“สภาพนี้จะให้พูดว่าเจ้านั่นมันไม่ได้มั่นใจในตัวเองมากพอ หรือมันแค่เตรียมเผื่อไว้เฉยๆก็ได้…แต่อย่างไรเสียนับว่ามันเตรียมไว้ได้ถูกจริงๆ”
ลูกตาต้วนหลิงเทียนทอประกายสว่างวาบ หันไปมองกล่าวกับหลิงเจวี๋ยอวิ๋นว่า “โชคดีจริงๆที่เจ้าไปเก็บผลเทพสังเวยสวรรค์มาได้ทัน ไม่งั้นมีหวังพวกเราได้แต่นั่งมองผลเทพสังเวยสวรรค์แหลกเป็นผงตาปริบๆแน่…”
กล่าวถึงท้ายประโยค สีหน้าต้วนหลิงเทียนก็ฉายชัดถึงความหวาดกลัวไม่น้อย!
หากช้าไปนิดเดียว ก็คงอดผลเทพสังเวยสวรรค์แล้ว!
“ข้าเองก็เพราะกริ่งเกรงวิกาลยาวนานฝันยุ่งเหยิงนี่ล่ะ เลยรีบไปเก็บมันมาไว้ก่อน…จะยังไงก็แล้วแต่ รอบนี้เจ้ากับข้า พวกเรานับเป็นผู้ชนะคนสุดท้าย!!”
บนใบหน้าหลิงเจวี๋ยอวิ๋นเริ่มปรากฏรอยยิ้มคลี่กางขึ้นมา ยังเป็นรอยยิ้มสดใสที่หาดูได้ยากนัก
“เอาล่ะ ตอนนี้ข้าว่าพวกเราไปหาสถานที่เงียบๆ เพื่อใช้ผลเทพสังเวยสวรรค์กันดีกว่า”
หลิงเจวี๋ยอวิ๋นกล่าวแนะ
“ก็ดี”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า จากนั้นเขาก็เหินร่างตระเวณหาสถานที่เหมาะๆกับหลิงเจวี๋ยอวิ๋น ก่อนจะพบหุบเขาที่ไม่ค่อยสะดุดตาแห่งหนึ่ง จากนั้นแต่ละคนก็ไปขุดถ้ำที่ผนังผาหุบเขา เพื่อให้ย่อยพลังของผลเทพสังเวยสวรรค์ได้อย่างสงบ
‘หลังจากกินผลเทพสังเวยสวรรค์ และค่อยๆดูดซับพลังของมัน…ไม่เกิน 1 เดือนข้าก็จะบรรลุถึงขุนนางอมตะ 10 ทิศได้จริงๆหรือ?’
ต้วนหลิงเทียนที่นั่งพักอยู่ในถ้ำเล็กๆที่เขาพึ่งขุดเสร็จ พอนึกถึงสรรพคุณของผลเทพสังเวยสวรรค์ที่ได้ฟังมา ก็อดไม่ได้ที่จะบังเกิดความตื่นเต้นครั้งใหญ่ ยากจะสงบใจลงได้อยู่นาน
‘สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ…ผลเทพสังเวยยสวรรค์นี่ ไม่เพียงแต่ช่วยยกระดับพลังฝึกปรือให้ผู้คนข้ามขอบเขตใหญ่ได้ในเวลาหนึ่งเดือน แต่มันยังช่วยให้ข้าริเริ่มทำความเข้าใจกฏที่ข้าไม่เคยทำความเข้าใจมาก่อนได้อีกด้วย…’
‘แถมไม่ว่าจะเป็นกฏอะไร แต่อย่างน้อยๆก็สามารถเข้าใจความลึกซึ้งได้ถึง 6 ประการ…ถ้าโชคดีหน่อยก็อาจเข้าใจความลึกซึ้งของกฏนั้นๆได้ 7 ประการ กระทั่ง 8 ประการก็ยังได้!’
‘ไม่รู้ว่าหลังใช้ผลเทพสังเวยสวรรค์จนด่านพลังบรรลุขุนนางอมตะ 10 ทิศแล้ว ข้าจะเลือกทำความเข้าใจกฏอะไรดี…’
หลังจากคิดไปอย่างวาดหวังแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็ค่อยๆสงบอาการตื่นเต้นในใจลง จากนั้นก็เรียกผลเทพสังเวยสวรรค์ออกมาถือไว้
ผลเทพสังเวสวรรค์ในมือต้วนหลิงเทียน ก็ยังมีสีแดงฉานปานก้อนโลหิตไม่เปลี่ยน
นอกจากนั้นรอบๆผลเทพสังเวยสวรรค์ยังปรากฏอัสนีสีแดงแล่นวาบแปลบปลาบ มุดเข้ามุดออกปานอสรพิษโลหิตตัวน้อยซุกซน แลดูงดงามตระการตาไม่น้อย
เรียกว่าผลเทพสังเวยสวรรค์ที่นอนแน่นิ่งในมือต้วนหลิงเทียน ประหนึ่งผลงานศิลปะอันสมบูรณ์แบบ ทำให้ต้วนหลิงเทียนรู้สึกลำบากใจที่จะกินมันอยู่บ้าง
อย่างไรก็ตามความล่อลวงของด่านพลังขุนนางอมตะ 10 ทิศ และความเย้ายวนเรื่องที่เขาจะสามารถเข้าใจความลึกซึ้งของกฏที่ยังไม่รู้จะเลือกกฏอะไรดี ก็ทำให้เขายัดผลเทพสังเวยสวรรค์ใส่ปากแล้วเคี้ยวหงับๆไม่กี่คำจนหมดทันที
ครู่ต่อมาต้วนหลิงเทียนก็คายบางอย่างออกมา และเขาก็รู้อยู่แล้วว่ามันคือเมล็ดพันธุ์ต้นไม้เทพสังเวยสวรรค์นั่นเอง
ต้วนหลิงเทียนไม่ได้แปลกใจอะไร เพราะตั้งแต่ที่ได้รับผลเทพสังเวยสวรรค์มาเขาก็รู้อยู่แล้วว่าจะได้รับเมล็ดพันธุ์มันมาด้วย
แต่เขาไม่ได้สนใจเมล็ดพันธุ์นี้สักเท่าไหร่ เช่นนั้นจึงเก็บลงแหวนไปทันที จากนั้นก็เริ่มจดจ่อไปกับพลังของผลเทพสังเวยสวรรค์ที่เริ่มไหลเวียนไปทั่วร่างของเขา
พลังของผลเทพสังเวยสวรรค์ที่ไหลเวียนไปทั่วร่างนั้น ทำให้ต้วนหลิงเทียนรู้สึกสบายตัวอย่างบอกไม่ถูก ประหนึ่งตอนนี้เขากำลังเอนหลังล่องลอยท่ามกลางหมู่เมฆดั่งจะกลับกลายเป็นสายลม
เป็นครั้งแรกในชีวิตเลยที่เขารู้สึกผ่อนคลายขนาดนี้
พลังของผลเทพสังเวยสวรรค์ ก็ไม่จำเป็นต้องให้ต้วนหลิงเทียนเร่งรีบดูดซับแต่อย่างใด มันจะค่อยๆย่อยสลายไปเอง
กล่าวอีกอย่างได้ว่า ต้วนหลิงเทียนไม่ต้องทำอะไร เพียงให้เวลาสักพัก พลังเหล่านี้ก็จะค่อยๆถูกร่างกายเขาดูดซับไปตามธรรมชาติ
จังหวะนี้สิ่งเดียวที่ต้วนหลิงเทียนทำได้ก็คือรอ
ในระหว่างรอต้วนหลิงเทียนที่ไม่มีอะไรทำก็เริ่มเอ่ยถามเพลิงเทพโกลาหลในร่างด้วยความสงสัยทันที “อาวุโสเพลิงเทพโกลาหล ก่อนหน้าข้าได้ยินจากหลิงเจวี๋ยอวิ๋นมาว่า เหล่าเทพแห่งธาตุทั้ง 5 ไม่อาจอยู่ในร่างทายาทของผู้แข็งแกร่งที่สุดได้…มีเรื่องแบบนี้ด้วยหรือ?”
“ใช่”
เพลิงเทพโกลาหลตอบคำทันใด จากนั้นก็พูดคล้ายๆกับหลิงเจวี๋ยอวิ๋น “…อย่างข้า หากไปอยู่ในร่างของผู้ที่เป็นทายาทผู้แข็งแกร่งที่สุด หากมันไม่คอยป้อนเพลิงเทพโกลาหลตนอื่นมาให้ข้าดูดซับเรื่อยๆล่ะก็ พลังสายเลือดในร่างของมันที่คอยดูดกลืนพลังของข้าตลอดเวลา ก็จะทำให้ข้าถดถอยกลับไปเป็นเพลิงเทพโกลาหลขั้นที่ 2 ในเวลาไม่นาน…”
“จากนั้นข้ายังจะถดถอยกลับไปเป็นเพลิงเทพโกลาหลขั้นที่ 1…และสุดท้ายข้าก็จะถูกพลังสายเลือดในร่างทายาทผู้แข็งแกร่งที่สุดนั่นดูดซับจนสลายหายไปไม่มีเหลือ!”
“สำหรับเทพแห่งธาตุทั้ง 5 อย่างพวกเรา พลังสายเลือดของทายาทผู้แข็งแกร่งที่สุดไม่ต่างอะไรจาก ‘ดาววิบัติ’ …แน่นอนว่าพลังสายเลือดของทายาทผู้แข็งแกร่งที่สุดจะสะกดข่มและดูดกลืนพวกเราได้ ก็ต่อเมื่อพวกเราอยู่ในร่างมันเท่านั้น…หากเป็นร่างต้นของพวกเราที่ปะทะกับทายาทผู้แข็งแกร่งที่สุดล่ะก็ แม้มันจะใช้พลังสายเลือดอันใดพวกเราก็ไม่มีกลัว”
“เหมือนครั้งสุดท้ายที่เจ้าประมือกับหลิงเจวี๋ยอวิ๋นนั่น…ถึงมันจะใช้พลังสายเลือด แต่สุดท้ายเจ้าก็ยังอาศัยพลังข้าเอาชนะมันได้ง่ายๆ!”
เพลิงเทพโกลาหลค่อยๆกล่าวอธิบายออกมาอย่างไม่รีบไม่ร้อน
หลังได้ยินคำพูดของเพลิงเทพโกลาหล ต้วนหลิงเทียนก็พอตระหนักเรื่องราวได้ จากนั้นก็ยิ้มเจื่อนๆกล่าวว่า “ดูเหมือนหลิงเจวี๋ยอวิ๋นจะปักใจเชื่อว่าข้าเป็นทายาทผู้แข็งแกร่งที่สุดเหมือนมันจริงๆ…”
ต้วนหลิงเทียนจำได้ชัดเจน ว่าตอนหลิงเจวี๋ยอวิ๋นมาหาเขาหลังเขาได้รับวารีเทพชำระโลกาขั้นที่ 2 ได้ไม่ทันไร อีกฝ่ายกล่าวไว้ชัดเจน ว่าไม่มีประโยชน์อะไรที่เขาจะเก็บมันไว้
หากหลิงเจวี๋ยอวิ๋นรู้ว่าเขาไม่ใช่ทายาทผู้แข็งแกร่งที่สุด อีกฝ่ายคงไม่พูดแบบนั้นออกมาแน่นอน เผลอๆอาจจะอิจฉาเขาด้วยซ้ำ
“ผู้อาวุโส หากเป็นแบบนี้…หมายความว่าทายาทของผู้แข็งแกร่งที่สุด ก็ไม่มีทางกลายเป็นผู้แข็งแกร่งที่สุดได้โดยอาศัยความช่วเหลือจากเทพแห่งธาตุทั้ง 5 เลยน่ะสิ?”
ต้วนหลิงเทียนที่ฉุกคิดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา ก็เอ่ยถามออกไปทันที
ก่อนหน้านี้เขาได้ยินจากเพลิงเทพโกลาหลมาแล้วว่า หนึ่งในวิธีที่จะกลายเป็นผู้แข็งแกร่งที่สุดได้นั้น ก็คือการยกระดับพัฒนาเทพแห่งธาตุทั้ง 5 ให้บรรลุถึงขั้นสุดท้าย
แน่นอนว่า เมื่อสามารถยกระดับเทพแห่งธาตุทั้ง 5 ในร่างให้ถึงขั้นสุดท้ายได้แล้ว ร่างต้นก็จะมีโอกาสกลายเป็นผู้แข็งแกร่งที่สุดเท่านั้น จะตัดผ่านได้หรือไม่ก็ต้องดูความสามารถอีกที…
อย่างไรก็ตามนี่ยังเป็น 1 ในวิธีหลัก เพื่อกลายเป็นผู้แข็งแกร่งที่สุด
“มิผิด”
เพลิงเทพโกลาหลกล่าว “เพราะเหตุนี้ ในประวัติศาสตร์อันยาวนานของสวรรค์และโลก…จึงมีลูกหลานผู้แข็งแกร่งที่สุดไม่กี่คนเท่านั้น ที่สามารถกลายเป็นผู้แข็งแกร่งที่สุดได้”
“เพราะสุดท้ายแล้ว การยกระดับเทพแห่งธาตุทั้ง 5 ที่มีให้บรรลุถึงขั้นสุดท้าย และอาศัยพลังช่วยเหลือของเทพแห่งธาตุทั้ง 5 ขั้นสุดท้าย ก็เป็นวิธีหลักที่ใช้ในการบรรลุถึงขอบเขตผู้แข็งแกร่งที่สุด และยังเป็นวิธีที่ถือว่าง่ายที่สุดอีกด้วย”
“แน่นอนว่า ข้าพูดได้แค่ว่ามีเพียงไม่กี่คน แต่ไม่ใช่ว่าจะไม่มีเลย…เพราะลูกหลานของผู้แข็งแกร่งที่สุด ที่สามารถเข้าใจกฏข้อใดข้อหนึ่งได้ครบถ้วน และหลอมรวมพลังแห่งกฏได้อย่างสมบูรณ์ ก็จักชักนำรางวัลจากสวรรค์และโลกมาอาบร่างจนเกิดใหม่ บรรลุถึงขอบเขตผู้แข็งแกร่งที่สุดได้เช่นกัน”
“อย่างไรก็ตาม กรณีเช่นนี้นับว่าหาได้ยากยิ่งนัก”
เพลิงเทพโกลาหลกล่าว
ต้องบอกเลยว่าคำอธิบายของเพลิงเทพโกลาหล ทำให้ต้วนหลิงเทียนเข้าใจเรื่องราวเพิ่มขึ้นไม่น้อย
ขณะเดียวกันพอได้ยินเพลิงเทพโกลาหลพูดถึงเรื่องผู้แข็งแกร่งที่สุดแบบนี้ ก็ยิ่งทำให้เขาสำเหนียกถึงความกระจ้อยร่อยของตัวเองมากขึ้น! เทียบกับตัวตนระดับนั้นเขาไม่ต่างอะไรจากเศษละอองธุลีเลยด้วยซ้ำ!!
“ผู้แข็งแกร่งที่สุดหรือ…ไม่รู้ว่าชาตินี้ข้าต้วนหลิงเทียนจะมีโอกาสบรรลุถึงหรือไม่”
ไม่ทราบตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่สองหมัดต้วนหลิงเทียนพลันกำแน่น แววตาฉายชัดถึงความคาดหวัง
อย่างไรก็ตามแวววตาคาดหวังดังกล่าวปรากฏได้ไม่ทันไร ก็หม่นแสงลงทันที ยังอดไม่ได้ที่จะยิ้มเยาะตัวเอง “ข้าก็ช่างเพ้อฝันไปได้…ดั่งตัวโง่งมฝันละเมอโดยแท้”
“กระทั่งเค่อเอ๋อ เสี่ยวเฟยเอ๋อ เทียนหวู่ ท่านพ่อท่านแม่และทุกคนข้ายังไม่มีปัญญาจะช่วยได้เลยด้วยซ้ำ…กลับเพ้อคิดไปถึงเรื่องบรรลุขอบเขตผู้แข็งแกรงที่สุดแล้ว”
หลังพึมพำถึงจุดนี้ อารมณ์ต้วนหลิงเทียนก็กลายเป็นหดหู่อีกครั้ง
“ป่านนี้เค่อเอ๋อกับเสี่ยวเฟยเอ๋อจะเป็นอย่างไรแล้ว…ยังมีเทียนหวู่ ท่านพ่อ ท่านแม่ ซือหลิง เนี่ยนเทียนและทุกคนอีก…”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวถึงจุดนี้อารมณ์ก็กลายเป็นสะทกสะท้อน สองตาเริ่มหลับลง และพยายามระงับความเศร้าในใจ
อย่างไรก็ตาม หากมองจากหน้าอกที่ยุบๆพองๆปานลูกสูบแล้ว เห็นได้ชัดว่าอารมณ์ที่พุ่งพล่านขึ้นมานี้ คงยากจะระงับได้ในเวลาอันสั้น
จนเมื่อคืนหนึ่งวันกับอีกหนึ่งคืนผ่านไป คลื่นพลังทั้ง 5 ธาตุก็เริ่มโคจรไหลเวียนไปทั่วร่างเขาอย่างรุนแรง ทำให้ต้วนหลิงเทียนลืมตาตื่นขึ้นมาทันที อารมณ์ที่กระสับกระส่ายและหดหู่ ก็สลายหายไปในพริบตา
ไม่ใช่ใดอื่น แต่เพราะ…
เขาทะลวงด่านพลังได้แล้ว!
“นี่น่ะเหรอ…ขอบเขตขุนนางอมตะ…”
หลังสัมผัสได้ถึงความเปลี่นแปลงราวพลิกฟ้าคว่ำดินในร่าง สองตาต้วนหลิงเทียนก็สว่างไสวขึ้นมาดั่งดาราสุกสกาวกลางฟ้ายามราตรีกาล สีหน้ายังเต็มไปด้วยความตื่นเต้นยินดี
และหลังต้วนหลิงเทียนทะลวงถึงขอบเขตขุนนางอมตะได้ไม่นาน หลิงเจวี๋ยอวิ๋นที่อยู่ในถ้ำอีกแห่งก็ลืมตาขึ้นมาพร้อมสีหน้ายินดีเช่นกัน
เนื่องเพราะหลังต้วนหลิงเทียนทะลวงด่านพลังได้สักพัก หลิงเจวี๋ยอวิ๋นก็สามารถทะลวงด่านพลังได้เช่นกัน
…
ย้อนกลับไปเมื่อ 1 วันกับอีก 1 คืนก่อนหน้า…
ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนกับหลิงเจวี๋ยอวิ๋นพบเจอหุบเขาเหมาะๆและเริ่มขุดถ้ำกันเพื่อกินผลเทพสังเวยสวรรค์นั้น
บริเวณใกล้ๆยอดเขาหมาป่าหอนฟ้า ก็ปรากฏอาคันตุกะไม่ได้รับเชิญ 2 คนมาถึง…
“เหลิ่งเอี้ย หากข้าเดาไม่ผิด ต้วนหลิงเทียนนั่นมันไม่พ้นถูกผู้ที่เป็นจักรพรรดิอมตะกลับชาติมาเกิดหลอกมาที่นี่แน่…ในสายตาข้าสิบในสิบไม่พ้นมันตกอยู่ในเงื้อมมือของจักรพรรดิอมตะที่กลับชาติมาเกิดนั่นแล้ว ป่านนี้คงต้องกลายเป็นเครื่องสังเวยต้นไม้เทพสังเวยสวรรค์ไปแล้ว”
น่านฟ้าเหนือยอดเขา ร่างหนึ่งเอ่ยกับอีกร่างที่ลอยข้างๆ
“จะอย่างไรพวกเราก็ลองตระเวนหาแถวนี้สักสิบวันครึ่งเดือนเถอะ…หากไม่พบร่องรอยของมันแล้วจริงๆ พวกเราค่อยกลับกัน”
อีกคนกล่าว
หากต้วนหลิงเทียนมาอยู่ที่นี่ ต้องจดจำคนที่พึ่งพูดทีหลังได้แน่นอน
เนื่องเพราะคนผู้นี้หาใช่ใครอื่นไม่ แต่มันก็คือนักฆ่าขององค์กรมือสังหารกะโหลกเลือด ที่เขาพบเจอด้านนอกเขตนิกายยอมตะเป้าผู่ เหลิ่งเอี้ย!
เหลิ่งเอี้ยเป็นนักฆ่าขอบเขตราชาอมตะ 9 ตำหนักที่ทางองค์กรมือสังหารกะโหลกเลือดส่งมาฆ่าเขา พลังฝีมือของมันยังเหนือกว่าประมุขนิกายอมตะเป้าผู่เสียอีก
วันนั้นที่ไฉนต้วนหลิงเทียนสามารถหลบหนีไปภายใต้เปลือกตาของเหลิ่งเอี้ยผู้นี้ได้ ทั้งหมดต้องยกความดีความชอบให้ยันต์หลบหนี เงาวายุ ที่ซุนเหลียงเผิงประมุขนิกายอมตะเป้าผู่กัดฟันมอบให้เขามา…
ตอนนี้ต้วนหลิงเทียนก็ไม่ได้รู้เลย
องค์กรมือสังหารกะโหลกเลือด ไม่เพียงล่วงรู้เรื่องที่เขาใช้ค่ายกลเคลื่อนย้ายข้ามระนาบเทวโลก เดินทางออกจากหลิงหลัวเทียนมาแล้วเท่านั้น แต่อีกฝ่ายยังรู้ด้วยว่าเขาไปที่ไหน
อวี้หวงเทียน แดนผิงเทียน เขตปกครองคฤหาสน์เอี้ยนซาน!
“หากเจ้าหนูนั่นมันตกตายเพราะกลายเป็นเครื่องสังเวยของจักรพรรดิอมตะกลับชาติมาเกิดไปแล้ว ก็นับว่ามันโชคดีไป…”
เหลิ่งเอี้ยกล่าวออกเสียงเย็น
วันนั้น เมื่อเห็นยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดตัวกระจ้อย สามารถหนีไปต่อหน้าต่อตาของมันได้ ไม่ว่าจะด้วยสาเหตุอะไรก็ตาม แต่ทำให้เหลิ่งเอี้ยบังเกิดความรู้สึกอัปยศเหลือจะกล่าวนัก!
ดังนั้นหากมันเจอตัวเป้าหมายอีกครั้ง มันไม่คิดปล่อยให้อีกฝ่ายตกตายสบายๆแน่ มันจะค่อยๆป่นกระดูกทีละชิ้น เฉือนเนื้อเถือหนังทีละแผ่น จนกว่าอีกฝ่ายจะทรมานจนตาย!!
ฟุ่บ! ฟุ่บ!
…
เหลิ่งเอี้ยและสหายนักฆ่าจากองค์กรมือสังหารกะโหลกเลือดอีกคน แยกย้ายกันปูพรมค้นหาโดยยึดยอดเขาหมาปาหอนฟ้าที่ เจียงหลาน จักรพรรดิอมตะกลับชาติมาเกิดหลอกลวงทุกคนมาสังเวยต้นไม้เทพสังเวยสวรรค์ ยังแผ่สำนึกเทวะตรวจสอบทุกซอกทุกมุมโดยละเอียด แม้แต่มดสักตัวในหลืบหินก็ไม่อาจเล็ดรอดสัมผัสพวกมันได้!
และ 3 วันต่อมา ทั้งคู่ก็มาปรากฏตัวเหนือหุบเขาที่ต้วนหลิงเทียนกับหลิงเจวี๋ยอวิ๋นเลือกมาขุดถ้ำเพื่อดูดซับพลังของผลเทพสังเวยสวรรค์