ตอนที่ 3,319 : วัตถุประสงค์ของต้วนหลิงเทียน
ฉากการพบพานกับเค่อเอ๋อในปีนั้น ยังชัดเจนในความทรงจําราวกับพึ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน
สาวน้อยยากไร้นางหนึ่งในอดีต ได้เติบโตขึ้นจนมีลูกสาวกับเขาแล้ว
วันเวลา 200 กว่าปีดุจชั่วพริบตาเดียว
และตอนนี้เขากับเค่อเอ๋อก็ได้พรัดพรากจากกันมา 200 กว่าปีแล้ว
ไม่ใช่แค่เค่อเอ๋อภรรยาของเขาเท่านั้น กระทั่งต้วนซือหลิงบุตรสาวของเขาเอง ก็ไม่ได้พบหน้ากันมา 200 กว่าปี
เค่อเอ๋อ ซือหลิง รอให้ช่องทางเชื่อมระหว่างระนาบเทพกับระนาบเทวโลกเปิดออกเมื่อไหร่ข้าจะไปตามหาพวกเจ้า!”
คิดถึงจุดนี้แววตาต้วนหลิงเทียนก็ฉายความเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ขึ้นมา
“พี่หลิงเทียน”
อารมณ์ที่เปลี่ยนไปอย่างผิดปกติของต้วนหลิงเทียน ฮ่วนเอ๋อที่อยู่ข้างๆย่อมสัมผัสได้ชัดเจน นางจึงกอดด้วนหลิงเทียนเอาไว้แน่นกล่าวปลอบโยนออกมาเสียงอ่อน “พี่สาวเค่อเอ๋อกับทุกคนต้องไม่เป็นอะไรแน่”
ฮ่วนเอ๋อเองก็รู้เป้าหมายสูงสุดของต้วนหลิงเทียนดี ย่อมไม่ยากที่นางจะคาดเดาได้ว่าต้วนหลิงเทียนกําลังคิดอะไรอยู่
“อือ”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า จากนั้นก็ฝืนยิ้มกล่าวราวกับไม่เป็นอะไร “ฮ่วนเอ๋อ มาเถอะหลังข้า พาเจ้าเดินเล่นรอบเมืองวายุโปรยแล้ว พี่หลิงเทียนจะพาเจ้าไปเมืองประกายแสงที่นั่นเป็นสถานที่แห่งแรกหลังข้าเดินทางออกจากเมืองวายุโปรย”
เมืองประกายแสงนั้น ยังเป็นเมืองที่ตระกูลลี่สาขาหลักตั้งอยู่
ตระกูลลี่ในเมืองวายุโปรย เป็นแค่ตระกูลสาขาๆหนึ่งเท่านั้น
“อื้อ”
ฮ่วนเอ๋อกล่าวตอบรับอย่างเชื่อฟัง แต่ลึกลงไปในแววตานาง กลับไม่อาจปิดซ่อนความกังวลเอาไว้ได้
เมื่อครู่พอเห็นต้วนหลิงเทียนคิดถึงภรรยารวมถึงลูกๆไม่เว้นครอบครัวกับสหาย นางก็อดไม่ได้ที่จะนึกถึงบิดามารดาที่ถูกจับขังเอาไว้ในคุกหมื่นพันธนาการของวังเทียนฉือ
อย่างไรก็ตาม ความกังวลในแววตาของฮ่วนเอ๋อเพียงปรากฏขึ้นวาบหนึ่ง ก่อนที่จะหายไปในชั่วพริบตา ราวกับนางไม่อยากจะให้ต้วนหลิงเทียนแลเห็นมัน
อย่างไรก็ตาม ต้วนหลิงเทียนยังคงเห็นมัน
เป็นธรรมดาว่าเขายังรู้ดีว่าฮ่วนเอ๋อตั้งใจเก็บเอาไว้ไม่ให้เขารู้ เช่นนั้นเขาจึงไม่เปิดเผยออกไป
ยิ่งไปกว่านั้น เขาได้ตัดสินใจและวางแผนการช่วยบิดามารดาของฮ่วนเอ๋อแล้ว…รวมถึงการพาฮ่วนเอ๋อมาระนาบเซียนครั้งนี้ ก็เป็นหนึ่งในขั้นตอนช่วยเหลือบิดามารดาของฮ่วนเอ๋อที่เขาวางแผนเอาไว้
วูบ! วูบ!
หลังเดินเตร็ดเตร่ในเมืองวายุโปรยครบรอบแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็พาฮ่วนเอ๋อไปยังเมืองประกายแสงทันที
เมืองประกายแสงนั้น หลังผ่านวันเวลาไป 200 ปี ความเปลี่ยนแปลงของมันยังมากกว่าเมืองวายุโปรยเสียอีก อาณาเขตของมันไม่เพียงกว้างมากขึ้น ยังขยับขยายไปจากเดิมเกิน 2 เท่า…
นอกจากนั้นบริเวณใจกลางเมืองประกายแสง จตุรัสอันกว้างใหญ่ของเมืองต้วนหลิงเทียนก็ได้พบเจอกับรูปปั้นของเขาอีกครั้ง!
“พี่ใหญ่หลิงเทียน…ดูเหมือนท่านจะเป็นที่นับถือและเคารพของผู้คนในบ้านเกิดท่านมาก”
ฮ่วนเอ๋อยิ้ม
“ข้าเองก็คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าทุกคนจะสร้างอนุสรณ์ของข้าไว้ให้คนรุ่นหลังรู้เรื่องราวแบบนี้”
หากกล่าวว่าในเมืองวายุโปรยต้วนหลิงเทียนมีสหายไม่มากล่ะก็ ในเมืองประกายแสงแห่งนี้ เขาได้พบเจอสหายดีๆไม่น้อย..นอกจากไม่กี่คนที่ยังอยู่แล้ว สหายทั้งหมดที่เขารู้จักก็ล้วนกลับกลายเป็นดินเหลืองหมดสิ้น
“ฮ่วนเอ๋อ ข้าได้พบกับเฟย ภรรยาอีกคนของข้าที่เมืองประกายแสงแห่งนี้”
กล่าวถึงลี่เฟยออกมา ในใจต้วนหลิงเทียนก็เจ็บปวดไม่ต่างจากตอนคิดถึงเค่อเอ๋อ
เพราะเฟยเองก็ถูกจับขังอยู่ในดินแดนแห่งทวยเทพเช่นกัน กระทั่งกล่าวไปสถานการณ์ยยังสุ่มเสี่ยงกว่าเค่อเอ้ออีกด้วย เพราะสําหรับอลิ้นชิงเหยียน มันไม่มีทางทําอะไรเค่อเอ๋อให้เจ็บตัว แต่กับลี่เฟยรวมถึงคนอื่นๆนั้น… คิดถึงจุดนี้ต้วนหลิงเทียนก็ไม่กล้าคิดสืบไป!
เพราะคนที่เสี่ยงไม่ใช่แค่ลี่เฟย แต่ยังมีต้วนเนี่ยนเทียนที่เป็นลูกชายของเขากับเฟยอีกด้วย
“ปีนั้น”
หลังมาถึงหน้าประตูใหญ่ของตระกูลลี่สาขาหลัก ความคิดของต้วนหลิงเทียก็หวนนึกถึงตอนที่ได้เจอกับลี่เฟยครั้งแรกวันนั้นในงานประลอง ภาพจําของนางยังชัดเจน ใบหน้าปานเทพธิดาแต่มีรูปร่างอันเย้ายวนปานปีศาจของนางวันนั้น ทําให้เขาตราตรึงใจตั้งแต่แรกเห็นจริงๆ
“ฮ่วนเอ๋อ เราไปที่ต่อไปกันเถอะ…”
หลังสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ต้วนหลิงเทียนที่พาฮ่วนเอ๋อเดินมาถึงลานประลองของตระกูลลี่และเล่าเรื่องราวการพบเจอกับเฟยจบแล้ว เขาก็พาฮ่วนเอ๋อเห็นร่างออกจากตระกูลลี่ทันที และเขาไม่ได้มุ่งหน้าไปยังอาณาจักรนภาล่องแต่อย่างใด ทว่ากลับพาฮ่วนเอ๋อไปยังเมืองโลหิตเหล็กก่อน
เมืองโลหิตเหล็กที่ว่า ก็คือเมืองที่มีค่ายบ่มเพาะอัจฉริยะของกองกําลังโลหิตเหล็กตั้งอยู่
เดิมที่ต้วนหลิงเทียนคิดว่าหลังผ่านไป 200 กว่าปี แม้เมืองโลหิตเหล็กอาจจะยังอยู่ แต่ค่ายบ่มเพาะอัจฉริยะของกองกําลังโลหิตเหล็ก รวมถึงกองกําลังโลหิตเหล็กเองก็อาจไม่อยู่แล้วก็เป็นได้…แต่สิ่งที่ทําให้เขารู้สึกเหนือความคาดหมายก็คือ ไม่เพียงแต่ค่ายบ่มเพาะอัจฉริยะยังอยู่ กระทั่งกองกําลังโลหิตเหล็กก็ยังคงอยู่
ยิ่งไปกว่านั้น เหมือนค่ายบ่มเพาะอัจฉริยะที่ว่า…จะถูกทางอาณาจักรให้ความสําคัญมากขึ้น! เพราะมันใหญ่โตและแลดูยิ่งใหญ่กว่าเดิมมาก!!
เป็นธรรมดาว่าต้วนหลิงเทียนก็ไม่ได้รู้เลย ว่าสาเหตุที่ทําให้ค่ายบ่มเพาะอัจฉริยะของกองกําลังโลหิตเหล็กยิ่งใหญ่ได้ถึงขนาดนี้ ทั้งหมดเพราะเขาปรากฏตัวขึ้นที่นี่ในปีนั้น ทําให้ราชวงศ์ของอาณาจักรนภาล่องให้ความสําคัญกับที่นี่มาก จึงให้การสนับสนุนที่นี่เต็มกําลัง
และในช่วงเวลา 200 กว่าปีที่ผ่านมา ค่ายบ่มเพาะอัจฉริยะของกองกําลังโลหิตเหล็ก ก็ได้เพาะสร้างอัจฉริยะขึ้นมามากมาย ก่อเกิดตัวตนที่เป็นที่กล่าวขานในอาณาจักรหลายต่อหลายคน
แน่นอนว่าเป็นไปไม่ได้ที่ตัวตนเหล่านั้นจะเทียบกับต้วนหลิงเทียนได้
“ฮ่วนเอ๋อ…ค่ายบ่มเพาะอัจฉริยะของกองกําลังโลหิตเหล็กแห่งนี้ เป็นที่ๆข้ากับซูหลี่พบเจอกันเป็นครั้งแรก…”
ต้วนหลิงเทียนหันไปกล่าวกับฮ่วนเอ๋อด้วยรอยยิ้ม “เจ้าคงยังไม่ลืม ซูหลี่ ของนิกายกระบี่หมื่นหายนะแห่งอวี้หวงเทียนกระมังที่เจอครั้งแรกหน้าทางเข้าแดนลับทวยเทพในแดนลับอัจฉริยะน่ะ”
“เอ๋? พี่หลิงเทียนตอนท่านบอกว่ารู้จักกับพี่ใหญ่ซูหลี่มานาน ข้าก็ไม่เคยคิดเลยว่าท่านจะรู้จักกันตั้งแต่ยังเด็ก! ไม่น่าแปลกใจเลยที่ข้ารู้สึกว่าท่านแลดูสนิทใจกับพี่ใหญ่ซูหลีมากกว่าสหายคนอื่น”
ฮ่วนเอ๋อกล่าวด้วยความแปลกใจ
“ฮ่วนเอ๋อ…ที่นี่ก็คือเมืองหลวงของอาณาจักรนภาล่อง ทางด้านนั้นเป็นที่ตั้งของสถาบันบ่มเพาะขุนพล…ข้ากับซูหลีเองหลังออกจากค่ายบ่มเพาะอัจฉริยะของกองกําลังโลหิตเหล็ก พวกเราก็เข้ามาศึกษาเล่าเรียนต่อที่นี่ และเพราะเรื่องราวที่เกิดขึ้นที่นี่ ข้าถึงได้เห็นซูหลี่เป็นเพื่อนแท้ของข้ามาโดยตลอด
ต้วนหลิงเทียนที่พาฮ่วนเอ๋อวูบร่างข้ามมิติมาถึงเมืองหลวงของอนาจักรนภาล่อง ก็พานางมาสถาบันบ่มเพาะขุนพล ก่อนจะเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นในปีนั้น ยังเล่าเรื่องที่ซูหลี่ยอมละทิ้งอนาคตแต่ไม่หักหลังเขา โดยการพาครอบครัวระหกระเหินหลบหนีออกจากอาณาจักรนภาล่อง เพราะไม่อยากถูกตระกูลซูใช้เป็นหมากมาทําร้ายเขา
ย้อนกลับไปมองดูแล้ว เรื่องนี้สําหรับชายหนุ่มที่กําลังเติบโตและมีอนาคตสดใสรออยู่ มันเป็นเรื่องที่ยากจะตัดสินใจได้ขนาดไหน?
“ส่วนนั่นคือตระกูลต้วน…พ่อของข้า ต้วนหรูเฟิงก็เป็นคนของตระกูลต้วน”
หลังออกจากสถาบันบ่มเพาะขุนพล ต้วนหลิงเทียนก็พาฮ่วนเอื้อมายังจวนตระกูลต้วน
ไม่ว่าจะตระกูลลี่ก็ดี ตระกูลต้วนก็ดี หลังจากผ่านไป 200 กว่าปี ไม่เพียงแต่ยังดํารงอยู่ แต่ยังแข็งแกร่งมากขึ้นอีกด้วย
สําหรับตระกูลใหญ่ในอดีตนั้น บางครอบครัวก็หายไปในสายธารของกาลเวลาหมดแล้ว
เป็นธรรมดาว่าตระกูลเก่าหายไป ตระกูลใหม่ก็เข้ามาแทนที่
หลังออกจากเมืองหลวงของงอาณาจักรนภาล่อง ต้วนหลิงเทียนก็พาฮ่วนเอ๋อวูบร่างออกจากอาณาจักรนภาล่องมาถึง นิกายกระบี่ 7 ดาว ที่ตั้งอยู่ในอาณาจักรพนาครามเป็นจุดต่อไป
ในนิกายกระบี่ 7 ดาวอันเป็นนิกายแรกที่เขาเข้าร่วมแห่งนี้ ก็มีความหลังและความทรงจําอันยากจะลืมเลือนสําหรับเขามากมาย ใบหน้าของประมุข ผู้นําขุนเขากระบี่ รวมถึงผู้คนมากมายที่เขาไม่รู้จัก แต่ยินดีพลีชีพเพื่อให้เขารอดพ้นหายนะวันนั้นยังอยู่ในใจเขาเสมอ
ตลอดทั้งเดือน ต้วนหลิงเทียนก็ได้พาฮ่วนเอ๋อเดินทางท่องไปทั่วระนาบเซียน ซึ่งเป็นระนาบโลกียะบ้านเกิดของเขาในชีวิตนี้ ทุกแห่งหนที่สองเท้าของเขาเคยไปล้วนมีร่องรอยความทรงจําหลงเหลือ เขาเองก็ยังคงจําเรื่องราวต่างๆได้มากมาย
“ฮวนเอ๋อ”
หนึ่งเดือนต่อมา กลางฟ้าอดีตที่ตั้งตําหนักเมฆาคราม ต้วนหลิงเทียนพลันหยุดร่างลง หันไปมองฟ้าว่างเปล่า พลางกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงจริงจัง “เจ้ารู้เหตุผลที่ไฉนข้าถึงพาเจ้ามายังบ้านเกิดของข้า รวมถึงเล่าเรื่องราวชีวิตของข้าในอดีตวว่าข้าเติบโตมาอย่างไรหรือไม่?”
ฮ่วนเอ๋อส่ายหัวไปมา
“ฮ่วนเอ๋อ แม้พี่หลิงเทียนจะพยายามหักห้ามใจแล้ว แต่ก็ต้องกล่าวเลยว่าบางครั้งอารมณ์ความรู้สึกบางอย่างมันก็ห้ามไม่ได้ กระทั่งยิ่งพยายามหักห้ามใจมากเท่าไหร่ มันก็ยิ่งชัดเจนมากขึ้นเท่านั้น”
กล่าวถึงจุดนี้ ต้วนหลิงเทียนก็สูดลมหายใจเข้าลึกๆ กล่าวสืบต่อว่า “เป็นเวลาเนิ่นนานแล้วที่ภรรยาทั้งสองของข้าอย่างเค่อเอ๋อกับลี่เฟย รวมถึงสตรีที่ข้ารักอย่างเฟิ่งเทียนหวู่ถูกจับตัวไปในแดนเทพโดยไม่รู้ชะตา ทําให้ข้าไม่มีความคิดจะข้องเกี่ยวกับผู้ใดหรือปันใจให้ใคร จึงไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องราวความรักใดๆทั้งสิ้น”
“ถึงแม้ว่าสตรีของข้าทุกคน บัดนี้ล้วนไม่ได้อยู่ข้างกายข้าแล้ว แต่หากเลือกได้ข้าก็ไม่คิดจะผิดต่อพวกนาง”
“สําหรับข้า การที่มีพวกนางเป็นคนรัก นับว่าเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่สวรรค์บันดาลให้ข้าข้าไม่คิดทําให้พวกนางเสียใจ ยิ่งไม่อยากให้พวกนางต้องทนเห็นข้าปันใจให้ใครได้อีก”
“จนกระทั่งเจ้าปรากฏตัว…”
“ข้าขอพูดตามความสัตย์จริง ขอแค่เป็นบุรุษไม่ว่าผู้ใดล้วนต้องหวั่นไหวกับรูปโฉมอันงดงามไร้ผู้ต้านของเจ้า ถึงแม้เจ้าจะเห็นว่าข้าหักห้ามใจเอาไว้ได้และไม่ได้เผยที่ท่าอะไรกับเจ้าเลย แต่ในใจข้าไหนเลยจะไม่หวั่นไหว
“แต่กระนั้น ด้วยอะไรหลายๆอย่าง ทําให้ข้าตัดสินใจขีดเส้นแบ่งที่แน่ชัด…เห็นเจ้าเป็นดั่งน้องสาวคนหนึ่ง”
“แต่เมื่อไม่นานมานี้ หลังจากพวกออกจากวิหารเฟิงฮ่าวและกลับมาถึงวังเทียนฉือ…พอข้ารับทราบเรื่องที่เหลยจวิ้น ลูกชายของจักรพรรดิอมตะไร้ใจเหลยอิงคิดไม่ซื่อกับเจ้า ข้าก็มีโมโหทั้งไม่สบอารมณ์นัก”
“ในตอนนั้นข้าจึงได้รู้ว่าที่แท้ในใจข้า เจ้าก็สําคัญไม่แพ้ใคร”
“เด็กโง่เจ้าร้องไห้ทําไม”
ต้วนหลิงเทียนที่ตัดสินใจกล่าวออกมาถึงจุดนี้ ก็รบรวมความกล้าหันกลับมามองฮ่วนเอ๋อ แต่เขากลับพบวว่าฮ่วนเอ๋อกําลังร่ำไห้น้ำตาไหลพราก ทําให้เขารู้สึกปวดใจจนต้องเอื้อมมือออกไปปาดเช็ดน้ำตาให้นางทันที “เอาล่ะๆ ฮ่วนเอ๋อเป็นเด็กดี ไม่ร้อง…”
“ฮ่วนเอ๋อเด็กดี เจ้าไม่ร้องไห้แล้วได้ไหม?”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวปล่อบนางอย่างทําอะไรไม่ถูกครู่หนึ่ง ฮ่วนเอ๋อก็มุดเข้าอ้อมกอดและซุกหัวกับอกเขาไว้แน่น ราวกับไม่อยากจะปล่อยมือไปชั่วชีวิต
“พี่หลิงเทียนท่านทราบหรือไม่ ฮ่วนเอ๋อรอเวลานี้มานาน รอมานานมากแล้ว”
ใบหน้าที่ฝังหัวกับอกเขาตอนนี้ของฮ่วนเอ๋อเต็มไปด้วยรอยยิ้มสดใสนัก แม้จะเปรอะเปื้อนไปด้วยน้ำตาก็ตาม “พี่หลิงเทียนยฮ่วนเอ๋อร้องไห้เพราะดีใจ…ฮ่วนเอ๋อมีความสุขมากดีมากจริงๆ!”
ฮ่วนเอ๋อในตอนนี้ตื่นเต้นยินดีจนพูดไม่ค่อยเป็นคําแล้ว
ด้วยเหตุนี้ต้วนหลิงเทียนก็ได้แต่กอดนางเอาไว้ทั้งวัน
ฮ่วนเอ๋อเองก็กอดเขาแน่นปานลูกหมี ดูไม่มีท่าว่าจะปล่อย
“ฮ่วนเอ๋อ”
จนวันต่อมา ต้วนหลิงเทียนก็เอ่ยขึ้นว่า “ข้าจะบอกเจ้าไว้เรื่องหนึ่งบิดามารดาของเจ้า ข้าก็ถือว่าทั้งคู่เป็นดั่งบุพการีของข้า เช่นนั้นข้าต้องช่วยทั้งคู่ให้ได้!”
“อื้อ”
ในตอนนี้ฮ่วนเอ๋อยังไม่ได้รู้สึกเอะใจสงสัยอะไร
“ฮ่วนเอ๋อ พี่หลิงเทียนหวังว่าเจ้าจะรออยู่ที่ระนาบเซียนแห่งนี้สักพัก…รอให้พี่หลิงเทียนกลับมารับเจ้า”
และพอต้วนหลิงเทียนกล่าวประโยคนี้ออกมา ในที่สุดฮ่วนเอ๋อก็ตระหนักได้ว่าเรื่องราวผิดท่าแล้ว สีหน้านางเปลี่ยนไปทันที “ไม่! พี่หลิงเทียน ฮ่วนเอ๋อจะไปช่วยท่านพ่อท่านแม่พร้อมพี่หลิงเทียน! ฮ่วนเอ๋อไม่ยอมให้พี่หลิงเทียนไปเสี่ยงภัยคนเดียวหรอก!”
ในที่สุด่วนเอ๋อก็ตระหนักได้แล้ว ว่าไฉนพี่หลิงเทียนของนางถึงได้พานางมายังระนาบเซียนซึ่งเป็นบ้านเกิดในช่วงเวลาแบบนี้…ที่แท้พี่หลิงเทียนของนางคิดไปช่วยบิดามารดาของนางเพียงลําพัง!
“ฮ่วนเอ๋อ พี่หลิงเทียนตัดสินใจแล้ว”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวออกด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ฮ่วนเอ๋อต้องเชื่อฟังพี่หลิงเทียนเหมือนทุกครั้งเข้าใจไหม?”
แต่ฮ่วนเอ๋อไหนเลยจะถูกเกลี้ยกล่อมได้ง่ายดายขนาดนั้น
“แต่ฮ่วนเอ๋อไม่ต้องกังวลอะไร ในเมื่อพี่หลิงเทียนกล้าไปคนเดียว ก็เท่ากับว่าข้ามั่นใจแล้ว…พี่หลิงเทียนสัญญากับเจ้า ว่าอีกไม่นานจะกลับมา และตอนนี้พี่หลิงเทียนต้องไปเตรียมการบางอย่างก่อน”
“ฮ่วนเอ๋อ…เจ้ายังจําเรื่องที่ข้าเล่าว่าข้าคือผู้สืบทอดหมอกพิรุณ ทวาราเที่ยงแท้ลําดับ 1 ของ 7 ทวาราเที่ยงแท้ได้หรือไม่? ผู้อาวุโสฟงชิงหยางที่ทิ้งมรดกไว้ให้ข้า ตอนนี้ก็เป็นถึงจักรพรรดิสวรรค์แห่งจี้เมี่ยเทียน ข้าจึงคิดจะไปจี้เมี่ยเทียนเพื่อร้องขอความช่วยเหลือจากอาวุวโสฟงชิงหยาง”
“ด้วยมีความช่วยเหลือของอาวุโสฟงชิงหยาง เรื่องช่วยบิดามารดาเจ้า ยังไม่ใช่เรื่องง่ายดาย เพียงแค่เอ่ยปากหรือไร?”
ถึงแม้ว่า ต้วนหลิงเทียนจะตัดสินใจเดินทางไปยังพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์แห่งจี้เมี่ยเทียนเพื่อขอความช่วยเหลือจากฟงชิงหยางที่เป็นถึงจักรพรรดิสวรรค์จริง แต่เขาไม่มั่นใจเลยว่าอีกฝ่ายจะยอมออกหน้าช่วยเหลือเขาหรือไม่
แต่ตอนนี้เพื่อเป็นการเกลี้ยกล่อมฮ่วนเอ๋อ และทําให้นางวางใจ เขามีก็แต่ต้องแสดงความมั่นใจออกมาราวกับเรื่องนี้ไม่มีปัญหา
“อะไร!? จักรพรรดิสวรรค์แห่งจี้เมี่ยเทียน!?”
อย่างไรก็ตามฮ่วนเอ๋อเพียงตกตะลึงอึ้งไปอยู่ครู่หนึ่ง ก็กล่าวออกมาว่า “พี่หลิงเทียน ในเมื่อเป็นเช่นนี้ไฉนท่านต้องให้ฮ่วนเอ๋อรออยู่ในระนาบโลกียะด้วยล่ะ? ให้ฮ่วนเอ๋อไปหาอาวุโสฟงชิงหยางกับพี่หลิงเทียนด้วยกันก็ได้นี่นา”
พอเห็นว่าหลังจากใช้กระบวนท่าล่อหลอกนี้แล้ว แต่ฮ่วนเอ๋อกลับไม่โดนหลอกง่ายเหมือนตอนเป็นเด็กน้อย ต้วนหลิงเทียนก็ได้แต่แสร้งทําเป็นเข้มกล่าวออกเสียงขรึม “ฮ่วนเอ๋อ หากวันนี้ เจ้าไม่ฟังคําพูดพี่หลิงเทียนเช่นนั้นหลังช่วยบิดามารดาของฮ่วนเอ๋อแล้ว พี่หลิงเทียนจะไม่อยู่กับฮ่วนเอ๋ออีก”
นี่เป็นกระบวนท่าสังหารอันเป็นไม้ตายสุดท้ายของต้วนหลิงเทียนแล้ว
เพราะการพูดจาตัดรอนเช่นนี้เขาเองก็ปวดใจเช่นกัน หากไม่ถึงที่สุดจริงๆ เขาก็ไม่อยากพูดวาจาทํานองนี้ออกมา
แต่พอเจอกับฮ่วนเอ๋อที่ดื้อรั้น เขาก็ไม่มีทางเลือกอื่น ได้แต่งัดมันออกมาใช้