สำนึกเทวะของเหลิ่งเอี้ยเริ่มแผ่ออกไปปกคลุมทั้งหุบเขา
เดิมทีมันก็คิดว่าครั้งนี้ผลการตรวจสอบก็คงเหมือนครั้งอื่นๆ อย่างไรก็ตามเมื่อสำนึกเทวะของมันสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายพลัง 2 ขุมในหุบเขา ลูกตามันก็ฉายแสงจ้าขึ้นมาทันที
เพราะหนึ่งในนั้น ก็คือเป้าหมายของมัน ต้วนหลิงเทียน!
“สารเลวน้อย ข้าเจอตัวเจ้าแล้ว!”
เหลิ่งเอี้ยที่ปกติมีสีหน้าเย็นชา บัดนี้กลับคลี่ยิ้มสดใสออกมาอย่างหาดูได้ยาก!
อย่างไรก็ตามรอยยิ้มสดใสเพียงปรากฏอยู่ไม่ทันไร ก็แปรเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มอันเยียบเย็นถึงขีดสุด!
“ไม่คิดเลยวว่ามันจะยังรอดอยู่ได้…แต่ในเมื่อมันยังมีชีวิตอยู่แบบนี้ก็นับเป็นเรื่องดี! เพราะข้าจักได้ฆ่ามันด้วยมือตัวเอง!!”
เหลิ่งเอี้ยกล่าวพึมพำกับตัวเองเบาๆ จากนั้นก็ดิ่งร่างลงไปทันที
หลังกล่าวจบ นักฆ่ากะโหลกเลือดที่อยู่ข้างๆก็ตระหนักเรื่องราวได้เช่นกัน จากนั้นก็ดิ่งร่างลงปานพญาเหยี่ยวติดตามเหลิ่งเอี้ยไป
ครู่ต่อมาทั้งคู่ ก็มาหยุดลอยกลางหุบเขา
ขณะเดียวกันสำนึกเทวะของเหลิ่งเอี้ยก็แผ่ไปปกคลุมทั่วทั้งหุบเขาโดยไม่ปล่อยให้มีอะไรคลาดสายตา เช่นนี้แล้วหากต้วนหลิงเทียนไม่มียันต์อมตะหลบหนีอย่างยันต์เงาวายุนั่นอีกแผ่น ก็ไม่มีทางรอดพ้นเงื้อมมือมันไปได้แน่!
อย่างไรก็ตามยันต์หลบหนีอย่างยันต์เงาวายุที่ต้วนหลิงเทียนใช้ครั้งก่อน กระทั่งเหลิ่งเอี้ยยังนับเป็นสิ่งของล้ำค่า
มันไม่เชื่อว่าต้วนหลิงเทียนจะมีปัญญาควักยันต์เงาวายุออกมาใช้เป็นแผ่นที่สองได้!
“ต้วนหลิงเทียน!!”
เหลิ่งเอี้ยที่ลอยยร่างกลางหุบเขา มองจ้องไปยังหนึ่งใน 2 ถ้ำที่ขุดอยู่ตรงผนังผาด้วสายตาแหลมคม
“เจ้าจักไสหัวออกมาเองหรือจักให้ข้าไปลากคอเจ้าออกมา!”
เสียงเหลิ่งเอี้ยที่เอ่ยถามออกไป ฟังแล้วยังเต็มไปด้วยความหยามหยันให้ความรู้สึกดั่งแมวหยอกหนู
“เสียงนี้มัน…”
พอเสียงเหลิ่งเอี้ยดังเข้ามาในถ้ำ ต้วนหลิงเทียนก็พบได้ทันทีว่ามีคนมาหาเขาโดยเฉพาะ และรู้ได้ไม่ยากว่าอีกฝ่ายต้องมาร้ายเป็นแน่ แถมเขายังรู้สึกคุ้นๆน้ำเสียงอีกฝ่ายพิกล
จากนั้นไม่ทันไร ในใจต้วนหลิงเทียนดั่งมีแสงสว่างวาบ และพอเขาจดจำได้ว่าเคยได้ยินเสียงนี้ที่ไหน สีหน้าเขาก็เปลี่ยนไปทันที
‘ให้ตายเถอะ! เจ้านี่…มันสมควรเป็นนักฆ่ากะโหลกเลือดที่ลงมือนอกนิกายอมตะเป้าผู่วันนั้น! นักฆ่าขอบเขตราชาอมตะ 9 ตำหนัก!!’
พอต้วนหลิงเทียนรู้ว่าผู้มาเป็นใคร หน้าเขาก็บิดเบี้ยวไปดูแทบไม่ได้
วันนั้นหากไม่ใช่เพราะยันต์เงาวายุที่ซุนเหลียงเผิงประมุขนิกาอมตะเป้าผู่มอบให้ เขาคงไม่มีวันหนีรอดมาได้ใต้เปลือกตาของเหลิ่งเอี้ย!
‘นักฆ่ากะโหลกเลือดอย่างมันไฉนมาถึงที่นี่ได้?’
‘ที่สำคัญมันถึงรู้ได้ยังไงว่าข้ามาที่นี่?’
ต้วนหลิงเทียนรู้ดีว่าอีกฝ่ายไม่มีทางเจอตัวเขาโดยบังเอิญแน่นอน เพราะที่นี่คืออวี้หวงเทียน ไม่ใช่หลิงหลัวเทียน!
และนักฆ่ากะโหลกเลือดผู้นี้จะอย่างไรก็เป็นคนจากองค์กรมือสังหารในแดนสวรรค์ใต้ของหลิงหลัวเทียน ปกติแล้วเป็นไปไม่ได้เลยที่อยู่ๆอีกฝ่ายจะมาปรากฏตัวที่นี่!
กระทั่งต่อให้ไม่ปกติ อีกฝ่ายก็ไม่น่าจะถ่อมาถึงที่นี่ได้ด้วยซ้ำ!
เช่นนั้นมีความเป็นไปได้เพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น
อีกฝ่ายมาหาเขาโดยเฉพาะ!
‘หรือก่อนที่ข้าออกจากหลิงหลัวเทียน มันบังเอิญเจอข้าในเมืองฝูซาน…’
ต้วนหลิงเทียนครุ่นคิด
‘ไม่สิ ต่อให้มันเจอข้าที่เมืองฝูซาน แต่ในเมื่อข้าใช้ค่ายกลเคลื่อนย้ายข้ามระนาบเทวโลกออกจากหลิงงหลัวเทียนมาอวี้หวงเทียนแบบนี้…ต่อให้นักฆ่ากะโหลกเลือดนั่นจะเห็นข้าจริง แต่มันก็ไม่มีทางติดตามข้ามาได้ถูกไม่ใช่รึไง?’
ต้วนหลิงเทียนไม่อาจเข้าใจได้จริงๆว่าไฉนอีกฝ่ายถึงหาตัวเขาเจอได้
“ต้วนหลิงเทียนใครมันมาหาเจ้ากัน? เจ้ามีศัตรูที่นี่ด้วยรึ?”
พอเสียงผ่านพลังของหลิงเจวี๋ยอวิ๋นดังเข้าหู ต้วนหลิงเทียนก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มเจื่อนๆ “ต่อให้ข้าอยากจะมีศัตรูที่นี่ แต่ข้าก็ต้องมีเวลาไปหาเรื่องผู้คนก่อน…”
“แต่เจ้านั่นที่มา ไม่ใช่คนของที่นี่…มันตามข้ามาจากแดนสวรรค์ใต้ของหลิงหลัวเทียน!”
ต้วนหลิงเทียนกล่าว
“อะไร มันเป็นคนจากแดนสวรรค์ใต้ของหลิงหลัวเทียน? แล้วมันตามเจ้ามาถึงนี่ได้ยังไง!?”
ได้ยินเสียงผ่านพลังตอบกลับของต้วนหลิงเทียน ลูกตาหลิงเจวี๋ยอวิ๋นก็หดเล็กลง “นี่เจ้าไปฆ่าบิดาฉุดภรรยามันมาหรือไง? มันถึงได้แค้นเคืองเจ้าจนถ่อตามล่าเจ้ามาถึงที่นี่ได้?”
“ที่สำคัญ ต่อให้มันจะเห็นเจ้าใช้ค่ายกลเคลื่อนย้ายมาอวี้หวงเทียนตอนอยู่เมืองฝูซาน แต่มันรู้ได้อย่างไรว่าเจ้าจะมาที่เขตนี้? เท่าที่ข้าทราบหากมันอยากหาตำแหน่งเจ้า มีความเป็นไปได้แค่อย่างเดียวเท่านั้น คือต้องไปขอความร่วมมือจากคฤหาสน์เฉวียนโยวเพื่อตรวจสอบค่ายกลเคลื่อนย้ายข้ามระนาบ”
หลิงเจวี๋ยอวิ๋นกล่าวสืบต่อด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “อย่างไรก็ตาม เป็นไปไม่ได้เลยที่คนธรรมดาจะทำให้คฤหาสน์เฉวียนโยวร่วมมือถึงขั้น ปล่อยให้มันตรวจสอบค่ายกลเคลื่อนย้ายที่เจ้าใช้”
“ที่แท้มันเป็นใครกันแน่?”
หลิงเจวี๋ยอวิ๋นเอ่ยถามอีกครั้ง
“มันเป็นนักฆ่าจากองค์กรมือสังหารกะโหลกเลือด…”
ต้วนหลิงเทียนได้แต่กล่าวตอบด้วยรอยยิ้มขมขื่น
“องค์กรมือสังหารกะโหลกเลือด? 1 ใน 3 องค์กรมือสังหารระดับแนวหน้าของแดนสวรรค์ใต้นั่นน่ะรึ?!”
หลิงเจวี๋ยอวิ๋นประหลาดใจไม่น้อย ด้วยไม่คิดว่าต้วนหลิงเทียนจะไปตกเป็นเป้าสังหารขององค์กรมือสังหารระดับนั้นได้ “ไฉนเจ้าไปตกเป็นเป้าหมายขององค์กรมือสังหารกะโหลกเลือดได้เล่า?”
“เท่าที่ข้ารู้มา จะทำให้องค์กรมือสังหารออกภารกิจสังหารใครสักคนได้ ไม่ใช่เรื่องที่ใครคิดจะทำก็ทำได้…”
ไม่ทันที่หลิงเจวี๋ยอวิ่นจะทันได้พูดจบคำ ต้วนหลิงเทียนก็เอ่ยขัดขึ้นมาก่อน “เรื่องนั้นข้าค่อยเล่าให้เจ้าฟังทีหลัง…ตอนนี้ที่สำคัญที่สุดคือต้องหาวิธีหนีไปให้ได้ก่อน!”
“นักฆ่ากะโหลกเลือดที่มานั่น…มันเป็นราชาอมตะ 9 ตำหนัก!”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวเสียงเครียด
“อะไร?! นักฆ่าขอบเขตราชาอมตะ 9 ตำหนัก!? เพื่อฆ่าเจ้าองค์กรมือสังหารกกะโหลกเลือดมันถึงกับส่งนักฆ่าขอบเขตราชาอมตะ 9 ตำหนักมาเลยงั้นเรอะ!?”
หลิงเจวี๋ยอวิ๋นงุนงงเล็กน้อย ด้วยมันคิดไม่ออกจริงๆ ว่าไฉนองค์กรมือสังหารกะโหลกเลือดถึงกับต้องส่งราชาอมตะ 9 ตำหนักออกมาฆ่ายอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดแค่คนเดียว!
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าหลิงเจวี๋ยหยุนจะงุนงงสงสัย แต่หลังจากกล่าวนัดแนะอะไรกับต้วนหลิงเทียนต่อสักพัก มันก็ออกจากถ้ำไปพร้อมๆกับต้วนหลิงเทียน จากนั้นทั้งคู่ก็พากันเหินร่างขึ้นไปบนฟ้าเผชิญหน้ากับบอาคันตุกะไม่ได้รับเชิญทั้ง 2
“เจ้าหนูนั่นน่ะรึ ต้วนหลิงเทียน?”
เมื่อต้วนหลิงเทียนออกมาจากถ้ำ นักฆ่ากะโหลกเลือดอีกคนที่ติดตามเหลิ่งเอี้ยมาด้วย ก็หันไปมองต้วนหลิงเทียนด้วยความสนใจทันที
ก่อนมาที่นี่มันก็ได้รับทราบรูปพรรรสันฐานของต้วนหลิงเทียนจากเหลิ่งเอี้ยมาแล้ว เช่นนั้นมันก็จดจำต้วนหลิงเทียนได้ตั้งแต่แรกเห็น
“ไม่ผิด เป็นมัน”
เหลิ่งเอี้ยพยักหน้ารับ จากนั้นก็มองจ้องต้วนหลิงเทียนตาเขม็งเอ่ยออกเสีงเย็น “ต้วนหลิงเทียน ครั้งสุดท้ายเพราะยันต์เงาวายุจากซุนเหลียงเผิง ถึงทำให้เจ้ารอดพ้นเงื้อมมือข้ามาได้…วันนี้ให้ข้าชมดูเถอะ ว่าเจ้าจักเอาปัญญาที่ไหนมาหลบหนีไปต่อหน้าต่อตาข้าได้อีก!”
“ก่อนที่เจ้าจะลงมือ ขอข้าถามสักคำได้ไหม…ว่าเจ้ารู้ได้ยังไงว่าข้าอยู่ที่นี่?”
ต้วนหลิงเทียนมองเหลิ่งเอี้ยพลางเอ่ยถามเรื่องที่เขาสงสัยออกไป ด้วยสีหน้าซึมเซาราวกับคนที่ปลงตกกับชีวิตแล้ว
“ฮ่าๆๆ ในเมื่อเจ้าเป็นคนกำลังจะตายเช่นนั้นบอกเจ้าไปก็ไม่เสียหาย…รองผู้นำองค์กรมือสังหารกะโหลกเลือดของพวกเรา อาศัยเส้นสายบางประการในคฤหาสน์เฉวียนโยว จนในที่สุดก็พบว่าเจ้าใช้ค่ายกลเคลื่อนย้ายข้ามระนาบเทวโลกออกจากหลิงหลัวเทียนมายังเขตคฤหาสน์เอี้ยนซานในแดนผิงเทียนของอวี้หวงเทียน!”
“แน่นอนว่าเขตคฤหาสน์เอี้ยนซานนั้นกว้างใหญ่ไม่ใช่เล่นๆ…อย่างไรก็ตาม พวกเรามาถึงได้ไม่ทันไร ก็ได้ยินข่าวลือเรื่องที่มีจักรพรรดิอมตะกลับชาติมาเกิด หลอกเหล่าอัจฉริยะขอบเขตยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดของระนาบเทวโลกทั้ง 5 มาเป็นเครื่องสังเวยต้นไม้เทพสังเวยสวรรค์!”
“เช่นนั้นพวกเราจึงเดาได้ไม่ยาก ว่าเจ้าเองก็สมควรเป็นผู้ที่ถูกจักรพรรดิอมตะกลับชาติมาเกิดอะไรนั่นหลอกให้มาเป็นเครื่องสังเวยเช่นกัน”
“ถึงแม้ข้าได้ยินมาว่าจักรพรรดิอมตะที่กลับชาติมาเกิดนั่นใช้ค่ายกลเคลื่อนย้ายส่งตัวพวกเจ้าไปที่ไหนสักแห่ง แต่ข้าคิดว่าคงส่งไปได้ไม่ไกลนัก…เช่นนั้นพวกเราจึงลองปูพรมค้นหาเจ้าดู”
“และในที่สุดวันนี้ข้าก็หาเจ้าเจอ!!”
เห็นได้ชัดว่าในสายตาของเหลิ่งเอี้ย ต้วนหลิงเทียนก็แค่คนกำลังจะตาย หาไม่แล้วมันคงไม่พูดมากแบบนี้!
หากว่านี่เป็นครั้งแรกที่มันเจอต้วนหลิงเทียนล่ะก็ มันคงไม่คิดพูดพร่ำทำเพลงอะไรมากมาย
เหตุผลก็เพราะ ครั้งสุดท้ายต้วนหลิงเทียนกลับหนีรอดไปได้ต่อหน้าต่อตามัน! ทำให้มันบังเกิดความรู้สึกอับอายขายหน้าเป็นที่สุด!!
เช่นนั้นมันจึงไม่คิดจะรีบฆ่าต้วนหลิงเทียนให้ตาย แต่จะทำให้ต้วนหลิงเทียนสิ้นหวังถึงขีดสุด หลังจากนั้นก็จะค่อยๆทรมานต้วนหลิงเทียนจนต้องร้องขอความตาย!
มีแต่กระทำเช่นนี้ จึงพอจะบรรเทาความเจ็บแค้นในใจของมันได้!
“ที่แท้ก็เป็นแบบนี้นี่เอง”
หลังได้ฟังคำพูดของเหลิ่งเอี้ย ต้วนหลิงเทียนก็เข้าใจต้นสายปลายเหตุทันที จากนั้นก็หันไปมองนักฆ่ากะโหลกเลือดอีกคนข้างๆเหลิ่งเอี้ย “ว่าแต่…ผู้เฒ่าที่มาพร้อมกับเจ้า หรือจะเป็นนักฆ่าขอบเขตราชาอมตะ 9 ตำหนักเหมือนเจ้าด้วย?”
“โฮ่? เจ้าหนูผู้นี้ฉลาดไม่เบานี่ ถึงกับเดาด่านพลังข้าได้ออก…ต้วนหลิงเทียนถึงแม้วันนี้พวกเราจะพบกันครั้งแรก แต่ข้า…ไม่สิทั้งองค์กรมือสังหารกะโหลกเลือดเราก็ได้ยินความร้ายกาจของเจ้ามานานแล้ว นับว่าทำให้ข้าอดชื่นชมเจ้าไม่ได้จริงๆ”
นักฆ่ากะโหลกเลือดข้างๆเหลิ่งเอี้ยกล่าวเสียดสีออกมาเสียงเย็น
“มารดามันเถอะ…ราชาอมตะ 9 ตำหนัก 2 คน!”
หลิงเจวี๋ยอวิ๋นที่ลอยร่างอยู่ข้างๆต้วนหลิงเทียน พอได้ยินคำพูดของนักฆ่ากะโหลกเลือด ใจมันก็อดสะท้านไปไม่ได้
จังหวะนี้มันอดไม่ได้ที่จะสงสัยจับใจ ว่าไฉนองค์กรมือสังหารกะโหลกเลือดถึงได้ส่งนักฆ่าที่ทรงพลังถึงขนาดนี้มาเพื่อฆ่าต้วนหลิงเทียนแค่คนเดียวด้วย!
มันมั่นใจว่าเรื่องนี้ต้องมีเหตุผลอะไรสักอย่างอยู่เบื้องหลังแน่
หาไม่แล้วองค์กรมือสังหารกะโหลกเลือด ไม่มีวันสิ้นเปลืองทรัพยากรบุคคลขนาดนี้หรอก!
“ข้าถึงกับมีชื่อเสียงเป็นที่เลื่องลือในองค์กรมือสังหารกะโหลกเลือดได้ วันนี้ต่อให้ข้าต้วนหลิงเทียนต้องตาย ก็ไม่ถือว่าข้าตายอย่างไม่เป็นธรรมแล้ว…”
ได้ยินวาจาเสียดสีของนักฆ่าข้างๆเหลิ่งเอี้ย ต้วนหลิงเทียนก็กล่าวออกมาอย่างทอดถอนใจ
อย่างไรก็ตามพอกล่าววจบคำ สีหน้าซึมๆของต้วนหลิงเทียนก็เปลี่ยนไปเป็นแจ่มใสในฉับพลัน มุมปากยังยิ้มยิ้มแสยะขึ้นมาบางๆ “ก็แค่…ข้ากลัววว่าคราวนี้พวกเจ้า 2 คนจะถูกลิขิตให้ถ่อมาเสียเที่ยวซะแล้ว”
“หืม?”
วาจาที่ต้วนหลิงเทียนพึ่งพูดออกมา ทำให้เหลิ่งเอี้ยและนักฆ่ากะโหลกเลือดอีกคนข้างๆ อดไม่ได้ที่จะตกใจ
และในขณะที่ทั้งคู่กำลังอึ้งไปกับคำพูดของต้วนหลิงเทียนนั้นเอง
ฟู่ววว!!
ยันต์อมตะแผ่นหนึ่งที่ไม่ทราบมาอยู่ในมือหลิงเจวี๋ยอวิ๋นตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่บัดนี้มันกับลุกโชนไปด้วยเปลวไฟ! พริบตาต่อมาเปลวเพลิงดังกล่าวก็ลุกลามท่วมร่างหลิงเจวี๋ยอวิ๋น จนคนคล้ายกลับกลายเป็นมนุษย์ไฟ!
จากนั้นเปลวไฟทั่วร่างหลิงเจวี๋ยอวิ๋นก็แผ่ซ่านกลิ่นอายอันทรงพลังน่าเกรงขามออกมา พาลให้สีหน้านักฆ่ากะโหลกเลือดทั้ง 2 เปลี่ยนไปใหญ่หลวง!
ด้วยกลิ่นอายพลังดังกล่าว ไม่ใช่เรื่องยากที่พวกมันจะตระหนักได้…ว่ายันต์อมตะที่หลิงเจวี๋ยอวิ๋นพึ่งใช้ไม่ใช่ยันต์อมตะธรรมดาๆ!
ซู่มมมม!!
ฟู่มมมม!!
……
ทั่วร่างเหลิ่งเอี้ยปะทุพลังออกมาเต็มพิกัด! อนิจจาพอมันคิดจะลงมือ เปลวเพลิงทั่วร่างหลิงเจวี๋ยอวิ๋นก็แผ่มาปกคลุมต้วนหลิงเทียน จากนั้นทั้งคู่ก็อันตรธานหายวับไปต่อหน้าต่อตาเหลิ่งเอี้ยเสียก่อน ทำให้เหลิ่งเอี้ยหัวเสียนัก!!
ยันต์อมตะที่หลิงเจวี๋ยอวิ๋นพึ่งใช้ เป็นยันต์อมตะหลบหนีที่มีไว้ช่วยชีวิตยามคับขัน พลังของมันไม่ได้ด้อยไปกว่ายันต์เงาวายุที่ต้วนหลิงเทียนใช้แม้แต่น้อย ดังนั้นเหลิ่งเอี้ยจึงไม่อาจเห็นแม้แต่ร่องรอยใดๆของต้วนหลิงเทียนกับหลิงเจวี๋ยอวิ๋น
นักฆ่ากะโหลกเลือดอีกคนที่ปะทุพลังคิดลงมือ ก็ได้แต่รั้งพลังคืนกลับ จากนั้นก็หันไปมองเหลิ่งเอี้ยด้วยสายตาคาดโทษ “เหลิ่งเอี้ย หากเจ้าไม่มัวไปเสียเวลากล่าวเวิ่นเว้อกับมันและฆ่ามันให้จบๆไปแต่แรก ไหนเลยมันจะหนีไปเช่นนี้ได้…”