WSSTH ตอนที่ 3,257 : จักรพรรดิอมตะไร้ใจ เหลยอิง!
อู๋หยาเทียน นั้นเป็นหนึ่งในเก้าเก้า 81 ของระนาบเทวโลก และมีดินแดนศูนย์กลางอำนาจเรียกว่าแดนไร้ขอบเขต ซึ่งแดนไร้ขอบเขตดังกล่าว ยังเป็นดินแดนที่มีขนาดกว้างใหญ่ไพศาลที่สุดในอู๋หยาเทียนอีกด้วย!
ในแดนไร้ขอบเขตนั้น จักรพรรดิอมตะเดินกันเกลื่อนถนน และขอบเขตจอมราชันอมตะก็เยี่ยงสุนัขที่ไปทางไหนก็เจอ!
บริเวณพื้นที่ทางตะวันออกของแดนไร้ขอบเขต จากใกล้จุดๆกึ่งกลางแผ่ไปถึงชายขอบทั้งหมด ล้วนแล้วแต่เป็นอาณาเขตของวังเทียนฉือ ซึ่งเป็นหนึ่งในขุมกำลังระดับสวรรค์ของอู๋หยาเทียน!
ความแข็งแกร่งของวังเทียนฉือนั้น ไม่ต้องกล่าวถึงในบรรดาขุมกำลังระดับสวรรค์ระดับต้นๆของระนาบเทวโลกด้วยซ้ำ กระทั่งแค่ในแดนไร้ขอบเขตของอู๋หยาเทียนเอง ก็จัดเป็นขุมกำลังระดับสวรรค์ชั้นปลายแถวเท่านั้น!
ทว่าหากจะกล่าวถึงในแง่อำนาจแล้ว ขอบเขตอำนาจของวังเทียนฉือก็เรียกว่าน้องๆพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์แห่งอู๋หยาเทียนเลย!
นั่นเพราะจ้าววังเทียนฉือคนปัจจุบัน เป็นเหลนคนหนึ่งของจักรพรรดิสวรรค์แห่งอู๋หยาเทียน จึงได้รับความคุ้มครองจากพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์!
จะกล่าวว่า พระราชวังจักรพรรดิสวรรค์แห่งอู๋หยาเทียนให้ท้ายวังเทียนฉือก็ไม่ผิด!
ด้วยเหตุนี้ขุมกำลังระดับสวรรค์อื่นๆ ต่อให้จะมีความแข็งแกร่งเหนือกว่าวังเทียนฉือมากแค่ไหน ขอเพียงวังเทียนฉือไม่ทำเรื่องที่พวกมันยากยอมรับเกินไป พวกมันก็จะไม่ถือสาหาความอะไรกับวังเทียนฉือ
ด้วยความที่อีก 12 ปีหลังจากนี้ วังเทียนฉือจะเปิดรับศิษย์สาวกในรอบสหัสวรรษ เช่นนั้นจึงมีผู้คนหลั่งไหลจากทุกทั่วสารทิศมารวมตัวกันอยู่ไม่ไกลจากสถานที่ตั้งวังเทียนฉือมากเท่าไหร่
คนเหล่านี้ล้วนมาเฝ้ารอเวลาทดสอบรับศิษย์ของวังเทียนฉือที่จะเกิดขึ้นในอีก 12 ปีให้หลัง!
บ้างก็มีผู้เฒ่าผู้แก่ในตระกูลพามา บ้างก็เป็นผู้อาวุโสในขุมกำลัง บ้างก็มากับสหาย มาคนเดียวก็มีให้เห็น มาเป็นคู่ชายหญิงก็ไม่ขาด
หนึ่งสิ่งที่ทั้งหมดมีเหมือนกันก็คือ…อายุไม่ถึงพันปี
เนื่องจากวังเทียนฉือจะรับแต่ศิษย์ที่ยังมีอายุไม่เกินพันปีเท่านั้น ขอเพียงอายุน้อยกว่าพันปี ไม่ว่าจะมีระดับพลังบ่มเพาะเท่าไหร่ ก็สามารถเข้าร่วมบดทดสอบเข้าสู่วังเทียนฉือได้ทั้งสิ้น
แน่นอนว่าบททดสอบจะแตกต่างกันไปตามอายุและพลังฝึกปรือ…
“พวกเรายังมีเวลาเหลืออีก 12 ปีเต็มๆ…”
ต้วนหลิงเทียนที่ยืนอยู่ด้านนอกเขตวังเทียนฉือห่างออกไปไกลๆ หันไปมองปลอบฮ่วนเอ๋อข้างๆด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ฮ่วนเอ๋อตอนนี้พวกเราไปหาสถานที่บ่มเพาะกันก่อนดีกว่า หลังปิดด่านฝึกปรือครบ 12 ปี พวกเราค่อยไปทดสอบเข้าวังเทียนฉือกัน”
ฮ่วนเอ๋อพยักหน้ารับอย่างเชื่อฟัง อย่างไรก็ตามสองตานางยังจับจ้องไปยังวังเทียนฉือที่ตั้งอยู่ไกลๆอย่างเหม่อลอยอยู่เนิ่นนานไม่ไปไหน
วังเทียนฉือที่ตั้งอยู่ไกลๆ ก็มีม่านหมอกบดบังจึงยากจะแลเห็นสิ่งใดได้ชัด เห็นเพียงแค่เค้าโครงอาคารเท่านั้น แถมยังไม่ชัดเจนอีกด้วย
“ไปเถอะฮ่วนเอ๋อ…”
ต้วนหลิงเทียนจูงมือฮ่วนเอ๋อจากไปทันที เพราะเขารู้ว่าหากไม่จูงมือพานางไปจากที่นี่ ไม่พ้นนางได้ยืนเหม่อมองวังเทียนฉือเป็นวันๆแน่
สุดท้ายแล้ว สิบในสิบบิดามารดาของฮ่วนเอ่อก็น่าจะถูกขังอยู่ในวังเทียนฉือเบื้องหน้า
จากนั้นต้วนหลิงเทียนก็พาฮ่วนเอ๋อมาถึงเขาสูงตระหง่านลูกหนึ่งที่ไม่ไกลจากที่ตั้งวังเทียนฉือมากนัก หลังเหินวนอยู่ไม่นานก็พบเจอริมผาที่แลดูไม่ค่อยสะดุดตาผู้คนแห่งหนึ่ง จึงลงมือขุดถ้ำลึกเพื่อใช้ในการปิดด่านบ่มเพาะตลอดระยะเวลา 12 ปีหลังจากนี้
“ฮ่วนเอ๋อ เจ้าใจเย็นลงก่อน…หากไม่อาจสงบใจแล้วเจ้าจะบ่มเพาะพลังได้อย่างไร”
หลังจากขุดถ้ำสร้างที่อยู่อย่างเรียบง่ายรวมถึงใช้จานค่ายกลต่างๆที่มีปกปิดอำพรางทั้งป้องกันถ้ำแล้วเสร็จ ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนกำลังจะบ่มเพาะ เขาก็พบว่าอารมณ์ของฮ่วนเอ๋อยังพุ่งพล่านขึ้นๆลงๆ ร่างเขาก็สะท้านไปเบาๆ
“พี่หลิงเทียน…ฮ่วนเอ๋อมีลางสังหรณ์อันแรงกล้า ว่าท่านพ่อกับท่านแม่ถูกขังอยู่ในวังเทียนฉือไม่ผิดแน่”
ฮ่วนเอ๋อกล่าว “ฮ่วนเอ๋อสัมผัสได้ชัดเจนจากการเรียกหาของสายเลือด…”
“ถึงจะเป็นแบบนั้น พวกเราก็ยังต้องรอให้ผ่านไปครบ 12 ปีก่อน…”
ต้วนหลิงเทียนคลี่ยิ้มแห้งๆ และกล่าวโน้มน้าวฮ่วนเอ๋อสืบต่อ “ฮ่วนเอ๋อ เจ้าต้องฟังพี่หลิงเทียน…สงบสติอารมณ์แล้วบ่มเพาะพลังเสีย หลังจากนี้ 12 ปี ยิ่งพวกเราทำผลงานในการทดสอบได้ดีเท่าไหร่ สถานะของพวกเราในวังเทียนฉือยิ่งสูงเท่านั้น”
“และยิ่งสถานะของพวกเราสูงมากเท่าไหร่ พวกเราก็จะเข้าถึงข้อมูลและความลับต่างๆในวังเทียนฉือได้มากขึ้น…กระทั่งพวกเราจะมีอำนาจมากขึ้น…”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวเตือน
หลังได้ยินคำเตือนของต้วนหลิงเทียน สีหน้าฮ่วนเอ๋อก็แลดูเคร่งขรึมนัก และไม่นานนางก็สามารถสงบสติอารมณ์เข้าสู่ฌาณสมาธิได้สำเร็จ สามารถโคจรสั่งสมพลังได้อย่างราบรื่น
เห็นฉากดังกล่าวต้วนหลิงเทียนก็ได้แต่ระบายลมหายใจอย่างโล่งอกเบาๆ จากนั้นก็หลับตาและจมสู่ภวังค์บ่มเพาะทันที
เนื่องจากตอนนี้เขาอยู่ในโลกภายนอก ถึงแม้จะใช้จานค่ายกลเพื่อป้องกันไปในระดับหนึ่งแล้ว แต่ต้วนหลิงเทียนยังขอให้วารีเทพชำระโลกาจัดตั้งค่ายกล เพื่อกักเก็บพลังวิญญาณฟ้าดินให้อยู่ในห้องถ้ำแห่งนี้ไม่รั่วไหลไปด้านนอกอีกแรง
ทั้งหมดเพื่อระวังป้องกัน ไม่ให้ความลับภายในโลกใบเล็กของเขาถูกผู้ใดค้นพบ
‘เป็นไปได้สูงว่าหากมีคนพบความลับในโลกใบเล็กของข้า…ถึงแม้พวกมันจะไม่อาจถ่ายโอนโลกใบเล็กของข้าไปเป็นโลกใบเล็กของพวกมัน และต่อให้พวกมันจะไม่มีวิธีย้ายพลังวิญญาณฟ้าดินที่อยู่ในโลกใบเล็กของข้าออกไปไว้ในโลกใบเล็กของพวกมัน แต่ที่แน่ๆคือพวกมันต้องฆ่าข้าทิ้งก่อนแน่นอน!’
ต้วนหลิงเทียนรู้เรื่องนี้ดี
‘ทั้งหมดเพราะด่านพลังฝึกปรือในตอนนี้ยังต่ำเกินไป…แต่อย่างไรเสีย 12 ปีหลังจากนี้หากไร้ข้อผิดพลาดใดๆ ก็สมควรทะลวงถึงจอมราชันอมตะ 4 รูปได้แน่’
ต้วนหลิงเทียนรู้ดี ว่าบ่อเกิดความแข็งแกร่งของเขาตอนนี้ที่ทำให้เขาฉะกับจักรพรรดิอมตะ 1 ต้นกำเนิดทั่วไปได้ มันมีสาเหตุหลักมาจากพลังของกฏที่ตระหนักรู้ กับพลังของเทพเบญจธาตุทั้ง 5…
ด่านพลังฝึกปรือของเขาตอนนี้ยังเป็นแค่จอมราชันอมตะ 3 ศักดิ์เท่านั้น และนี่เป็นเพราะความก้าวหน้าครั้งใหญ่จากโชควาสนาจากแดนลับทวยเทพที่ซ่อนอยู่ในแดนลับอัจฉริยะล้วนๆ
…
12 ปี สำหรับเซียนอมตะที่มีชีวิตนิรันดร์บนระนาบเทวโลกแล้ว ก็เสมือนพริบตาเดียว…
และหลังจากผ่านไป 12 ปี ด้านนอกเขตวังเทียนฉือก็เต็มไปด้วยผู้คนมากมายมหาศาล สุดที่เมื่อ 12 ปีก่อนจะเทียบได้ ไม่ว่าจะหัวหงอกหัวดำหนุ่มสาวอะไร ล้วนมารวมตัวกันหนาตา
และตอนนี้ผู้คนทั้งหมด ก็กำลังให้ความสำคัญกับหญิงชรานางหนึ่งในชุดสีเทา ที่พึ่งนำคนกลุ่มหนึ่งก้าวออกมาจากประตูใหญ่วังเทียนฉือ
หญิงชราในชุดสีเทานางนี้ มีรูปร่างผ่ายผอมนัก ชุดสีเทาของนางจึงดูหลวมโครกพิกล
เรียกว่านางผอมจนน่ากลัวจะปลิวไปตามลมได้ทุกเมื่อ อย่างไรก็ตามดวงตาของนางกลับฉายแววแหลมคม ปานจะมองทะลุได้ทุกสิ่ง
“ข้าคือจ้าวตำหนักลองกระบี่แห่งวังเทียนฉือ เหลยอิง”
หญิงชราที่ออกมายืนเผชิญหน้ากับผู้คน กวาดตามองร่างผู้คนมากมายหน้าวังเทียนฉือรอบหนึ่ง พลางกล่าวแนะนำตัวออกมาด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ
“หา!? จ้าวตำหนักลองกระบี่เช่นนั้นหรือ!?”
“ข้ารู้มาว่าตำหนักลองกระบี่นั้น รับหน้าที่ดูแลเรื่องการทดสอบรับศิษย์ใหม่ของวังเทียนฉือโดยเฉพาะ…อย่างไรก็ตามปกติผู้ที่จะรับหน้าที่ออกมาควบคุมดูแลการทดสอบรับศิษย์มักจะเป็นรองจ้าวตำหนักมิใช่หรือไร? ไฉนคราวนี้จ้าวตำหนักถึงมาเองได้เล่า!?”
“นางเรียกว่าเหลยอิง…หรือว่านางก็คือ ‘จักรพรรดิอมตะไร้ใจ’ ที่ร่ำลือผู้นั้นหรือ!?”
“ไม่ผิด! นางเป็นหนึ่งในจักรพรรดิอมตะสมญานามของวังเทียนฉือ! และสมญานามของนางก็คือ ‘ไร้ใจ’ และนางยังมีตำแหน่งเป็นถึงจ้าวตำหนักของตำหนักลองกระบี่อีกด้วย!!”
“ข้าได้ยินมาว่าจักรพรรดิอมตะไร้ใจผู้นี้ร้ายกาจยิ่ง…กระทั่งมีจักรพรรดิอมตะสมญานามที่ตกตายคามือนางแล้วไม่ต่ำกว่า 5 คน!”
“ใช่! นอกจากเรื่องที่สหายท่านนั้นกล่าวถึง ข้ายังได้ยินมาอีกว่า จักรพรรดิอมตะไร้ใจผู้นี้…พลังฝีมือของนางติดอยู่ใน 5 อันดับแรกของวังเทียนฉืออีกด้วย!”
…
เมื่อหญิงชราร่างผอมชุดเทาเปิดเผยตัวตนออกมา ว่านางก็คือจ้าวตำหนักลองกระบี่เหลยอิง ผู้คนมากมายที่มารวมตัวกันหน้าประตูวังเทียนฉือก็แตกตื่นฮือฮากันยกใหญ่
และบรรดาผู้ที่ไม่รู้จักเหลยอิงแต่แรก พอได้ยินหลายๆคนกล่าวถึงความเป็นมาและตัวตนของเหลยอิง ว่าเป็นถึงจักรพรรดิอมตะสมญานามชนชั้นยอดฝีมือคนหนึ่ง ทั้งหมดก็อดไม่ได้ที่จะสูดลมหายใจเข้าด้วยความชื่นชม “ที่แท้แม่เฒ่าผู้นี้ ก็เป็นถึงจักรพรรดิอมตะสมญานามคนหนึ่งของวังเทียนฉือ!”
“โอทวยเทพ! นางก็คือจักรพรรดิอมตะไร้ใจ…ที่ขึ้นชื่อว่าโหดเหี้ยมดุดันเป็นที่สุด! ทุกครั้งที่รับหน้าที่ประธานในการทดสอบรับศิษย์ บททดสอบก็จะรุนแรงทั้งยากขึ้นหลายเท่าตัว จนผู้คนร่ำร้องหามารดากันเป็นแถบผู้นั้นน่ะหรือ!?”
“เหอๆ เจ้าหนูคนนั้นน่ะ…เจ้ากล่าวถูกแล้วไอ้หลาน! เมื่อหมื่นปีก่อนข้าก็คือคนที่มาทดสอบตอนนางรับหน้าที่ประธานพอดี และข้าบอกเลย…ว่าวันนั้นจำนวนศิษย์ที่ผ่านบททดสอบเข้าสู่วังเทียนฉือได้ มันน้อยกว่า 1 ใน 5 ของจำนวนศิษย์ที่จะผ่านบททดสอบเข้าวังเทียนฉือได้ตามปกติด้วยซ้ำ…”
“โอยยย! ไฉนหวยมาออกที่ข้าได้เล่า! ก่อนออกจากบ้านเมื่อ 5 ปีก่อน แม่เฒ่าก็ทักว่าข้ามีโชคจะได้รับเลือกแล้วนะ!!”
“มีโชคได้รับเลือก? เจ้าฟังผิดรึเปล่า…สภาพนี้ข้าว่าโชคเลือดแล้วล่ะ”
…
หลายคนที่ได้รับทราบเรื่องราวความเข้มงงวดของเหลยอิง และไม่มั่นใจในพลังฝีมือของตัวเองก็ร่ำร้องโอดครวญกันเป็นแถบ โดยเฉพาะบรรดาผู้อาวุโสที่มาส่งบุตรหลานในตระกูลที่บังเอิญมาทดสอบเข้าวังเทียนฉือเมื่อหมื่นปีก่อน ก็ได้แต่ให้กำลังใจบุตรหลานด้วยรอยยิ้มแหยๆ
“จ้าวตำหนักลองกระบี่ จักรพรรดิอมตะไร้ใจ เหลยอิง?”
ท่ามกลางฝูงชน ต้วนหลิงเทียนที่ยืนจับมือกับฮ่วนเอ๋ออยู่ พอได้ยินการแนะนำตัวของเหลยอิงกับเสียงฮือฮาของผู้คนโดยรอบ ก็หยีตาลงเล็กน้อย
เมื่อ 12 ปีก่อน ตอนที่เขามาถึงวังเทียนฉือครั้งแรก ก่อนที่จะมาชมดูที่ทางหน้าวัง เขาก็ได้หาข้อมูลและสอบถามเรื่องราวต่างๆที่เกี่ยวข้องกับวังเทียนฉือรวมถึง เรื่องราวการทดสอบรับศิษย์มาแล้ว ยังได้รู้ชื่อของเหล่าจักรพรรดิอมตะสมญานามทุกคนของวังเทียนฉือเรียบร้อย
ในวังเทียนฉือนั้น มีจักรพรรดิอมตะสมญานามอยู่ด้วยกันทั้งหมด 9 คน และเหลยอิงก็คือ 1 ใน 9 คนที่ว่า สมญานามของนางก็คือ ‘ไร้ใจ’ พลังฝีมือของนางนั้น ผู้คนกล่าวขานว่าร้ายกาจจนติดอยู่ใน 5 อันดับแรกของจักรพรรดิอมตะสมญานามทั้ง 9 แห่งวังเทียนฉือ
“ฮ่วนเอ๋อ พวกเรานับว่ามีโชคไม่เลวเลยจริงๆ…เพราะการทดสอบของพวกเรา เป็นจ้าวตำหนักลองกระบี่รับหน้าที่ควบคุมการทดสอบพอดี”
ต้วนหลิงเทียนหันไปกล่าวกับฮ่วนเอ๋อข้างกายด้วยรอยยิ้ม “ตราบใดที่เจ้าทำผลงานได้ดี เจ้าต้องได้รับความสนใจจากนางแน่!”
“กระทั่งหากนางคิดรับเจ้าเป็นศิษย์ส่วนตัวขึ้นมา ด้วยสถานะของนาง ต้องทำให้เจ้าเข้าถึงข้อมูลเกี่ยวกับบิดามารดาได้แน่ๆ!”
ถึงแม้ในปัจจุบันนฮ่วนเอ๋อจะไม่ได้สวมหมวกผ้าคลุมหน้า แต่เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาที่ไม่จำเป็น นางยังคงสวมผ้าปิดหน้าเอาไว้
เป็นธรรมดาว่าถึงนางจะสวมผ้าปิดหน้า แต่มันก็ปกปิดแค่ใบหน้าครึ่งล่างเท่านั้น ยากจะบดบังความงามของฮ่วนเอ๋อได้หมด แค่ดวงตาที่โผล่พ้นผ้าของนาง ก็เสมือนทำให้ผู้ที่แลเห็นต้องมนตร์แล้ว
เพียงแค่ยังไม่เพ้อหนักเกินจริงเหมือนตอนที่ไม่ได้สวมผ้าปิดหน้าเท่านั้น
ทันใดนั้นเอง จ้าวตำหนักลองกระบี่จักรพรรดิอมตะไร้ใจเหลยอิงแห่งวังเทียนฉือ ก็กล่าวออกมาอีกครั้งว่า “หลังจากนี้ข้าจักทำการจัดตั้งค่ายกลเพื่อตรวจสอบอายุของผู้ที่จักเข้าร่วมการทดสอบในพื้นที่ 3 ตารางลี้เบื้องหน้า…เมื่อถึงตอนนั้นหากยังมีผู้ใดอายุเกินพันปีอยู่ ก็อย่าหวังจะได้จากไปอีกเลย!”
พอกล่าวจบคำ สอตาเหลยอิงก็ฉายแววฆ่าฟันออกมาทันที
และเหลยพูดไม่ทันขาดคำ ผู้คนมากมายก็เร่งรุดเหินร่างออกไปกันจ้าละหวั่น และทั้งหมดก็เป็นคนที่มาส่งรุ่นเยาว์ของตัวเท่านั้น
พริบตาเดียว จากที่มีผู้คนแออัดอยู่หลายหมื่น ก็หลงเหลือเพียงแค่ 6,000 กว่าคนเท่านั้น
ไม่ใช่ว่าผู้ที่มาเข้าร่วมการทดสอบของวังเทียนฉือจะน้อย แต่เป็นเพราะทุกคนรู้ดีว่าบททดสอบเข้าวังเทียนฉือเข้มงวดมาก หากไม่ใช่คนที่มั่นใจในพลังฝีมือของตัวเองจริงๆ ส่วนใหญ่ก็ไม่คิดจะมาให้เสียเวลาแต่แรก
และ 6,000 คนที่เห็นกันหน้าสลอนอยู่ตอนนี้ หากเป็นการทดสอบปกติ ก็มักจะหลงเหลือคนอยู่ราวๆ 600 เศษเท่านั้น
แต่ทว่าผู้ที่รับหน้าที่เป็นคนควบคุมบททดสอบวันนี้กลับเป็นจ้าวตำหนักลองกระบี่อย่างเหลยอิง เช่นนั้นขอแค่มีผู้คนหลงเหลืออยู่สักร้อย ก็ถือว่าไม่เลวแล้ว!
ฟุ่บ!
ฟุ่บ!
…
ท่ามกลางสายตาทุกผู้คน เหลยอิงพลันสะบัดมือ ซัดจานค่ายกลออกไปยังทิศทางต่างๆ จากนั้นจานค่ายกลก็เริ่มต้นการทำงานแผ่พลังอาคมออกมาปกคลุมพื้นที่ 3 ตารางลี้เบื้องหน้านางเอาไว้
อย่างไรก็ตามหลังพื้นที่ 3 ตารางลี้ถูกพลังอาคมจากจานค่ายกลปกคลุมแล้ว ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น เห็นชัดว่าไม่มีผู้ใดคิดจะตีเนียนเข้าร่วมการทดสอบทั้งๆที่อายุเกิน 1,000 ปี!
เห็นดังนั้น เหลยอิงก็สะบัดมือเรียกเก้บจานค่ายกลกลับมา ก่อนที่จะกวาดตามองไปยังคนทั้ง 6,000 เบื้องหน้าอีกครั้ง
“เอาล่ะ จากนี้ไปให้พวกเจ้าจัดกลุ่มตามช่วงอายุ…ผู้ที่มีอายุน้อยกว่า 100 ปีไปยืนด้านซ้ายสุด…ถัดมาตรงนั้น สำหรับผู้ที่มีอายุระหว่าง 100-200 ปี..ฯลฯ.”
“ส่วนผู้ที่มีอายุ 900-1,000 ปีไปยืนรวมกันตรงนั้นเสีย…”
เหลยอิงกล่าวออกมาอีกครั้ง ก็เป็นการแบ่งผู้คนที่เหลืออยู่ราวๆ 6,000 คนออกเป็น 10 กลุ่ม ตามช่วงอายุของแต่ละคน
ต้วนหลิงเทียนกับคนอื่นๆก็เริ่มเคลื่อนไหวไปยังพื้นที่ดังกล่าวทันที
ตอนนี้ฮ่วนเอ๋อเองก็อายุเกิน 200 ปีแล้ว ดังนั้นนางจึงอยู่กลุ่มเดียวกับต้วนหลิงเทียน เป็นพื้นที่ๆมีไว้สำหรับคนที่จะเข้าร่วมการทดสอบช่วงอายุ 200-300 ปี
ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ!
…
คนกว่า 6,000 บ้างเร่งรุดไปตามพื้นที่ตามช่วงอายุของตัวทันที เสียงแหวกสายลมจากการเคลื่อนที่ดังขึ้นฟุ่บฟั่บๆ ไม่นานนักก็แบ่งออกเป็น 10 กลุ่มเรียบร้อย แน่นอนว่าแต่ละกลุ่มก็มีจำนวนคนไม่เท่ากัน กลุ่มที่มีคนไปยืนอออยู่มากที่สุดก็จะเป็นพื้นที่สำหรับผู้ที่มีช่วงอายุไม่เกินร้อยปี พื้นที่ๆมีคนไปยืนอยู่น้อยสุดก็คือช่วงอายุ 900-1,000 ปี
‘ดูเหมือนผู้คนส่วนใหญ่ จะอยากเข้าร่วมวังเทียนฉือตั้งแต่ยังเยาว์’
เห็นสิ่งนี้ต้วนหลิงเทียนก็ไม่ได้แปลกใจอะไร
ได้รับการปลูกฝังจากวังเทียนฉือตั้งแต่อายุไม่ถึงร้อย กับได้รับการปลูกฝังจากวังเทียนฉือตอนอายุเกือบพัน มันเป็นสองเรื่องที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง!