“เฮอะ! ของเด็กเล่น!”
ซีเหมินฮ่าวซวนที่อยู่ๆก็ถูกขังอยู่ในกรงเถาวัลย์ไม่ได้แลดูร้อนใจอะไรแม้แต่น้อย สีหน้ายังสบายๆผ่อนคลายเหมือนเดิม
ถึงแม้หว่านชิงชิงจะล่อหลอกจนลงมือได้สำเร็จดั่งหวัง แต่สุดท้ายก็ไม่ได้สร้างปัญหาอะไรให้มันมาก
เพราะกรงเถาวัลย์นี่ ขอแค่มันลงมือทำลายจริงๆจังๆ น่ากลัวว่าจะต้านทานพลัของมันได้ไม่กี่ลมหายใจด้วยซ้ำ
และจากการประเมินของมัน เพื่อสร้างกรงนี้ขึ้นมาหว่านชิงชิงได้ทุ่มพลังไปมหาศาล! กระบวนท่าที่ทุ่มพลังสาหัสขนาดนี้ หากคิดจะใช้ออกอีกครั้งในเวลาสั้นๆ เกรงว่าคงยากกว่าให้ผู้คนธรรมดาปีนขึ้นสวรรค์!!
ที่สำคัญหากกรงนี่ถูกทำลาย หว่านชิงชิงก็ต้องถูกพลังสะท้อนจนสาหัส ถึงตอนนั้นมันอาศัยแค่พลิกฝ่ามือก็จัดการหว่านชิงชิงได้โดยง่าย
อย่างไรก็ตาม ในขณะที่ซีเหมินฮ่าวซวนกำลังคิดจะเสียเวลา 2-3 ลมหายใจทำลายกรงขังนี่ให้พัง จะได้ไปบู๊กับต้วนหลิงเทียนต่อ สองตามันก็ทอประกายเรืองขึ้นวาบหนึ่ง เพราะมันตระหนักได้ว่าเบื้องหน้าไม่ไกล ปรากฏร่างหนึ่งผุดโผล่ออกมาจากความว่างเปล่า
กรงเถาวัลย์ของหว่านชิงชิง เรียกว่าปิดล้อมมันทุกทิศจนไร้แสงใดเล็ดลอดเข้ามาได้ด้วยซ้ำ ด้านในจึงมืดสนิทไม่เห็นแม้แต่นิ้วมือทั้ง 5
อย่างไรก็ตามไม่ว่าใครหากบ่มเพาะมาถึงขอบเขตขุนนางอมตะ 10 ทิศแบบซีเหมินฮ่าวซวน ให้มืดมิดแค่ไหน ขอแค่แสงจากพลังที่เรืองรองขึ้นมาบางเบา ก็ทำให้มองเห็นได้ไม่ต่างจากกลางวัน
ยิ่งไปกว่านั้นต่อให้ไม่ต้องใช้ตามอง อาศัยสำนึกเทวะที่แผ่ออกไป ก็สัมผัสได้ทุกสิ่งอย่างแล้ว
เช่นนั้นซีเหมินฮ่าวซวนจึงรู้ได้ทันทีว่าใครพึ่งวูบร่างเข้ามา…เป็นต้วนหลิงเทียน นั่นเอง!
หากเป็นคนอื่น ถ้าคิดจะเข้ามาหรือออกไปจากกรงของหว่านชิงชิง เกรงว่าต้องใช้พลังทำลายบุกฝ่า ทว่าต้วนหลิงเทียนไม่จำเป็นต้องทำอะไรแบบนั้น ด้วยพลังของความลึกซึ้งเคลื่อนมิติ เพียงห้วงคิดร่างเขาก็วูบมาโผล่ได้แล้ว…
เปรียะ! เปรียะ! เปรียะ! เปรียะ! เปรียะ! เปรียะ!
…
และแทบจะเป็นเวลาเดียวกันกับที่ซีเหมินฮ่าวซวนค้นพบการมาของต้วนหลิงเทียน มันก็สัมผัสได้ทันทีว่าความว่างเปล่าโดยรอบบัดนี้ อัดแน่นไปด้วยมหาศาลขุมหนึ่ง เป็นพลังบิดเบือนฉีกกระชากของห้วงมิติอันแปรปรวน
พลังมิติอันแปรปรวนเหล่านี้ แทบไม่ต่างอะไรจากกระบี่แหลมคม เสียงพลังดังฮึงๆดุร้ายอำมหิตนัก!
ชิ้ง! ชิ้ง! ชิ้ง! ชิ้ง! ชิ้ง! ชิ้ง!
…
อย่างไรก็ตามกระบี่หนักเล่มเขื่องมีสภาพเล่มแล้วเล่มเล่า ที่ควบสร้างจากกฏทำลายล้าง อันม้วนวนรอบกายซีเหมินฮ่าวซวนก็ไม่ได้มีไว้ดูเล่น! พลังห้วงมิติที่เคี่ยวกรำเข้ามาจากทุกทิศทาง ได้ถูกคลื่นพลังทำลายล้างที่ปลดปล่อยออกจากวังวนกระบี่รอบตัวซีเหมินฮ่าวซวนต้านทานทำลายตลอดเวลา!!
“ดูเหมือนข่าวที่ลือๆกันจะไม่ผิดจริงๆ…ความเร็วเป็นจุดอ่อนของเจ้า”
ซีเหมินฮ่าวซวนมองกล่าวกับต้วนหลิงเทียนตรงๆ “ดูเหมือนเป็นเจ้าตั้งใจให้หว่านชิงชิงขังข้าไว้แบบนี้ เพื่อจำกัดพื้นที่ขของข้า ให้ข้าไม่อาจใช้ความได้เปรียบจากความเร็วได้สินะ…”
“ที่แท้จุดประสงค์ของกรงเถาวัลย์นี่ คือบีบให้ข้าปะทะกับเจ้าตรงๆ!”
ซีเหมินฮ่าวซวนย่อมมองความคิดต้วนหลิงเทียนออกทันที
“อ่า ตอนนี้หากเจ้าคิดจะทุบป้ายหยกสะสมคะแนนเพื่อหนีออกไปก็ยังไม่สาย…หาไม่แล้วก็ต้องมีหนังถลอกกันบ้าง”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวเสียงเรียบ
เมื่อเขาลงมือ ซีเหมินฮ่าวซวนก็ไม่มีเวลามากพอจะหันไปสนใจเรื่องทำลายกรงเถาวัลย์ของหว่านชิงชิงได้แน่นอน…
และพลังสะท้อนอันใดที่เกิดจากการปะทะกันระหว่างเขากับซีเหมินฮ่าวซวน ก็ไม่รุนแรงถึงขั้นจะทำลายกรงเถาวัลย์ของหว่านชิงชิงได้ในเวลาอันสั้น…
แน่นอนว่าไม่รุนแรงถึงขั้นทำลายได้ในเวลาอันสั้นเท่านั้น…
แต่หากในเวลาสั้นๆเขาไม่อาจเอาชนะซีเหมินฮ่าวซวนได้ จนต้องสู้ปะทะไปยืดเยื้อล่ะก็…กรงเถาวัลย์ของหว่านชิงชิงเองก็ไม่พ้นต้องถูกทำลายเพราะพลังสะท้อนแน่นอน!!
หว่านชิงชิงก็ได้บอกเขาไว้แล้ว
ว่าหากกรงเถาวัลย์ที่นางทุ่มพลังสร้างแบบนี้ถูกทำลายลงไปล่ะก็ หากคิดจะใช้ออกอีกครั้ง ก็ต้องมีพักฟื้นพลังกันต่ำๆ ครึ่งวันกว่าจะใช้ได้อีก!
เขาก็เลยมีแค่โอกาสเดียวเท่านั้น
“ปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดิน…คราวนี้เพื่อความปลอดภัย ข้าต้องพึ่งเจ้าอีกแรง!”
เพื่อเอาชนะซีเหมินฮ่าวซวนให้เร็วที่สุด ต้วนหลิงเทียนตัดสินใจใช้ทุกสิ่งเพื่อฉะกับอีกฝ่ายตรงๆ เช่นนั้นเขาจึงกล่าวบอกปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดิน เพื่อใช้พลังของมันอีกแรง
“ฮึ่ย!!”
ได้ยินคำพูดของต้วนหลิงเทียน ปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินก็พ่นลมขึ้นจมูกอย่างขุ่นขึ้ง “เจ้าหนู…ในที่สุดเจ้าก็นึกถึงข้าแล้วหรือ…ถึงในแง่การโจมตีข้าจะช่วยเหลือเจ้าไม่ได้มากเหมือนทองเทพสุดลี้ลับกับเพลิงเทพโกลาหล แต่อย่างน้อยๆก็เสริมพลังให้เจ้าได้เหมือนเข้าใจความลึกซึ้งบางส่วน”
ด้านนอกกรงเถาวัลย์
ปง! ปง! ตูม! ตูม!
…
เสียงระเบิดชวนสนองดังสนั่นด้านในกรงไม่หยุด หว่านชิงชิงกัดฟันเร่งเร้าพลังชั่วชีวิตถ่ายทอดออกไปไม่หยุด เพื่อคงสภาพกรงเถาวัลย์เอาไว้ เม็ดเหงื่อผุดซึมเต็มหน้าผาก!
นั่นเพราะพลังสะท้อนที่ปะทุอยู่ในกรงมันรุนแรงเหลือเกิน
ไม่ใชแค่มีดีแค่เสียงดัง แต่พลังยังร้ายกาจเหนือกว่าที่นางคาดคิดเอาไว้มาก!
‘แค่ไม่ถึง 3 ลมหายใจ…ลำพังพลังสะท้อนระหว่างการปะทะของพวกมัน ก็ทำให้ข้าเผชิญแรงกดดันมหาศาลขนาดนี้แล้ว…’
‘ต่อให้เป็นซีเหมินฮ่าวซวนใช้พลังเต็มที่เพื่อทำลายกรงอย่างเดียว มันก็ต้องใช้เวลาราวๆ 2-3 ลมหายใจ ถึงจะทำลายกรงเถาวัลย์ของข้าได้’
‘แต่ตอนนี้พวกมันไม่ได้ตั้งใจทำลายกรงด้วยซ้ำ!’
หลังผ่านไป 4 ลมหายใจ ใบหน้าหว่านชิงชิงก็ซีดปานกระดาษ ไม่ใช่ซีดเพราะบาดเจ็บอะไร แต่ซีดลงเพราะแรงกดดันที่นางรับอยู่มันมากเกินไป!
‘หากเป็นแบบนี้ต่อไป…ต่อให้ข้าพยายามให้ตาย ข้าก็ต้านทานได้แค่ 6 ลมหายใจเท่านั้น!’
หว่านชิงชิงรู้สึกเป็นกังวลอย่างหนัก
บัดนี้นางตระหนักว่า นางดูเบาการประมือระหว่างต้วนหลิงเทียนกับซีเหมินฮ่าวซวนมากเกินไป พลังสะท้อนที่เกิดจากการปะทะกันของทั้งคู่ ไม่ได้ด้อยไปกว่าการโจมตีเต็มกำลังของซีเหมินฮ่าวซวนที่คิดทำลายกรงเถาวัลย์ของนางโดยตรงเลย
และตอนนี้หว่านชิงชิงที่เร่งเร้าพลังทุกหยาดหยดไปรักษากรงเถาวัลย์ นับประสาอะไรจะแผ่สำนึกเทวะไปตรวจสอบเรื่องงราวภายในกรง นางไม่มีเวลาแม้แต่จะส่งเสียงผ่านพลังไปแจ้งต้วนหลิงเทียน ว่านางจะประคองสภาพกรงไม่ไหวแล้วด้วยซ้ำ
เนื่องเพราะตอนนี้นางจำต้องทุ่มสมาธิทั้งหมดไปกับการรีดเค้นพลังเพื่อประคองสภาพกรงเถาวัลย์ หากวอกแวกแม้แต่เสี้ยวพริบตา กรงเถาวัลย์ไม่พ้นต้องพังลงทันที!
‘ดูเหมือนว่าถึงพวกจักร่วมมือกัน ก็ยังไม่อาจจัดการซีเหมินฮ่าวซวนได้…’
ใจหว่านชิงชิงเต็มไปด้วยความขมขื่น
เพราะถึงต้วนหลิงเทียนจะแข็งแกร่ง แต่นางก็ไม่คิดว่าต้วนหลิงเทียนจะสยบซีเหมินฮ่าวซวนได้ในเวลา 6 ลมหายใจ
ถึงแม้ซีเหมินฮ่าวซวนไม่อาจใช้ข้อได้เปรียบเรื่องความเร็ว แต่นางประเมินจากพลังของต้วนหลิงเทียนเท่าที่เห็น นางคาดว่าต้องใช้เวลาต่ำๆ 10 ลมหายใจ ต้วนหลิงเทียนถึงจะเอาชนะซีเหมินฮ่าวซวนได้
สิ่งนี้ไม่ได้มาจากการประเมินพลังฝีมือของต้วนหลิงเทียนเท่าที่นางเห็นตลอดหลายวันที่ผ่านมาเท่านั้น แต่ยังรวมกับการประเมินพลังฝีมือของซีเหมินฮ่าวซวนจากข้อมูลที่นางรู้อีกด้วย
ในอดีตนางเคยโดนซีเหมินฮ่าวซวนจัดการไปครั้งหนึ่ง นางจึงรู้ดีว่าอีกฝ่ายร้ายกาจแค่ไหน
“หืม!?”
อย่างไรก็ตาม หลังจากผ่านไป 5 ลมหายใจ หว่านชิงชิงก็อดประหลาดใจไม่ได้ เมื่อพบว่า…
พลังสะท้อน และคลื่นกระแทกอันน่ากลัวที่ถล่มทำลายภายในกรงเถาวัลย์ของนาง บัดนี้ได้อันตรธานหายไปหมดสิ้น ภายในกรงหวนคืนสู่ความสงบเรียบร้อย…
ขณะเดียวกันแรงกดดันหนักอึ้งที่เคี่ยวกรำนางก่อนหน้า ก็อันตรธานหายไปราวกับไม่เคยมีมาก่อน…
“ขอบคุณเจ้าที่เมตตา…”
และในขณะที่หว่านชิงชิงกำลังจะแผ่สำนึกเทวะออกไปตรวจสอบเรื่องราวภายในกรงเถาวัลย์ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ น้ำเสียงอิดโรยแฝงไว้ด้วยความสำนึกบุญคุณหนึ่งพลันดังขึ้นจากด้านใน…
“เสียงนี่มัน…”
ได้ยินเสียงดังกล่าว สองตาหว่านชิงชิงก็ฉายแสงจ้าทันที
เพราะนางจำได้ว่านั่นมันเสียงของซีเหมินฮ่าวซว!
วินาทีต่อมา เพียงหนึ่งห้วงคิดหว่านชิงชิงก็ถอนรั้งพลังสร้างกรงเถาวัลย์คืนกลับ ร่างสองร่างจึงปรากฏให้เห็นในสายตาอีกครั้ง
ต้วนหลิงเทียนยังแลดูปลอดภัยดี ชุดคลุมสีม่วงขาดวิ่นบางจุด อย่างไรก็ตามเนื้อตัวกลับไร้รอยแผลอะไร
เห็นได้ชัดว่าคนไม่เป็นไร แค่เสื้อผ้าขาดเล็กๆน้อยๆเท่านั้น
กลับกัน ซีเหมินฮ่าวซวนตอนนี้ ทั้งร่างกายไม่มีตรงไหนที่ไม่มีแผล รอยแผลยิบย่อยราวกับถูกมีดกรีดเนื้อกระทั่งคล้ายถูกบางอย่างคว้านเต็มไปหมด ที่สำคัญกลางอกนั่น ช่างเป็นแผลลึกอันน่ากลัวชวนสยองนัก!
หากมันลึกกว่านี้อีกสักชุ่นเกรงว่าซีเหมินฮ่าวซวนคงไม่รอดแน่!
“อย่าลืมเดิมพันระหว่างเราล่ะ…”
ต้วนหลิงเทียนหยีตามองซีเหมินฮ่าวซวนเขม็ง พลางกล่าว
“เจ้าไม่ต้องห่วงเรื่องนี้หรอก ข้าจะไปส่งให้ถึงมือเจ้าเลย…”
หลังซีเหมินฮ่าวซวนเดินพลังเพื่อฟื้นฟูตัวเองอยู่สักพัก มันก็มองตอบต้วนหลิงเทียน ขณะเดียวกันก็ค่อยๆเรียกป้ายหยกสะสมคะแนนนออกมา
และตอนนี้สีหน้าซีเหมินฮ่าวซวนก็ไม่ได้แลดูเจ็บแค้นอะไรเลย ใบหน้ามันเริ่มเต็มไปด้วยรอยยิ้มอีกครั้ง คล้ายไม่ถือสาคนที่ทำให้มันเกือบไปเมืองผีเบื้องหน้าแม้แต่น้อย
“อ่า ข้าจะรอเจ้า”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า
“เจ้าไม่ต้องรอนานแน่นอน…หลังจากที่ข้าออกไป ข้าจะให้ลุงข้าพาไปที่คฤหาสน์เฉวียนโยวทันที…กว่าเจ้าจะออกจากแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับกลาง เผลอๆข้าคงเดินทางไปถึงแล้วด้วยซ้ำ”
ซีเหมินฮ่าวซวนกล่าว
มันเป็นศิษย์หลักของคฤหาสน์หงเอี้ย ทั้งยังเป็นคนมากอัธยาศัย เช่นนั้นข้อมูลใดๆในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับกลาง ก็มีคนคอยรายงานให้มันรู้ตลอด และหากมีความเปลี่ยนแปลงสำคัญใดๆ มันก็จะได้รับแจ้งทันที
ด้วยเหตุนี้ตั้งแต่ตอนแรกที่ต้วนหลิงเทียนปรากฏตัวในตารางจัดอันดับ มันก็ล่วงรู้ และกะประมาณเวลาได้คร่าวๆ ว่าต้วนหลิงเทียนจะถึงกำหนดต้องออกไปเมื่อไหร่
“เอาล่ะ เจ้าเตรียมสุราดีๆรอต้อนรับข้าได้เลย”
ซีเหมินฮ่าวซวนยิ้มกล่าวกับต้วนหลิงเทียนอีกคำ ก่อนจะบดขยี้ป้ายหยกกสะสมคะแนนในมือ
และหลังจากที่ซีเหมินฮ่าวซวนถูกอาคมส่งตัวออกไป ต้วนหลิงเทียนก็เร่งสะบัดมือเรียกป้ายหยกสะสมคะแนนของตัวเองออกมาทันที
เห็นได้ชัดว่าเขาก็อยากรู้ไม่น้อย ว่าในป้ายเขามีคะแนนสะสมกี่แต้มแล้ว!
ซีเหมินฮ่าวซวนเป็น 1 ใน 6 อันดับแรกของแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับกลางเดือนนี้ และยังเป็นมาหลายปีแล้ว อันดับ 1 เองก็เคยได้มาหลายครั้ง
ก่อนที่เขาจะจัดการซีเหมินฮ่าวซวน เขารู้แค่ซีเหมินฮ่าวซวนอยู่ใน 6 อันดับแรก แต่ไม่รู้ว่าอันดับไหนและมีคะแนนสะสมเท่าไหร่
อย่างไรก็ตามเขารู้ดีว่าซีเหมินฮ่าวซวนสมควรมีคะแนนไม่ต่างจากอีก 5 คนมากนัก อย่างน้อยๆก็ต้องมากกว่าเขาเกือบ 200 แต้มแน่นอน
“เจ้ามีกี่แต้มแล้วหรือ?”
และในปัจจุบันไม่ใช่แค่ต้วนหลิเทียนเท่านั้นที่อยากรู้ว่าเขามีแต้มเท่าไหร่แล้ว กระทั่งหว่านชิงชิงเองก็อดไม่ได้ที่จะมองถามด้วยสายตาอยากรู้อยากเห็น
“1,207 แต้ม”
ต้วนหลิงเทียนสะบัดมือเก็บป้ายหยกสะสมคะแนน ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมากล่าวตอบหว่านชิงชิงด้วยรอยยิ้มสดใส
นับเป็นครั้งแรกเลยที่หว่านชิงชิงเห็นต้วนหลิงเทียนคลี่ยิ้มแบบนี้ นางจึงอื้ออึงไปพักหนึ่ง จนต้วนหลิงเทียนหุบยิ้ม นางค่อยได้สติกลับคืน
จังหวะนี้กกระทั่งหว่านชิงชิงเองก็ไม่ทันรู้ตัวเลยว่าพวงแก้มที่มักเต็มไปด้วยความเย็นชาของนาง ก็มีวันขึ้นสีแดงระเรื่อเหมือนกัน
“ยินดีกับเจ้าด้วย”
หลังได้รับทราบคะแนนของต้วนหลิงเทียน หว่านชิงชิงก็กล่าวคำแสดงความยินดีออกไปทันที “ด้วยคะแนนสะสมของเจ้า อันดับในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับกลางของเจ้าเดือนนี้ ต้องเป็นที่ 1 อย่างไม่ต้องสงสัยเลย…”
“ที่สำคัญ…เท่าที่ข้ารู้มา มันเป็นเวลากว่า 12 ปีแล้ว ที่ไม่มีใครทำคะแนนสะสมในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับกลางได้เกิน 1,000 แต้ม”
ในสายตาของหว่านชงชิง ด้วยคะแนนดังกล่าว ต้วนหลิงเทียนต้องได้ที่ 1 แน่นอน
“ตอนนี้ข้าว่าคนของคฤหาสน์อมตะทั้งหลายที่อยู่ด้านนอกต้องตกตะลึงกันยกใหญ่…เพราะคงไม่มีใครคิดว่าเจ้าจะสามารถจัดการซีเหมินฮ่าวซวนได้”
หว่านชิงชิงคลี่ยิ้มสนุกกสนาน “ยิ่งคฤหาสน์หงเอี้ย ข้าว่าพวกมันต้องตกใจจนตาตั้งแน่…เกรงว่าต่อให้หลับพวกมันยังไม่อาจฝันถึง ว่าซีเหมินฮ่าวซวนที่ไร้คูต่อกรมานานนับสิบปีในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับกลาง วันนี้จะถูกเจ้ากำจัด”
และเป็นอย่างที่หว่านชิงชิงคิดไว้ไม่มีผิด
เมื่อร่างซีเหมินฮ่าวซวนปรากฏตัวในค่ายกลเลื่อนย้ายรับตัวสำหรับผู้ที่บดขยี้ป้ายหยกของคฤหาสน์หงเอี้ย ซึ่งสร้างแยกไว้จากผู้ที่ใช้ค่ายกลในค่ายกลกลับมาหรือครบกำหนดเวลาโดยเฉพาะ ทุกคนที่เห็นก็ตกตะลึงอึ้งไปทั้งสิ้น!
จะศิษย์หรืออาวุโสล้วนแล้วแต่ชมดูจนตาลอย นิ่งค้างไปราวเห็นผีกลางวันแสกๆ