็นเรื่องราวได้บ้าง แต่ลานชั้นเหรินยากจะเห็นอะไรได้ชัด…’
ต้วนหลิงเทียนย่อมตระหนักได้แต่แรก ว่าระยะทางที่ตาเห็นนั้นมันมันผิดเพี้ยนไปจากความเป็นจริง แม้จะเห็นว่าลานแต่ละชั้นห่างกันร้อยหมี่ แต่ที่จริงมันมากกว่านั้น และทั้งหมดสมควรเป็นเพราะค่ายกลบางอย่างแน่นอน
หลังจากที่หลิงเจวี๋ยอวิ๋นเข้าไปในม่านพลังปกคลุมลานเทียนอีแล้ว ต้วนหลิงเทียนที่เหินร่างตามมาติดๆ ก็สัมผัสได้ถึงสำนึกเทวะหนึ่งแผ่มาปกคลุมรอบกายเขา จากนั้นหลังเขาผ่านม่านพลังดั่งระลอกคลื่นนั่นเข้ามา ระลอกคลื่นดังกล่าวก็หายไปทันที
เห็นได้ชัดว่าม่านพลังที่ปกคลุมลานเทียนอีอยู่ มันปิดตัวลงทันทีที่เขาเข้ามา
“นี่คือป้ายหยกเข้าลานเทียนอี เจ้าพกติดตัวไว้ด้วย ตอนจะเข้าจะออกก็แผ่สำนึกลงป้ายหยกนี่ ม่านพลังก็จะเปิดให้เจ้าผ่านเข้าออก”
หลังต้วนหลิงเทียนโรยตัวมาหยุดยืนบนลานแล้ว หลิงเจวี๋ยอวิ๋นที่เหินลงมาถึงก่อน ก็หันกลับมายื่นส่งป้ายหยกแผ่นหนึ่งให้เขา
บนป้ายหยกดังกล่าวก็มีอักษร ลานเทียนอี สลักไว้อย่างบรรจง
ต้วนหลิงเทียนที่สายตาเฉียบคม ก็สังเกตเห็นแต่แรกว่าบริเวณเอวของหลิงเจวี๋ยอวิ๋นก็มีป้ายหยกลักษณะนี้ห้อยแขวนอยู่
ต้วนหลิงเทียนจึงรู้ได้ทันทีว่าป้ายหยกดังกล่าว ก็ไม่ต่างอะไรจากคีย์การ์ดห้องพักตามโรงแรมเมื่อชาติก่อน
หลังรับป้ายหยกมา ต้วนหลิงเทียนก็ติดตามหลิงเจวี๋ยอวิ๋นไปนั่งบนโต๊ะหินอ่อนในลาน
หลังจากนั่งลง ต้วนหลิงเทียนก็สัมผัสได้ว่าหลิงเจวี๋ยอวิ๋นแผ่สำนึกเทวะไปยังป้ายหยกที่เอว จากนั้นป้ายหยกที่เอวของอีกฝ่ายก็แผ่กลิ่นอายพลังลี้ลับหนึ่งออกมาผสานหลอมรวมเข้ากับความว่างเปล่าโดยรอบ
พอเห็นต้วนหลิงเทียนมอมาด้วยสายตาสงสัย หลิงเจวี๋ยอวิ๋นก็กล่าวอธิบายทันที “ป้ายหยกนี่ไม่เพียงแต่จะใช้ผ่านเข้าออกลานได้เท่านั้น มันยังใช้ควบคุมค่ายกลที่จัดตั้งในลานได้ระดับหนึ่ง”
“เมื่อครู่ข้าพึ่งเปิดใช้ค่ายกลลวงตาของลานเทียนอี มันจะทำให้ผู้คนด้านนอกมองไม่เห็นพวกเราที่นั่งอยู่ จะเห็นก็แต่ลานว่างๆเท่านั้น”
หลิงเจวี๋ยอวิ๋นกล่าว “เจ้าลองแผ่สำนึกเทวะลงไปดู ใช้ยังไงเดี๋ยวเจ้าก็รู้เอง”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า จากนั้นก็ลองแผ่สำนึกลงป้ายหยกที่หลิงเจวี๋ยอวิ๋นพึ่งให้มาดู จากนั้นก็มีข้อมูลซับซ้อนมากมายหลั่งไหลเข้ามาในห้วงสำนึกเขา
ข้อมูลดังกล่าวก็เป็นการแนะนำวิธีเปิดใช้ม่านพลังผ่านเข้าออกที่ปกคลุมทั่วลานเทียนอีแห่งนี้ นอกจากนั้นก็มีวิธีเปิดใช้ค่ายกลยิบย่อยต่างๆในลาน
หลังรับทราบข้อมูลและวิธีใช้ดังกล่าวแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็อดไม่ได้ที่จะกล่าวชมปรมาจารย์ค่ายกลที่จัดตั้งค่ายกลต่างๆของลานเทียนอีในใจอยู่บ้าง
หลังลองใช้ป้ายหยกเพื่อเปิดปิดค่ายกลเล่นอยู่พักหนึ่ง ต้วนหลิงเทียนก็เอามันไปห้อยไว้ที่เอว จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมามองหลิงเจวี๋ยอวิ๋น เอ่ยถามเข้าประเด็นทันที “วันนั้นเจ้าบอกข้าว่าหลังผ่านไป 2 ปีพวกเราจะออกจากหลิงหลัวเทียนเพื่อไปยังอวี้หวงเทียนตามที่เจ้านั่นมันนัดหมาย…”
“แล้วเจ้านั่นเล่า มันจะมาสมทบกับพวกเรา แล้วใช้ค่ายกลเคลื่อนย้ายเมืองฝูซานแห่งนี้เพื่อไปอวี้หวงเทียนด้วยกันรึเปล่า?”
“ไม่”
หลิงเจวี๋ยอวิ๋นส่ายหัว “อันที่จริงพวกเราจะเดินทางหลังจากนี้อีก 10 เดือน เพราะเวลาที่มันนัดหมายจริงๆคือ 3 ปี ข้าแค่นัดเจ้ามาก่อนเพื่อไม่ให้ฉุกละหุก พอถึงเวลาพวกเราจะออกจากเมืองฝูซานแห่งนี้ไปอวี้หวงเทียนกัน 2 คน…ส่วนเจ้านั่นมันสมควรไปของมันเอง”
“แต่แน่นอนว่าสถานที่ๆมันจะใช้ค่ายกลเคลื่อนย้าย ก็สมควรเป็นเมืองที่มีค่ายกลเคลื่อนย้ายระบุตำแหน่งจำเพาะเจาะจงเหมือนเมืองฝูซาน…”
“เพราะพวกเราต้องไปรวมตัวกันที่สถานที่แห่งหนึ่งของอวี้หวงเทียนก่อน ค่อยเดินทางไปยังแดนลับที่มันสร้างขึ้นเมื่อชาติที่แล้ว”
หลิงเจวี๋ยอวิ๋นกล่าว
ต้วนหลิงเทียนก็เข้าใจ
“ตอนนี้ยังเหลือเวลาอีก 10 เดือนก่อนออกเดินทาง…10 เดือนนี้พวกเราก็เตรียมตัวให้ดีเถอะ”
“ถึงแม้พวกเราจะมี ‘ไพ่ตาย’ อยู่ในมือ…แต่เจ้านั่นจะอย่างไรก็เป็นจักรพรรดิอมตะที่กลับชาติมาเกิด แถมแดนลับที่พวกเราจะไปมันก็สร้างขึ้นด้วยตัวเอง ถึงตอนนี้มันจะไม่มีพลังเหมือนชาติที่แล้ว แต่อย่างน้อยๆมันก็สมควรควบคุมอะไรในแดนลับได้บางส่วน”
“กล่าวได้ว่าพวกเรามีไพ่ตาย มันเองก็มีไพ่ตาย…นอกจากนั้นไพ่ตายของมัน อาจจะเหนือกว่าความสามารถในการควบคุมแดนลับของมันเสียอีก”
ขณะหลิงเจวี๋ยอวิ๋นกล่าวเรื่องนี้ สีหน้าท่าทีก็แลดูจริงจังไม่น้อ
ต้วนหลิงเทียนก็พยักหน้ารับ เรื่องนี้เขาก็คิดไว้แต่แรกแล้ว ไม่กล้าประมาทเด็ดขาด
“จะว่าไปพวกเราไปครั้งนี้ก็เสี่ยงไม่เบาเหมือนกัน…เช่นนั้น 10 เดือนหลังจากนี้ สิ่งที่พวกเราจะทำได้ก็คือพยายามเตรียมตัว เพื่อลดความเสี่ยงให้ได้มากที่สุด”
หลิงเจวี๋ยอวิ๋นกล่าว
สิ่งที่หลิงเจวี๋ยอวิ๋นพูดมา ต้วนหลิงเทียนก็คิดไว้เช่นกัน จากนั้นทั้งคู่ก็แยกย้ายกันไปเตรียมความพร้อมทันที
…
มู่หรงเซี่ยวเซี่ยว สตรีอัจฉริยะที่โดดเด่นที่สุดในรอบหลายพันปีของตระกูลมู่หรง ที่บัดนี้อยู่ใน 3 นิกาย 2 ตระกูล ก็กำลังเตรียมตัวจะออกเดินทางไปยังอวี้หวงเทียนในอีก 10 เดือนให้หลังเช่นกัน
‘ในเมื่อเจ้านั่นมันมาชวนข้า เช่นนั้นก็สมควรไปชวนหลิงเจวี๋ยอวิ๋นกับต้วนหลิงเทียนเช่นกัน…ไม่ทราบมันจะไปชวนใครในเขตคฤหาสน์เฉวียนโยวอีกบ้าง’
เห็นได้ชัดว่ามู่หรงเซี่ยวเซี่ยวเอง ก็ได้รับคำเชิญจากจักรพรรดิอมตะที่กลับชาติมาเกิดเช่นกัน!
แน่นอนล่ะว่านางไม่ได้รู้เลยว่าคนที่มาชวนนางนั้น ที่แท้เป็นจักรพรรดิอมตะที่กลับชาติมาเกิด นางเข้าใจว่าคนๆนั้นสมควรพบเจอโลกใบเล็กอันเป็นมรดกสถานขอจักรพรรดิอมตะจริงๆ
วันนั้นตอนที่ชายคนดังกล่าวมาหานาง ก็ได้มีประมือกับนางรอบหนึ่ง และตัวนางก็เป็นฝ่ายพ่ายแพ้อีกฝ่ายใน 30 กระบวนท่า!
ที่สำคัญอีกฝ่ายยังเป็นยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดที่เข้าใจความลึกซึ้งไม่ต่างจากนางเท่าไหร่ แถมอาวุธอมตะระดับราชาที่ใช้ก็มีพลังพอๆกับของนาง
แต่ทว่านางยังคงพ่ายแพ้
ทักษะและประสบการณ์การต่อสู้ของอีกฝ่ายนั้น ช่างร้ายกาจสุดที่นางจะเทียบได้!
หลังประมือกันแล้ว นางยังรู้สึกว่ากระทั่งชนชั้นอาวุโสในตระกูลของนาง หากด่านพลังทัดเทียมกันยังมีพลังฝีมือไม่สู้อีกฝ่ายเลย!
เช่นนั้นนางจึงเข้าใจไปว่าอีกฝ่ายสมควรเป็นอัจฉริยะอันร้ายกาจเยี่ยงปีศาจตนหนึ่ง
ต่อมานางก็ได้ยินอีกฝ่ายบอกว่า ตัวมันไม่ได้เป็นคนของเขตคฤหาสน์เฉวียนโยว แต่มาหาสหายที่ตามอาจารย์มาอาศัยอยู่ในเขตคฤหาสน์เฉวียนโยว เพื่อคอยช่วยเหลือกันในมรดกสถานของจักรพรรดิอมตะเท่านั้น
และก็พอดีกับที่มันพบว่าตัวนางได้อันดับ 3 ในการเปิดออกของแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำครั้งนี้ จึงตั้งใจมาชวนเป็นพิเศษ เพราะพลังฝีมือของนางน่าจะช่วยเหลือมันได้มาก และยังกำชับวว่าขอให้นางอย่าได้ไปบอกใครเรื่องนี้เด็ดขาด หาไม่แล้วผลประโยชน์ที่ได้ก็ต้องน้อยลง
ด้วยเหตุนี้เอง ทำให้มู่หรงเซี่ยวเซี่ยวคิดว่าต้วนหลิงเทียนกับหลิงเจวี๋ยอวิ๋นที่ได้อันดับสูงกว่านาง ก็สมควรถูกชวนไปด้วยเช่นกัน
และนางก็ไม่รู้เลยว่าอีกฝ่ายจะชวนใครไปอีกบ้าง
ตอนนี้มู่หรงเซี่ยวเซี่ยวก็ไม่ได้รู้เลย
ว่ายอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดปริศนาที่มาชักชวนนางนั้น ไม่ได้ชวนใครในเขตคฤหาสน์เฉวียนโยวอีกเลยสหายที่ว่าก็แค่เรื่องปั้นแต่ง คนที่มันมาชวนก็มีแค่นาง ต้วนหลิงเทียนและเจวี๋ยอวิ๋นเท่านั้น
สำหรับคนอื่นๆ มันไม่เห็นอยู่ในสายตา!
…
ณ ที่ไหนสักแห่งของอวี้หวงเทียน
“ยังเหลือเวลาอีก 10 เดือน…ถึงตอนนั้นก็ได้เวลาที่ข้าจะเรียกพวกมันให้มารวมตัวกันเสียที”
เหนือบึงน้ำอันมืดมิดแห่งหนึ่ง ปรากฏร่างนั่งขัดสมาธิลอยค้างกลางอากาศ เสียงพึมพำกับตัวของมันเผยความวาดหวังออกมาไม่น้อย
จากนั้นเมื่อมีแสงสว่างส่องลอดแนวป่าลงมา ก็เผยให้เห็นร่างที่นั่งขัดสมาธิเหนือบึงชัดเจน เป็นชายหนุ่มที่แลดูมีรูปร่างสมส่วนไม่อ้วนไม่ผอมคนหนึ่ง
“เกรงว่าป่านนี้พวกเด็กน้อยทั้งหลาย คงกำลังคิดฝันว่าแดนลับที่ข้าสร้างไว้เพื่อสังเวยชีวิตพวกมันให้ต้นไม้เทพสังเวยสวรรค์ จักเป็นโลกใบเล็กที่จักรพรรดิอมตะสร้างทิ้งไว้ให้ใครมารับมรดกไปอยู่กระมัง…”
ขณะกล่าวพึมพำออกมาอีกครั้ง มุมปากของชายหนุ่มก็เผยรอยยิ้มแสะแลดูชั่วร้ายออกมา ชวนให้ผู้คนรู้สึกขนลุกพิกล
“หากนำยอดเซียนยอมตะขั้นสูงสุดมาฆ่าเพื่อเป็นการสังเวย โอกาสที่ผลเทพสังเวยสวรรค์จักสุกงอมก็มีแค่ 1 ส่วนเท่านั้น…อย่างไรก็ตามหลังจากข้าเสาะหามานานปีเมื่อชาติที่แล้ว ในที่สุดข้าก็เจอวิธีเพิ่มโอกาสให้ผลเทพสังเวยสวรรค์สุกงอมเพิ่มเป็น 5 ส่วนได้สำเร็จ!”
“และนั่น…ต้องให้เหล่ายอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดมากพรสวรรค์ทั้งหลายเข่นฆ่าสังเวยเลือดเนื้อเพื่อผลเทพสวรรค์กันเอง!”
“และยอดเซียนยอมตะขั้นสูงสุดที่ข้าลำบากไปตามหามาครานี้ ล้วนแล้วแต่เป็นสุดยอดอัจฉริยะขอบเขตยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดจากระนาบเทวโลกทั้งมวล! มันต้องสำเร็จแน่!!”