WSSTH ตอนที่ 3,269 : ได้รับตำแหน่งศิษย์อัจฉริยะ
“อวดดี!”
วาจาสวนกลับของต้วนหลิงเทียน นับว่าทำให้หวงลู่หนานหัวร้อนขึ้นมาทันที ทั่วร่างของมันปรากฏเพลิงพลังลุกโชนไปทั่ว คล้ายคนถูกไฟคลอกก็ไม่ปาน!
กฏที่หวงลู่หนานเชี่ยวชาญคือกฏแห่งไฟ
นอกจากนั้นด่านพลังของหวงลู่หนานก็บรรลุถึงจอมราชันอมตะ 6 ผสานแล้ว ยังสามารถเข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งไฟถึงขั้นตอนความสำเร็จยิ่งใหญ่ได้ 5 ประการอีกด้วย ด้วยเหตุนี้มันจึงรู้สึกว่าสิ่งที่ต้วนหลิงเทียนทำในการทดสอบคัดเลือกศิษย์ ตัวมันเองก็สามารถทำได้ง่ายๆ
“ต้วนหลิงเทียน วันนี้ข้าจะให้เจ้าสำนึก ว่าความน่าเกรงขามของศิษย์อัจฉริยะเป็นเช่นไร และมิใช่อะไรที่คนอย่างเจ้าสามารถล่วงเกินได้!!”
ขณะที่หวงลู่หนานตะโกนออกมาเสียงเย็น คนก็คล้ายกลับกลายเป็นลูกไฟ พุ่งตัดอากาศไปฉับไว ทิ้งถนนเปลวเพลิงเอาไว้เบื้องหลัง! เหล่าศิษย์วังเทียนฉือที่มาชมดูเรื่องราวทั้งหลาย ก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายร้อนลวกอันร้ายกาจของหวงลู่หนานชัดเจน!!
“หวงลู่หนานแม้จะเป็นอันดับที่ 10 ของศิษย์อัจฉริยะช่วงอายุ 200-300 ปี แต่พลังฝีมือของมันมิได้ด้อยไปกว่าคนอันดับกลางๆเลย!”
“ต้องเป็นเช่นนั้นอยู่แล้ว…พวกเจ้าอย่าได้ลืมไปว่าหวงลู่หนานไม่ใช่อยู่อันดับที่ 10 ตลอด แต่ปกติมันมักจะไต่ขึ้นไปถึงอันดับที่ 6! แค่มันปิดด่านบ่มเพาะนานไป จนถูกถอดถอนสถานะเท่านั้น”
“หวงลู่หนานช่างแข็งแกร่งจริงๆ เจ้านั่นคิดจะชิงตำแหน่งศิษย์อัจฉริยะ เห็นทีคงจะยากแล้ว…”
…
เมื่อเห็นการลงมือของหวงลู่หนาน ศิษย์วังเทียนฉือก็จ้อกันดังระงม
อย่างไรก็ตาม พริบตาต่อมาใบหน้าพวกมันก็ชะงักค้างเติ่งไปเสียอย่างนั้น
กึงงง! ฟู่มมม!!
เพราะท่ามกลางสายตาของทุกคนนั้น หวงลู่หนานที่ห้อเหยียดเข้าใส่ต้วนหลิงเทียนด้วยพลังสภาวะแกร่งกร้าว คล้ายพุ่งชนอะไรบางอย่างที่มองไม่เห็น! ร่างคนทั้งคนพลันงชะงักค้างไปกลางหาวตัวสั่นไปเบาๆ ราวกับมันจะฝ่าไปเบื้องหน้าแต่ทำไม่ได้!!
หลังจากนั้นมันก็คิดจะล่าถอยไปทางอื่น แต่จะไปทางไหนก็ติดแหง็ก ไร้หนทาง
“เหอะ! คิดว่าความลึกซึ้งกักกันของเจ้าจะขังข้าเอาไว้ได้ตลอดรึไร!?”
หวงลู่หนานต้วนหลิงเทียนที่อยู่ไกลๆ แค่นยิ้มหน้าเย็น เห็นได้ชัดว่ามันเองก็รู้ว่าต้วนหลิงเทียนใช้ความลึกซึ้งกักกันของกฏมิติเพื่อสร้างกรงมิติกักขังร่างมันกลางอากาศ
ปง! บรึม! บรึม! บรึม! บรึม!
…
เสียงปะทุระเบิดดังขึ้นสนั่นหวั่นไหวไม่หยุด เพลิงพลังเกรี้ยวกราดอานุภาพไม่ใช่ชั่วปะทุพวยพุ่งออกจากร่างหวงลู่หนาน โถมถล่มเข้าใส่อากาศว่างเปล่ารอบกายราวมรสุมคลั่ง!
ท่ามกลางทุกสายตา หลังพลังเพลิงของหวงลู่หนานถูกปลดปล่อยสาดโถมออกไปโดยยรอบ ทุกคนก็เริ่มแลเห็นแล้วว่าหวงลู่หนานถูกกักขังอยู่ในกรงลูกบาศน์หนึ่ง และเพลิงที่เคี่ยวกรำพื้นที่ผิวของกรงลูกบาศก์ดังกล่าว ก็ปั่นป่วนอยู่ตลอดเวลา ราวกับจะปะทุระเบิดได้ทุกเมื่อ
“ให้ตายเถอะ กรงมิติของต้วนหลิงเทียน สามารถต้านทานการโจมตีของหวงลู่หนานได้นานขนาดนี้เชียวหรือ?”
“ไม่แปลกใจเลยที่ไฉนต้วนหลิงเทียนถึงได้หาญกล้าท้าทายตำแหน่งศิษย์อัจฉริยะทันที ที่แท้มันมีพู่กันสองด้ามจริงๆ”
(พู่กันสองด้าม = มีความสามารถมากกว่าที่คิด)
“อย่างไรก็ตาม ข้าดูทรงแล้ว หวงลู่หนานคิดจะทำลายกรงมิตินั่นก็ไม่นับว่ายากเย็นมากมายอะไร ขึ้นอยู่กับเวลาเท่านั้น…”
…
ในขณะที่มีบางคนกล่าวเรื่องนี้ออกมา หวงลู่หนานก็สามารถหลุดพ้นออกจากกรงมิติของต้วนหลิงเทียนได้พอดี ใบหน้ามันเริ่มฉาบไว้ด้วยรอยยิ้มย่ามใจอีกครั้ง
อย่างไรก็ตาม ยิ้มย่ามใจของมันคงอยู่ได้ไม่ทันไร ก็ชะงักค้างแข็งเติ่งไปอีกรอบ
เพราะบัดนี้มันพบว่าต้วนหลิงเทียนที่เคยอยู่เบื้องหน้า ได้อันตรธานหายไปแล้ว! สีหน้ามันเปลี่ยนไปเร็วไว เพลิงพลังทั่วร่างพลันลุกโหมขึ้นมาอยย่างร้อนแรงาปานจะแผดเผาทุกสรรพสิ่ง จากนั้นก็แผ่พุ่งออกไปด้านหลังดั่งไฟลามทุ่ง
เพลิงที่แผ่ขยายลุกลามว่องไวดังกล่าว พริบตาก็ม้วนวนรวมก่อเกิดเป็นมังกรไฟตัวใหญ่ เข่นฆ่าทำลายออกไปด้วสภาวะพลังเกรี้ยวกราด!
ทำราวกับด้านหลังของมันมีศัตรูชั่วชีวิตของมังกรไฟดำรงอยู่
“นี่เต็มที่ เจ้าได้แค่นี้รึ?”
ท่ามกลางสายตาของทุกคน ร่างต้วนหลิงเทียนที่ใช้เคลื่อนมิติวูบมาปรากฏตัวเบื้องหลังหวงลู่หนาน เพียงยกมือขึ้นสะบัดตบออกไปส่งๆปานโบกปัดแมลงวัน หากแต่พลังมิติอันน่าพรั่นพรึงสีเทาขุมหนึ่ง ได้ม้วนกลืนมังกรไฟตัวเขื่องของหวงลู่หนานหายไปในหนึ่งคำ!
ปงงงง!!
หลังมังกรไฟถูกพลังมิติโถมถล่มจนพินาศ เสียงระเบิดหนึ่งก็ดังขึ้นถนัดถนี่ เป็นหวงลู่หนานถูกพลังฝ่ามือที่หลงเหลืออยู่ของต้วนหลิงเทียนซัดกระแทกเข้ากลางหลังจากจัง คนกระเด็นปลิวถลาไปเบื้องหน้าด้วยท่าทางน่าขบขัน ราวจะแอ่นพุงพุ่งปะทะ!
อ่างไรเสียภาพน่าหัวร่อเพียงปรากฏไม่นาน คนก็ขืนร่างให้หยุดลงกลางหาวได้สำเร็จ แต่ทว่าต้วนหลิงเทียนก็วูบร่างข้ามมิติมาปรากฏตัวเบื้องหน้ามันตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่ทราบ!
ผัวะ!!
ขาขวาสะบัดไปฉับไวปานแส้ เตะซัดเข้าปลายคางของหวงลู่หนานเต็มข้อ จนคนหน้าหงายร่างลอยโด่งไปราวลูกบอล
ตูมมม!!
เสียงดังถนัดถนี่ดังขึ้นอีกครั้ง เป็นต้วนหลิงเทียนที่เคลื่อนย้ายข้ามมิติมาปรากฏกายเหนือฟ้า ก่อนจะตอกส้นลงกลางกระหม่อมหวงลู่หนาน จนคนม้วนลังกากลางหาวร่วงฟ้าไปอยู่หลายรอบ!
ปง! ตูม! ผัวะ! ตูม!!
…
ไม่ว่าหวงลู่หนานจะพยายามเพียงใด แต่สุดท้ายหลังจากที่เห็นต้วนหลิงเทียนวูบร่างมาเตะเสยปลายคางมันจนลอยโด่งครั้งแรกแล้ว ไม่เพียงมันจะไม่เห็นตัวต้วนหลิงเทียนอีกเลย กระทั่งพลังที่เร่งเร้าคิดแข็งขืนร่างเพื่อตั้งหลัก ก็ไม่อาจใช้ออก! เนื่องเพราะทุกการโจมตีของต้วนหลิงเทียน ได้แผ่พุ่งพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดเข้ามาทำลายพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดในร่างของมันเสมอ!!
ความเร็วในการรวมรั้งพลังใช้ออกของต้วนหลิงเทียน มันรวดเร็วสุดที่หวงลู่หนานจะเทียบได้จริงๆ ทำให้มันรู้สึกอับจนหนทาง ด้วยไม่รู้จะทำอย่างไรอยู่บ้าง
‘ไฉนเป็นเช่นนี้ไปได้!?’
หัวใจหวงลู่หนานร่ำร้องไปด้วยความไม่ยินยอมแล้ว
เกรงว่ากระทั่งหลับมันก็คงไม่อาจฝันถึง ว่าต้วนหลิงเทียนมีชีพจรสวรรค์ 99 จุดสาย เช่นนั้นความเร็วในการโคจรรวมรั้งพลัง ย่อมเหนือล้ำสุดที่ตัวมันจะต้านทานเทียบติด และให้มองทั่วระนาบเทวโลก ในขอบเขตพลังเดียวกัน เกรงว่าจะมีแต่คนที่มีชีพจรสวรรค์ 99 จุดสายเหมือนต้วนหลิงเทียนเท่านั้น ที่มีความเร็วในการรวมรั้งพลังพอจะเทียบกับต้วนหลิงเทียนได้
“เอ่อ…ไฉนเรื่องราวกลายเป็นเช่นนี้ไปได้เล่า?”
“บ้าไปแล้ว นี่หวงลู่หนานมันถึงกับโดนต้วนหลิงเทียนเตะจนไม่อาจลงมือตอบโต้ได้เลยเหรอ?”
“ไม่น่าจะเป็นเช่นนั้นไปได้…มันจะไม่มีพลังต่อต้านได้อย่างไร? หรือมันอ่อยให้ต้วนหลิงเทียน?”
“อ่อยอะไร? เช่นนี้ข้าว่าล้มมวยแล้ว!!”
…
เหล่าศิษย์วังเทียนฉือที่ชมดูเรื่องราวอยู่รอบๆ ย่อมไม่อาจเข้าใจสถานการณ์ในร่างของหวงลู่หนานตอนนี้ ในสายตาของพวกมันจึงไม่ต่างอะไรกับหวงลู่หนานจงใจอ่อนข้อให้ต้วนหลิงเทียน
“ช้าก่อน! หากมันจงใจอ่อนข้อให้ต้วนหลิงเทียนได้ชัยจริงๆ มิสู้มันยอมแพ้หรือเลือกจะปฏิเสธรับคำท้าโดยอ้างว่าปิดด่านอะไรแต่แรกไม่ดีกว่าหรือ?”
“นั่นน่ะสิ หากพวกมันมีข้อตกลงล้มมวยกันจริง ไฉนไม่ทำให้ดีกว่านี้ จะมายอมทนรับบาทาไร้เงาให้อับอายขายหน้าผู้คนเช่นนั้นทำอะไร?”
…
สารรูปหวงลู่หนานที่ถูกต้วนหลิงเทียนอัดจนกระเด้งไปกระเด้งมา ถึงขั้นไม่อาจเห็นตัวคนลงมือได้เลย มันน่าอับอายเกินไป หลายคนยังอดส่ายหน้าไม่ได้ เพราะหากเป็นพวกมัน ป่านนี้คงรีบยอมแพ้ไปนานแล้ว
“ฮ่าๆๆๆๆ….!!”
หงเฟยระเบิดเสียงหัวเราะออกมาดังร่า สองตาที่หยี่จนแทบปิดของมันมองจ้องไปยังหลิวเจี้ยนที่อยู่ไม่ไกล พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงเยาะเย้ยถึงขีดสุด “อั้ยหยา ซี้เลี้ยวอ่า! หลิวเจี้ยนเอย…ศิษย์น้องของเจ้าผู้นี้เจ้าสังสอนมาอย่างไร? ทีหลังไม่ไหวอย่าได้บอกไหวเล่า! จึกๆๆ อ่อนหัดเสียจนโดนเตะเด้งไปเด้งมาเช่นนี้ ทำให้ศิษย์น้องข้าดูเป็นคนร้ายชอบทารุณกรรมผู้คนไปเลย แย่ๆ…”
“ข้าว่าวันหน้าอย่าได้เรียกหามันว่าหวงลู่หนานอีกเลย มิสู้เรียกมันว่า ‘หวงเสี่ยวเฉียง’ เป็นไร? เพราะมันแลดูมันมีพลังชีวิตเหลือล้นทนมือทนตีนผู้คนดียิ่ง!”
(เสี่ยวเฉียง = แมลงสาบ)
ตอนนี้หงเฟยเสมือนวายร้ายไม่มีผิด
ด้านหลิวเจี้ยนพอได้ยินเสียงถล่มเย้ยเยาะของหงเฟย สีหน้ามันก็มืดดำจนแทบจะคั้นได้เป็นหยดน้ำหมึก และเมื่อเห็นว่าหวงลู่หนานยังคงโดนต้วนหลิงเทียนเตะอัดเด้งไปเด้งมาไม่หยุด หน้ามันก็คล้ายจะทาทับไปด้วยหมึกแล้วจริงๆ สุดท้ายก็ตะโกนออกมาอย่างอดรนทนไม่ไหว “พอได้แล้ว!!”
อย่างไรก็ตาม ไม่มีใครสนใจมันสักคน…
ในเมื่อหวงลู่หนานยังไม่เอ่ยคำยอมแพ้ เช่นนั้นต้วนหลิงเทียนก็เลือกจะเตะ ‘นวด’ มันไปเรื่อยๆ
อันที่จริงไม่ใช่ว่าต้วนหลิงเทียนตั้งใจจะทรมาณหวงลู่หนานแบบนี้ แต่ทว่าเนิ่นนานมาแล้วที่เขาไม่ได้ออกเรี่ยวออกแรง เพราะหลังๆมาเขาก็ได้แต่ปิดด่านฝึกฝน ไม่ได้ออกแรงลงมืออะไรเลย พอมีโอกาสได้ลงมือทั้งที ก็เสมือนเด็กน้อยพึ่งหัดพูด พอพูดได้ก็จ้อไม่หยุด…
‘สะใจจริงๆ’
ตอนนี้ต้วนหลิงเทียนรู้สึกสดชื่นทั้งกระชุ่มกระชวยนัก เรียกว่าได้ยืดเส้นยืดสายอีกครั้งในรอบหลายปี เช่นนั้นเขาจึงไม่ได้ลงมือทำร้ายหวงลู่หนานอะไรมากมาย เพียงควบคุมใช้พลังอย่างแยบคาย ทำให้หวงลู่หนานได้รับบาดเจ็บแค่เล็กน้อยเท่านั้น
เรียกว่าตั้งแต่เข้าใจความลึกซึ้งของกฏมิติถึงขั้นตอความสำเร็จยิ่งใหญ่ทั้งหมด เขาก็ไม่เคยได้ลงมือลงไม้แบบนี้เลย ย่อมทำให้เขารู้สึกสดชื่นทั้งปลอดโปร่งจริงๆ
อย่างไรก็ตามเมื่อเทียบกับความสดชื่นทั้งกระชุ่มกระชวยของต้วนหลิงเทียน ด้านหวงลู่หนานนั้นรู้สึกเสมือนตัวติดแหง็กอยู่ในช่องแคบก็ไม่ปาน…
หากมันโดนต้วนหลิงเทียนซัดจนบาดเจ็บมาก ป่านนี้มันยอมแพ้ไปแล้ว
แต่เพราะมันพบว่าทุกครั้งที่ต้วนหลิงเทียนอัดมัน ก็เพียงส่งพลังที่เหนือชั้นกว่ามาทำลายสลายพลังที่มันพึ่งรวมรั้งเท่านั้น ทำให้มันแค่รู้สึกเจ็บปวดขึ้นมาจี๊ดหนึ่ง แต่ไม่ได้บาดเจ็บร้ายแรงอะไร มันจึงไม่ได้โพล่งคำยอมแพ้ออกมา
ตอนนี้มันถูกต้วนหลิงเทียนกดดันและครอบงำโดยสมบูรณ์
ในใจของมันแน่นอนว่าอยากพลิกสถานการณ์อย่างยิ่งยวด และขอแค่มันได้มีโอกาสลงมือสู้กับต้วนหลิงเทียนตรงๆอีกสักครั้ง มันจะลงมือเต็มกำลัง หากพบว่าสู้ไม่ได้จริงๆ มันถึงจะกล่าวยอมแพ้ได้อย่างเต็มปาก
อนิจจาหลังผ่านไปอยู่นาน ยิ่งมาการควบคุมพลังของต้วนหลิงเทียนก็ยิ่งแยบคายมากขึ้น หวงลู่หนานรู้สึกสิ้นหวังโดยสมบูรณ์ กอปรกับหลิวเจี้ยนส่งเสียงผ่านพลังมาบอกให้มันยอมแพ้ไม่หยุด มันก็ได้แต่กล่าวยอมรับความพ่ายแพ้ออกมาเท่านั้น “ข้ายอมแพ้!”
“อะไร? แค่นี้ก็ยอมแพ้แล้ว?”
พอเห็นหวงลู่หนานกล่าวยอมแพ้ออกมา ต้วนหลิงเทียนก็ขมวดคิ้วด้วยความเสียดายอยู่บ้าง
“ต้วนหลิงเทียน นับตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไป เจ้าก็คือศิษย์อัจฉริยะในช่วงอายุ 200-300 ปี อันดับที่ 10!”
อาวุโสตำหนักลองกระบี่ยกมือขึ้นโบกเบาๆ ป้ายประจำตัวศิษย์อัจฉริยะก็ลอยมาหยยุดเบื้องหน้าต้วนหลิงเทียน จากนั้นก็กล่าวประกาศออกมาอย่างเป็นนทางการ
พอกล่าวจบคำ มันก็เตือนให้ต้วนหลิงเทียนหยดเลือดเพื่อให้ป้ายยอมรับนายใหม่
“เอาล่ะ”
ต้วนหลิงเทียนรับคำเบาๆ จากนั้นก็จิกนิ้วหลั่งเลือดหยดหนึ่ง สร้างพันธะโลหิตครองป้ายเรียบร้อย
เหล่าศิษย์วังเทียนฉือโดยรอบก็ไม่ได้แลดูแปลกใจอะไรกับผลลัพธ์เบื้องหน้าอีกต่อไป เพราะตั้งแต่ที่มันเห็นต้วนหลิงเทียนอัดหวงลู่หนานอยู่ฝ่ายเดียว พวกมันก็เดาผลลัพธ์นี้ได้ออกแต่แรก
เมื่อจบเรื่องราวแล้ว ผู้อาวุโสตำหนักลองกระบี่ก็เตรียมตัวจะเหินร่างกลับ
เป็นธรรมด่าวาก่อนที่มันจะกลับ มันก็ไม่ลืมหันไปประสานมืออำลาเหลยจวิ้นรวมถึงฮ่วนเอ๋อก่อน เพราะอย่างไรเสียทั้งคู่ก็คือศิษย์ของ เหลยอิง จ้าวตำหนักลองกระบี่ของมัน กระทั่งเหลยจวิ้นยังเป็นลูกชายคนเดียวของนาง เรียกว่าเป็นนายน้อยของพวกมันก็ว่าได้
“อาวุโส!”
อย่างไรก็ตามในขณะที่ผู้อาวุโสกำลังจะเหินร่างจากไป ต้วนหลิงเทียนที่ฉุกคิดอะไรขึ้นได้ออก ก็กล่าวรั้งตัวอีกฝ่ายเอาไว้เสียก่อน
“หืม?”
ด้วยรู้ว่าต้วนหลิงเทียนสนิทสนมกับฮ่วนเอ๋อ อาวุโสตำหนักลองกระบี่จึงปฏิบัติต่อต้วนหลิงเทียนด้วยความสุภาพเช่นกัน “ต้วนหลิงเทียน เจ้ามีอะไรงั้นหรือ?”
“อาวุโส หลังข้าได้ป้ายประจำตัวศิษย์อัจฉริยะช่วงอายุ 200-300 ปีของหวงลู่หนานมา และกลายเป็นศิษย์อัจฉริยะคนใหม่ อันดับที่ 10 แล้ว…เช่นนั้นหากตอนนี้ข้าคิดจะท้าทายศิษย์อัจฉริยะในช่วงอายุ 200-300 ปีคนอื่นเล่า ข้าสามารถท้าทายอันดับที่สูงกว่าได้ตามใจหรือไม่ หรือต้องท้าทายไต่อันดับไล่ขึ้นไปเรื่อยๆ?”
ต้วนหลิงเทียนเอ่ยถาม
“หากเจ้าคิดจะท้าทายชิงอันดับที่สูงขึ้น เจ้าไม่อาจท้าทาย 3 อันดับแรกได้ สามารถท้าทายได้แต่ผู้ที่ไม่ใช่ 3 อันดับแรกเท่านั้น…แม้แต่คนที่อยู่ในอันดับที่ 5 ก็ไม่อาจท้าทาย 3 อันดับแรกโดยตรงได้…”
อาวุโสตำหนักลองกระบี่กล่าวตอบ “ตอนนี้ในบรรดาศิษย์อัจฉริยะช่วงอายุ 200-300 ปี เต็มที่เจ้าก็ท้าทายได้แค่อันดับที่ 4 เท่านั้น”
“จนเมื่อเจ้าเอาชนะอันดับที่ 4 ได้แล้ว เจ้าถึงจะมีสิทธิ์ท้าทายอันดับที่ 3…นอกเหนือจากวิธีนี้เจ้าไม่อาจท้าทายอันดับที่ 3 ได้อีก”
อาวุโสตำหนักลองกระบี่กล่าวตอบชัดถ้อยชัดคำ
“ไม่มีทางอื่นอีกแล้วหรือ?”
ต้วนหลิงเทียนขมวดคิ้วเล็กน้อย เขาคร้านจะท้าทายและรอต่อสู้กับคนหลายๆคนเพื่อคว้าอันดับ 1 ในช่วงอายุ 200-300 ปี เขาอยากจะท้าสู้แล้วเอาชนะไต่ให้ถึงอันดับ 1 เร็วๆ
เพราะมีเพียงแต่เป็นอัจฉริยะอันดับ 1 ในรุ่นเท่านั้น ฐานะของเขาในวังเทียนฉือถึงจะสูงขึ้นทันตาเห็น
ถึงตอนนั้น คิดจะช่วยหาเบาะแสบิดามารดาฮ่วนเอ๋อ ต้องสะดวกกว่าแน่
“อะไร? ต้วนหลิงเทียน นี่เจ้าคิดจะท้าชิง 3 อันดับแรกเช่นนั้นรึ?”
หลิวเจี้ยนที่กำลังจะเหินร่างจากไปพร้อมหวงลู่หนาน เผยรอยยิ้มเยียบเย็นออกมาทันทีหลังได้ยินต้วนหลิงเทียนถามเรื่องดังกล่าวจากอาวุโสตำหนักลองกระบี่ “โดยปกติแล้ว อยู่ๆเจ้าคิดจะท้าทาย 3 อันดับแรกเลย มันย่อมเป็นไปไม่ได้ตามธรรมชาติ….”
“แต่เจ้าสามารถท้าข้าได้! จากนั้นถ้าเจ้าสู้เอาชนะข้าได้ อย่าว่าแต่ศิษย์อัจฉริยะ 3 อันดับแรกของช่วงอายุเจ้าเลย ต่อให้เจ้าคิดท้าทายอันดับที่ 1 ทันที เจ้าก็ทำได้!”
พอหลิวเจี้ยนกล่าวจบคำ มุมปากมันก็ยกยิ้มแสยะราวกับจะประชดประชันออกมา