WSSTH ตอนที่ 3,293 : ร้อยเปลี่ยน ไม่ดับสูญ
หลังฟังวารีเทพชำระโลกาพูดจบคำ ต้วนหลิงเทียนก็หันไปกล่าวบอกวิธีออกจากสถานที่แห่งนี้กับเมิ่งห่าวซวน ว่าระหว่างเขากับอีกฝ่าย ต้องมีใครคนใดคนหนึ่งเข้าไปหลบอยู่ในโลกใบเล็กของอีกคน เพื่อให้มีคนอยู่ในพื้นที่แห่งนี้แค่คนเดียวตามเงื่อนไขของด่านทดสอบ
“ต้วนหลิงเทียน ท่านเข้ามาในโลกใบเล็กของข้าเถอะ”
และไม่ทันที่ต้วนหลิงเทียนจะพูดถึงเรื่องนี้ เมิ่งห่าวซวนที่รู้สถานการณ์ดี ก็เป็นฝ่ายชวนให้ต้วนหลิงเทียนเข้าสู่โลกใบเล็กของตัวเองก่อนทันที
เพราะในสายตาของมัน หากต้วนหลิงเทียนต้องการ อีกฝ่ายสามารถฆ่ามันเพื่อออกจากที่นี่ง่ายๆ!
ตอนนี้ในเมื่อต้วนหลิงเทียนเสนอทางออกที่มันไม่ต้องตายออกมา มันย่อมรีบชวนให้ต้วนหลิงเทียนเข้าโลกใบเล็กของตัวเองอย่างรู้งานทันที
ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องที่ตัวมันอ่อนแอกว่าและไร้หนทางเลือกอื่น
แค่พิจารณาสถานการณ์ในปัจจุบัน ต้วนหลิงเทียนนั้น ไม่มีความจำเป็นที่จะลอบทำร้ายมันอย่างทำลายโลกใบเล็กของมันเลย เพราะอีกฝ่ายสามารถฆ่ามันตอนไหนก็ได้อยู่แล้ว…
ในเมื่อต้วนหลิงเทียนสามารถฆ่ามันได้ตามอำเภอใจ เช่นนั้นยังต้องรอให้เข้าไปในโลกใบเล็กของมัน เพื่อก่อการให้มันบาดเจ็บแล้วค่อยลงมือทำไม? นั่นไยไม่เป็นการวุ่นวายเกินจำเป็น?
“ได้”
ในเมื่อเมิ่งห่าวซวนรู้งาน ต้วนหลิงเทียนก็ไม่ต้องเปลืองน้ำลาย จากนั้นเขาก็ปล่อยตัวไม่ต่อต้าน ให้เมิ่งห่าวซวนใช้พลังดูดรั้งร่างเขาวูบเข้าไปในโลกใบเล็กของมันทันที
โลกใบเล็กของเมิ่งห่าวซวนนั้นเป็นดินแดนว่างเปล่ารกร้าง พลังวิญญาณฟ้าดินในนี้ก็เบาบางเหมือนสถานที่ทั่วไปในระนาบเทวโลก
ยังเบาบางกว่าในเมืองใหญ่เสียอีก
“ช่างน่าทึ่งนัก”
ทันทีที่ต้วนหลิงเทียนเข้าสู่โลกใบเล็กของเมิ่งห่าวซวน เพื่อปกปิดกลิ่นอายของตัวเอง เขาก็ได้ยินเสียงของเมิ่งห่าวซวนดังขึ้นพอดี “เกิดอะไรขึ้นงั้นรึ?”
ในเมื่อตอนนี้ต้วนหลิงเทียนกำลังซ่อนตัวเพื่อให้ลบกลิ่นอายของเขาออกจากพื้นที่ด้านนอกโดยสมบูรณ์ เช่นนั้นเขาจึงไม่กล้าแผ่สำนึกเทวะออกไปตรวจสอบเรื่องราวอะไรด้านนอก ทำให้ไม่อาจรับรู้สถานการณ์ด้านนอกได้เลย ได้แต่เอ่ยถามออกมาแบบนี้
“ก็หลังจากที่ท่านเข้าสู่โลกใบเล็กข้าได้ไม่ทันไร ฉากเรื่องราวโดยรอบมันก็เปลี่ยนแปลงไปไปทันที…และตอนนี้ดูเหมือนพวกเราจะออกมาได้แล้วล่ะ…”
เมิ่งห่าวซวนกล่าวด้วยน้ำเสียงยินดี
“ออกมาได้แล้วรึ?”
ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนเอ่ออกมาด้วยความสงสัย เมิ่งห่าวซวนศัยหนึ่งห้วงคิดก็นำต้วนหลิงเทียนออกมาจากโลกใบเล็กทันที
ถึงแม้ต้วนหลิงเทียนจะสามารถออกมาเองโดยไม่ต้องรอเมิ่งห่าวซวน แต่ถ้าทำแบบนั้นจะมากจะน้อยก็ไม่พ้นต้องทำให้เมิ่งห่าวซวนบาดเจ็บ
“ต้วนหลิงเทียน ขอบคุณท่านมาก”
หลังนำต้วนหลิงเทียนออกมาจากโลกใบเล็กแล้ว เมิ่งห่าวซวนก็ประสานมือกล่าวขอบคุณด้วยน้ำเสียงจริงจังก่อนใดอื่น
ด้านต้วนหลิงเทียนที่พึ่งออกมาก็หันมองสำรวจที่ทางรอบๆทันที จึงพบว่าตอนนี้เขาสมควรออกจากแดนลับย่อยของสถานที่ทดสอบแล้ว
“ในแดนลับย่อยเมื่อครู่…ไม่ทราบพี่เมิ่งได้ผลลัพธ์เป็นเช่นไรบ้าง”
ต้วนหลิงเทียนหันไปมองถามเมิ่งห่าวซวนด้วยความสงสัย
สำหรับเขาผลสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในแดนลับย่อย ก็คือการหลอมสารัตถะของต้นไม้เทพสนหลิวไปได้ 3 ส่วน สำหรับอีก 7 ส่วนที่เหลือก็จำต้องไปหาด่านทดสอบอื่นๆเพื่อเสริมความเร็วในการหลอม
“ก็พอได้อยู่”
เมิ่งห่าวซวนพยักหน้าด้วยรอยยิ้มบางๆ “อย่างน้อยๆด่านพลังของข้าก็มั่นคงมากขึ้น กล่าวไปยังมีความก้าวหน้าเล็กน้อย…สำหรับความเข้าใจในกฏก็เหมือนจักดีขึ้นพอสมควรเลยทีเดียว แน่นอนว่าคงมิอาจเทียบเจ้าได้กระมัง?”
กล่าวถึงท้ายประโยคเมิ่งห่าวซวนก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่พลางส่ายหัว
ชายหนุ่มชุดม่วงเบื้องหน้ามัน ถึงแม้ด่านพลังฝึกปรือจะด้อยกว่ามัน แต่อีกฝ่ายได้เข้าใจความลึกซึ้งของกฏถึงขั้นตอนความสำเร็จยิ่งใหญ่หมดสิ้นแล้ว เรื่องของเรื่องก็คือกฏที่อีกฝ่ายเชี่ยวชาญคือกฏมิติ! 1 ใน 4 กฏสูงสุดที่ยากจะเข้าใจอีกด้วย!!
“อ่า”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้ารับอย่างขอไปทีด้วยรอยยิ้มเฉยเมย “เช่นนั้นจากนี้ท่านก็ถนอมตัวด้วย หวังว่าวันหน้าจะมีโอกาสได้พบกันใหม่”
“เช่นกัน!”
เมิ่งห่าวซวนพยักหน้า มันเองก็รู้ว่างานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกรา ถึงส่งกันพันลี้สุดท้ายก็ต้องจาก “วันหน้าหากมีเวลาข้าจักไปร่ำสุราสนทนากับท่านถึงวังเทียนฉือที่อู๋หยาเทียนแน่…และหากท่านมีเวลาว่างก็แวะมาหาข้าที่ขุนเขากระบี่ฟ้าได้ทุกเวลา!”
“นี่คือลูกแก้ววิญญาณของข้า”
ก่อนแยกกัน เมิ่งห่าวซวนก็แลกเปลี่ยนลูกแก้ววิญญาณกับต้วนหลิงเทียน จากนั้นก็แยกย้ายกันไปคนละทาง
หลังใช้เคลื่อนมิติเต็มกำลังไปสองสามรอบจนมาโผล่ที่ไหนสักแห่ง ต้วนหลิงเทียนก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ ‘ดูเหมือนต้องพยายามหาด่านทดสอบอื่นอีก…ตอนนี้พึ่งจะหลอมสารัตถะของต้นไม้เทพสนหลิวได้ 3 ส่วนเท่านั้นเอง’
‘กว่าจะทำได้สำเร็จ อย่างน้อยๆก็ต้องเจอด่านทดสอบลักษณะเดียวกับด่านทดสอบก่อนหน้าอีกสัก 2-3 รอบ’
พอคิดถึงจุดนี้ต้วนหลิงเทียนก็อดปวดหัวขึ้นมาไม่ได้ เพราะที่ยากที่สุดก็คือตามหาด่านทดสอบให้เจอนี่ล่ะ…
โชคยังดีที่เขายังมีเวลา
ดีที่รอบนี้ไม่ได้ใช้เวลาไปมากมายอะไร
…
ณ อู๋หยาเทียน
แดนอู๋หยา
ในทะเลทรายแห้งแล้งอันรกร้างว่างเปล่า ปรากฏซากปรักหักพังกระจัดกระจายไปทั่ว มองไปแล้วซากปรักหักพังที่ว่าสมควรเป็นเมืองๆหนึ่งที่ล่มสลายไปตามกาลเวลา อย่างไรก็ตามท่ามกลางซากปรักหักพังนั้น มีตำหนักที่มีสภาพค่อนข้างสมบูรณ์แห่งหนึ่ง
ถึงแม้ตำหนักหลังนี้จะถูกปกคลุมด้วยฝุ่นทราย แต่หากดูให้ดีจะพบว่าประตูหน้าตำหนักไร้ซึ่งฝุ่นดินอะไร คล้ายยามฝุ่นดินหินทรายถูกพัดมาบริเวณนี้ จะถูกพลังไร้สภาพพัดออกไปโดยเฉพาะ
“แน่ใจหรือว่าทั้งคู่อยู่ที่นี่?”
ไม่ทราบตั้งแต่เมื่อใด แต่มีร่างสองร่างพลันปรากฏบนฟ้าเหนือซากปรักหักพัง และคนหนึ่งก็หันไปเอ่ยถามอีกคนด้วยสายตาสงสัย
ผู้มาล้วนมีรูปลักษณ์เป็นชายหนุ่มเหมือนกัน มาในชุดคลุมลมสีเทามีโม่งคลุมหัว ใบหน้ามีผ้าปิดปากปิดจมูกมิดชิด เผยให้เห็นแค่คิ้วและดวงตาเท่านั้น
“เป็นที่นี่มิผิดแน่”
หลังได้ยินคำถามของชายข้างกาย ชายอีกคนก็เอ่ยตอบเสียงเรียบ
หากต้วนหลิงเทียนมาอู่ที่นี่ และได้ยินเสียงของทั้งคู่ ก็คงไม่ยากที่เขาจะระบุตัวตนของพวกมัน เพราะสองคนนี้…หนึ่งก็คือ หานอวิ๋นจิ่น ศิษย์คนโตของจักรพรรดิอมตะฟ้าลี้ลับ และ เหลยจวิ้น ศิษย์คนรองรวมถึงลูกชายคนเดียวของจักรพรรดิอมตะไร้ใจเหลยอิงแห่งวังเทียนฉือ
หานอวิ๋นจิ่นก็เป็นคนที่เอ่ยถามออกมาคนแรก
ฟุ่บ!
ทันใดนั้นเองเหลยจวิ้นพลันสะบัดมือคราหนึ่ง จากนั้นพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดขุ่มหนึ่งก็ซัดพุ่งออกจากฝ่ามือไปยังซากปรักหักพังเบื้องล่าง ก่อนจะกระแทกเข้ากับกระดิ่งเล็กๆบริเวณหน้าประตูตำหนักที่ยังดูมีสภาพสบูรณ์
กริ๊ง!!
หลังจากเสียงกระดิ่งดังขึ้นราวๆสิบลมหายใจ ก็มีร่างหนึ่งปิดประตูก้าวออกมาจากตำหนักอย่างไม่รีบไม่ร้อน
พิกลนัก…เป็นเด็กชายคนหนึ่ง!
เด็กชายคนนี้แลดูมีอยุราวๆ 13-14 ปี หลังจากที่มันออกจากประตูแล้ว มันก็ค่อยๆลอยยร่างขึ้นมาบนอากาศ สองตามองไปยังเหลยจวิ้นและหานอวิ๋นจิ่นแต่ไกล เอ่ยออกมาเสียงเรียบว่า “ในเมื่อพวกเจ้ามาถึงที่นี่ได้ เช่นนั้นก็สมควรรู้กฏดี”
“ทิ้งของไว้ รายละเอียดเป้าหมาย รวมถึงลูกแก้ววิญญาณของพวกเจ้า จากนั้นพวกเจ้าก็กลับไปรอการติดต่อกลับเสีย”
เด็กชายกล่าว
“ท่านคือ?”
เมื่อหานอวิ๋นจิ่นเห็นเด็กชายคนี้มันก็อดตกตะลึงไปไม่ได้ เพราะเด็กชายคนนี้แม้รูปลักษณ์แลแล้วอายุไม่น่าเกิน 13-14 ปี แต่พิกลนักที่กลิ่นอายเลือดเนื้อของมันไม่ได้สดใหม่บ่งบอกว่ามันมีอายุไม่ถึงร้อยปีแต่อย่างใด…
สิ่งนี้บ่งชี้ว่า แม้เด็กชายจะดูมีอายุไม่มาก แต่ที่จริงมีอายุเกินร้อยปีแล้ว…
“ข้าไม่อยากพูดซ้ำเป็นครั้งที่ 2”
แทบจะพร้อมกันกับที่หานอวิ๋นจิ่นกล่าถามจบคำ เด็กชายก็กล่าวออกด้วยยน้ำเสียงเย็นชา จากนั้นพลังอันน่าพรั่นพรึงขุมหนึ่งก็กำจายออกมาจากร่างเล็กๆ กดทับไปยังหานอวิ๋นจิ่นและเหลยจวิ้นทันที!
ทำให้ร่างหานอวิ๋นจิ่นและเหลจวิ้นสะท้านไปทันใด!
“ผู้น้อยขอคารวะอาวุโส ตู๋กู”
หานอวิ๋นจิ่นกับเหลยจวิ้นเร่งสูดลมหายใจเข้าลึกๆ จากนั้นก็ประสานมือโค้งคารวะเด็กชายออกมาพร้อมๆกัน ไม่กล้าละเลยแม้แต่น้อย!
กลิ่นอายพลังที่แผ่ออกมาจาจกร่างเด็กชายเมื่อครู่นี้ ได้บ่งยอกเรื่องหนึ่งให้พวกมันทราบชัดเจน…
เด็กชายเบื้องหน้า เป็นจักรพรรดิอมตะสมญานาม!
ปรากฏตัวที่นี่ ทั้งยังเป็นจักรพรรดิอมตะสมญานาม เห็นได้ชัดว่านี่คือเป้าหมายที่การเดินทางของพวกมันสองคน 1 ใน 2 มือสังหารที่เป็นจักรพรรดิอมตะสมานาม!
“ผู้อาวุโสตู๋กู นี่คือค่าจ้าง”
เหลยจวิ้นโบกมือขึ้น จากนั้นก็ปรากฏแหวนพื้นที่วงหนึ่งถูกพลังไร้สภาพหอบหิ้วไปหยุดลอยเบื้องหน้าตู๋กู จากนั้นก็เร่งกล่าวออกมาตรงๆเสียงดังฟังชัด “คนที่พวกเราต้องการให้ผู้อาวุโสสังหารเรียกว่า ต้วนหลิงเทียน เป็นศิษย์อัจฉริยะของวังเทียนฉือ”
“วังเทียนฉือ?”
หลังจากรับแหวนพื้นที่ไป เด็กชายก็หยดเลือดผูกพันธะ จากนั้นก็ส่องภายในตรวจดูสิ่งของในแหวน ขณะพยักหน้าเบาๆ ก็กล่าวกับเหลยยจวิ้นว่า “สถานะของเป้าหมายไม่มีปัญหา…อย่างไรก็ตามหากมันซ่อนตัวอยู่ในวังเทียนฉือและไม่ออกไปไหน พวกเราก็มิอาจทำอะไรมันได้”
“ก่อนที่เจ้าจะมาจ้างวานพวกเรา คงรู้ว่ามันกำลังจะออกจากวังเทียนฉือแล้วกระมัง? เช่นนั้นมันออกจากวังเทียนฉือเมื่อไหร่ จงติดต่อมาหาข้าโดยเร็วที่สุด”
เด็กชายกล่าว
วังเทียนฉือเป็นขุมกำลังระดับสวรรค์ และค่ายกลที่ปกป้องอาณาเขตวังเทียนฉือนั้นก็ทรงพลังเสียจนต่อให้เป็นจักรพรรดิอมตะสมญานามก็แทบไม่อาจบุกฝ่าเข้าไปได้ง่ายๆ
ถึงแม้จะบุกฝ่าเข้าไปได้ แต่ก็คงต้องถูกพบเจอทันที ไม่มีทางลอบเข้าไปอย่างลับๆได้เลย
“เรื่องนี้ขออาวุโสโปรดวางใจ”
เหลยจวิ้นคลี่ยิ้ม พลางกล่าว “ตอนนี้เป้าหมายได้เดินทางไปยังวิหารเฟิงฮ่าวสาขาแดนอู๋หยาเรา…อย่างไรก็ตามข้างกายมันมีจักรพรรดิอมตะสมญานามอยู่หนึ่งคน และเป็นอาจารย์ของมัน จักรพรรดิอมตะทุ่งขจี ฉือหล่าง แห่งวังเทียนฉือ”
“จักรพรรดิอมตะทุ่งขจีรึ?”
ได้ยินคำพูดของเหลยจวิ้น เด็กชายก็เลิกคิ้วขึ้น “ไม่น่าแปลกใจที่พวกเจ้าจะจ่ายค่าจ้างมาให้ข้าตามเกณฑ์นี้…ที่แท้ข้างกายมันมีจักรพรรดิอมตะสมญานามคุ้มกะลาหัวนี่เอง”
“อย่างไรก็ตาม ในเมื่อมันออกจากวังเทียนฉือมาแล้ว พวกเราตกลงรับงานนี้”
ชายหนุ่มกล่าวต่อ “ตอนนี้เจ้าเล่าอัตลักษณ์ของมัน รวมถึงคนที่มากับมันให้ข้าฟังอย่างละเอียด…หากมีภาพเหมือนหรือลูกแก้วเงาลอยย่อมดีที่สุด”
“ข้าเตรียมทั้งหมดไว้ให้อาวุโสแล้ว”
เหลยจวิ้นกล่าววอ่างสุภาพ จากนั้นก็สะบัดมือส่งม้วนภาพไปให้เด็กชายทันที
หลังจากนั้นไม่รอให้เด็กชายพูดซ้ำ เหลยจวิ้นก็ส่งลูกแก้ววิญญาณของตัวเองไปให้เด็กชาย ก่อนจะประสานมือโค้งคารวะเป็นการอำลาเด็กชาย แล้วหันหลังจากไปทันที
แน่นอนว่าก่อนที่เหลยจวิ้นกับหานอวิ๋นจิ่นจะจากไปไหนไกล เด็กชายก็ไม่ลืมส่งลูกแก้ววิญญาณของมันไปให้เหลยจวิ้น “เจ้ารับลูกแก้ววิญญาณข้าไปด้วย หากมีเหตุเปลี่ยนแปลงอันใด ให้รีบแจ้งข้ามาทันที”
ทันทีที่เหลยจวิ้นกับหานอวิ๋นจิ่นหันกลับมา ในอากาศก็เหลือแต่ลูกแก้ววิญญาณกำลังลอยเข้ามาหาพวกมัน ส่วนเด็กชายนั้น ไม่ทราบหายไปที่ใดแล้ว…ราวกับคนอยู่ๆก็สาบสูญไปในอากาศอย่างไรอย่างนั้น!
“เหลยจวิ้น ลองทั้งคู่ลงมือแบบนี้…คงไม่น่าจะมีปัญหาอะไรกระมัง?”
ขณะเหินร่างออกจากพื้นที่ทะเลทรายเพื่อกับวังเทียนฉือ หานอวิ๋นจิ่นก็อดไม่ได้ที่จะหันไปเอ่ยถามเหลยจวิ้น
“ไม่มีปัญหาแน่นอน”
เหลยจวิ้นคลี่ยิ้มอย่างมั่นใจ “หากข้าเดาไม่ผิด เด็กชายเมื่อครู่สมควรเป็น จักรพรรดิอมตะร้อยเปลี่ยน ตู๋กูเหวิน ที่เชี่ยวชาญการแปลงโฉมเปลี่ยนร่างเป็นที่สุด! ว่ากันว่าที่แท้แล้วมันมิใช่มนุษย์แต่เป็นบุปผาอมตะร้อยสี ที่สามารถจำแลงกายเป็นมนุษย์ มีความสามารถในการปลอมแปลงรูปลักษณ์ได้ทุกรูปแบบ”
“ร่างเด็กชาย สมควรเป็นหนึ่งในร่างแปลงของมันเท่านั้น”
“จักรพรรดิอมตะร้อยเปลี่ยน ตู๋กูเหวิน ผู้นี้ แม้จักชำนาญเรื่องการปลอมแปลงรูปโฉม ดูเหมือนถนัดการลอบสังหาร แต่เอาเข้าจริงพลังฝีมือนั้นมิใช่ชั่วเลยจริงๆ สมควรมีพลังฝีมือสูงกว่าจักรพรรดิอมตะทุ่งขจีรวมถึงมารดาข้า กระทั่งอาจจะมีพลังฝีมือพอๆกับอาจารย์ของเจ้า จักรพรรดิอมตะฟ้าลี้ลับด้วยซ้ำ”
“นอกจากนั้น ในบรรดาพวกมันทั้งสองคน ผู้ที่แข็งแกร่งกว่าก็คือ ตู๋กูหวู่ พี่ชายของมัน…ลือกันว่ามันคือไผ่สวรรค์แกร่งที่จำแลงกายเป็นมนุษย์ มีสมญานามว่า ‘ไม่ดับสูญ’ และเป็นที่รู้จักในนามจักรพรรดิอมตะไม่ดับสูญ”
“หากกล่าวว่าตู๋กูเหวินอาจจะเหนือกว่าฉือหล่าง ทว่าพี่ชายของมัน ตู๋กูหวู่ นั้น…ร้ายกาจกว่าฉือหล่างแน่นอน!”
เหลยจวิ้นกล่าว
“ข้าหวังว่าจักไม่มีอะไรผิดพลาด…ราคาที่พวกเราจ่ายออกไปครั้งนี้ มันมหาศาลเกินไป…”
หานอวิ๋นจิ่นกล่าวออกเสียงเครียด
ราคาที่มันกับเหลยจวิ้นจ่ายออกไปนั้นสูงมาก สามารถอธิบายได้ว่า เปลี่ยนจากมหาเศรษฐีเป็นยาจกในชั่วข้ามคืน
“จ่ายมาก ผลตอบแทนก็มาก…นี่คือความจริงที่มีมาแต่โบราณ”
เหลยจวิ้นเอ่ยออกเสียงเบา
ในขณะที่หานอวิ๋นจิ่นกับเหลยจวิ้นเดินทางออกจากทะเลทราย ท่ามกลางซากปรักหักพัง ก็ปรากฏเงาร่าง 2 ร่างพุ่งทะยานตัดฟ้า มุ่งหน้าไปทางวิหารเฟิงฮ่าวด้วยความเร็วสูงล้ำ