ตอนที่ 3,349 : เกมของผู้แข็งแกร่งที่สุด
“อเวจี!? สมรภูมิอเวจีเช่นนั้นรึ!?”
สองตาจี้หนิงอวิ๋นหดเล็กลงเร็วไว ด้วยไม่คิดเลยว่าต้วนหลิงเทียนคิดจะย่างกรายไปยังสถานที่ดังกล่าว!
สมรภูมิอเวจี ไม่ใช่ดินแดนที่ปรากฏตัวให้เห็นอยู่เป็นประจํา
มีแต่ถึงห้วงเวลาที่ช่องทางเชื่อมต่อระหว่างระนาบเทพกับระนาบเทวโลกปิดตัวลงเท่านั้น สมรภูมิอเวจี ถึงจะปรากฏขึ้น กล่าวได้ว่ามันก็จะปรากฏตัวขึ้นทุกๆรอบ 10,000 ปี และมีระยะเวลาปรากฏตัวอยู่เป็นเวลา 1,000 ปี
และสมรภูมิอเวจี รอบนี้ก็ปรากฏออกกมาได้ 200 กว่าปีแล้ว
กล่าวกันว่าทุกๆรอบหมื่นปีที่ระนาบเทพคู่ขนานชนกันนั้น จะทําให้ช่องทางเชื่อมต่อระหว่าระนาบเทพกับระนาบเทวโลกปิดตัวลง
และในเวลาเดียวกัน การชนกันของระนาบเทพคู่ขนานที่ว่าก็จะก่อให้เกิด “ระนาบสมรภูมิ” ขึ้นเช่นกัน
ที่แห่งนั้น เหล่าทวยเทพของแต่ละระนาบเทพจะเข้าไปเข่นฆ่าสังหารกัน และเมื่อตกตายในนั้นก็จะตกตายไปตลอดกาล!
อนิจจาหนทางเข้าออกกของระนาบสมรภูมิมีแต่ในระนาบเทพเท่านั้น เว้นเสียแต่ผู้คนของระนาบเทวโลกจะมีหนทางไปยังระนาบเทพได้ หาไม่แล้วก็ไม่มีสิทธิ์จะเข้าสู่ ระนาบสมรภูมิได้เลย
ตํานานเล่าขานกันมาว่า การบรรจบกันของระนาบเทพคู่ขนาน หรือแม้แต่การปรากฏขึ้นของระนาบสมรภูมินั้น ทั้งหมดเป็นฝีมือของผู้แข็งแกร่งที่สุด…และจากหลายๆเหตุผล ทําให้เชื่อว่า เป็นผู้แข็งแกร่งที่สุด ตัวตนอันทรงพลังสูงสุดในสวรรค์และโลก..สร้างขึ้นเพื่อความบันเทิงเท่านั้น!
ในขณะที่การชนกันของระนาบเทพก่อให้เกิดระนาบสมรภูมิ ด้านระนาบเทวโลกก็จะปรากฏระนาบที่มีลักษณะคล้ายคลึงกัน 2 แห่งท่ามกลางระนาบเทวโลกทั้งมวล และนั่นก็คือ สมรภูมิอเวจี กับสมรภูมิ 9 ยมโลก
ในสมรภูมิอเวจี ผู้ที่จะเข้าไปได้นั้น คือผู้ที่มีด่านพลังอยู่ในขอบเขตจอมราชันอมตะและไม่เกินขอบเขตจักรพรรดิอมตะ ด้านในมีทรัพยากรล้ําค่ารวมถึงโอกาสวาสนามากมาย ไม่ว่าจะค้นพบด้วยตัวเองหรือใช้แต้มรบเพื่อแลกกับโอกาสในการเข้าสู่แดนลับก็ตามแต่สะดวก และหากผู้ใดเก็บแต้มรบได้มากพอ ก็ถึงขั้นเปิดแดนลับสมบัติส่วนตัวได้!
สําหรับสมรภูมิ 9 ยมโลกนั้น มันคือสถานที่ๆมีไว้ให้ตัวตนด่านพลังจักรพรรดิอมตะเข้ามาเช่นฆ่ากันโดยเฉพาะ
จักรพรรดิอมตะไม่เว้นจักรพรรดิอมตะสมญานามหลายคนที่หมายเคี่ยวกรําตัวเองก็ล้วน แล้วแต่เข้าไปต่อสู้เข่นฆ่าในสมรภูมิ 9 ยมโลกกันทั้งนั้น และแต้มรบที่ได้มา ไม่เพียงแต่จะทําให้มีโอกาสได้รับทรัพยากรมากมาย ยังจะสร้างชื่อเสียงและนําเกียรติยศมาสู่ตัวเองได้อีกด้วย
ในระนาบเทวโลกแม้จักรพรรดิอมตะสมญานามจะไม่ได้มีมากมายอะไร แต่ก็ไม่ถือว่าน้อยเช่นกัน
เช่นนั้นจักรพรรดิอมตะสมญานามคนไหนที่คิดประกาศศักดิ์ดา หิวแสง อยากโดดเด่น สมรภูมิ 9 ยมโลกนับว่าตอบโจทย์เป็นที่สุด!
เพราะเมื่อเข้าสู่สมรภูมิ 9 ยมโลกแล้ว พื้นเพความเป็นมาล้วนไว้สําคัญ ที่สําคัญคือแต้มรบในมือ หากสะสมแต้มรบได้สูงถึงระดับหนึ่งก็จะได้รับยศนักรบ ยศนักรบที่ว่าจะได้รับตามจํานวน แต้มรบที่เคยได้มา ไม่ใช่ความดีความชอบอันใด และไม่ว่าจะใช้จ่ายแต้มรบไปเท่าไหร่ แต่ทว่าแต้มรบที่เคยได้มาก็จะมียอดสะสมเอาไว้จัดระดับยศนักรบ
ผู้ที่มียศนักกรบสูงๆ ก็จะมีโอกาสได้เข้าแดนลับมากขึ้น
และนั่นเป็นรางวัลสมนาคุณพิเศษจากสมรภูมิ 9 ยมโลก
“ไม่ว่าจะสมรภูมิอเวจี หรือสมรภูมิ 9 ยมโลก ผู้ที่อยู่เบื้องหลังสายธารโลหิตขุนเขาซากศพทั้งหลาย ล้วนแล้วแต่เป็นผู้แข็งแกร่งที่สุดทั้งหมด…เพราะในสายตาของผู้แข็งแกร่งที่สุด ไม่ว่าจะสมรภูมิอเวจีก็ดี สมรภูมิ 9 ยมโลกก็ดี กระทั่งสมรภูมิรบของระนาบเทพทั้งหมดเป็นดั่งเกมที่พวกมัน เอาไว้ละเล่นแก้เบื่อเท่านั้น”
นี่คือสิ่งที่วารีเทพชําระโลกากล่าวบอกตัวนหลิงเทียน
“สมรภูมิรบทั้ง 3 แบบ ล้วนเป็นดั่งสวนสนุกที่เหล่าผู้แข็งแกร่งสร้างขึ้น สิ่งของภายในนั้น ไม่ว่าจะทรัพยากรก็ดีจะโอกาสวาสนาอะไรก็ดี แม้ในสายตาของคนในระนาบเทวโลก พวกมันจะเป็นสิ่งของล้ําค่ายากครอบครอง แต่ในสายตาของเหล่าผู้แข็งแกร่งที่สุดนั่นก็แค่ขยะเหลือเดนที่พวก มันไม่ต้องการ เช่นนั้นแทนที่จะทิ้งขยะเหลือเดนไปเปล่าๆ พวกมันก็แค่สร้างสมรภูมิรบทั้ง 3 แบบขึ้นมา แล้วโยนขยะเหลือเดนลงไปให้ผู้คนเข้าไปเข่นฆ่าแย่งชิงสนองความสุขเล็กๆของพวกมัน”
“กระทั่งเหล่าผู้แข็งแกร่งที่สุดที่ว่างไม่มีอะไรทําหลายคน ก็มักจะมารวมตัวกัน เพื่อเดิมพันกับผู้คนที่เข้าไปเข่นฆ่ากันในสมรภูมิทั้ง 3 แบบ…”
ครั้งแรกที่ได้ยินเรื่องราวดังกล่าวจากวารีเทพชําระโลกา ต้วนหลิงเทียนก็รู้สึกสะอิดสะเอียนนัก และไม่อยากเข้าไปยังสมรภูมิใดๆ เพื่อไม่ให้ตัวเองกลายเป็นแค่ตัวหมากกระจ้อยหรือสิ่งเดิมพันสร้างความบันเทิงให้ผู้อื่น…
แต่หลังจากคิดอีกครั้ง เขาก็พอจะทําใจได้
ก็ใช่ที่เหล่าผู้แข็งแกร่งที่สุดสร้างทั้งหมดขึ้นมาเพื่อแก้เบื่อ
แต่ก็ไม่ใช่แค่คนของระนาบเทวโลกเท่านั้นที่ถูกปฏิบัติเป็นดั่งของเล่นอย่างเดียว กระทั่งเหล่าเทพในระนาบทวยเทพเองก็ไม่ต่างอะไรกัน! ทั้งหมดล้วนเป็น “ของเล่น”ของผู้แข็งแกร่งที่สุดทั้งสิ้น!!
“ผู้ใดไม่อยากถูกคนอื่นมองว่าเป็นแค่ตัวหมากหรือของเล่นสร้างความบันเทิงก็มีแต่ต้องยกระดับตัวเองขึ้นไปให้สูงพอ”
คําพูดของวารีเทพชําระโลกา แน่นอนว่าสร้างแรงบันดาลใจให้ต้วนหลิงเทียนเช่นกัน
หากท่านอ่อนแอ โลกนี้มันก็จะกลายเป็นโหดร้าย และชีวิตท่านก็เยี่ยงสุนัขตัวหนึ่งที่อาจถูกอื่นเขาจูงจมูกเอาง่ายๆ
อย่างไรก็ตาม วันใดที่ท่านอยู่เหนือสวรรค์และโลก เช่นนั้นท่านก็ไม่จําเป็นต้องสนใจกฏของสวรรค์และโลกอะไรสืบไป
มันคือสัจจะนิรันดร์
หากไม่อยากถูกผู้แข็งแกร่งที่สุดเห็นเป็นแค่สิ่งสร้างความบันเทิง ไม่อยากเป็นแค่ตัวหมากให้พวกมันใช้เดิมพัน เช่นนั้นท่านก็จงแข็งแกร่งให้เหนือกว่าผู้แข็งแกร่งที่สุดเหล่านั้นเสีย!
“นี่เจ้า คิดจะเข้าไปยังสมรภูมิอเวจีจริงๆหรือ!?”
จี้หนิงอวิ๋นเอ่ยออกเสียงขรึม “ในสมรภูมิอเวจี จริงอยู่ที่มีโอกาสวาสนาและทรัพยากรเลิศล้ำสําหรับจอมราชันอมตะเช่นเจ้า อีกทั้งทรัพยากรและโอกาสภายในนั้น ยังเหนือล้ำสุดที่ขุมกําลังระดับสวรรค์ หรือแม้แต่พระราชวังจักรพรรดิสวรรค์แห่งไหนจะมอบให้ได้”
“อย่างไรก็ตาม ยิ่งผลประโยชน์มากเท่าไหร่ สิ่งที่จะตามมาก็คืออันตรายที่มากขึ้นเท่านั้น”
“ในสมรภูมิอเวจี มีเพียงทางเดียวเท่านั้นที่จะได้แต้มรบจากผู้อื่น…นั่นก็คือเข่นฆ่าผู้อื่นแล้วช่วงชิงแต้มรบมา!”
“ถึงแม้พลังของเจ้าจักแข็งแกร่งมิใช่ชั่ว ถึงขั้นต้านทานรับมือจักรพรรดิอมตะสมญานามของวังเทียนฉือได้แต่ข้าคิดว่าวิธีของเจ้าคงมิอาจใช้ได้บ่อยครั้งกระมัง? นอกจากนั้นยังมีตัวประหลาดจอมราชันอมตะสมญานามอีกไม่น้อยที่มีพลังพอๆกับจักรพรรดิอมตะสมญานาม แต่สุดท้ายก็เอาชีวิตไปทิ้งที่นั่น”
“เนื่องเพราะเมื่อเจ้าเข้าไปด้านในแล้ว เจ้าก็มีโอกาสพบเจอกลุ่มจอมราชันอมตะสมญานาม ที่เชี่ยวชาญในการล่าสังหารจอมราชันอมตะสมญานามที่โดดเด่นจนเทียบได้กับจักรพรรดิอมตะสมญานามโดยเฉพาะ!”
“หากเป็นไปได้ ถึงแม้เจ้าจะไม่ไปเผ่ามังกรของข้า…แต่อย่างน้อยๆก็ลองไปที่พระรา ชวังจักรพรรดิสวรรค์งี้เมียเทียนเถอะ ฟงชิงหยางกลับมาเมื่อไหร่ มันต้องปลูกฝังเจ้าอย่างดีในฐานะผู้สืบทอดแน่ ถึงตอนนั้นเจ้าก็จะก้าวหน้าขึ้นในเวลาอันสั้น ทั้งยังปลอดภัยและมั่นคงกว่ากันเยอะ”
ทั้งหมดที่จหนิงอขึ้นกล่าวมา เห็นชัดว่าพยายามโน้มน้าวให้ต้วนหลิงเทียนล้มเลิกความตั้งใจเข้าสู่สมรภูมิอเวจี
“ท่านอาวุโส ท่านอย่าได้เกลี้ยกล่อมข้าอีกเลย”
ต้วนหลิงเทียนส่ายหัวไปมา “ข้าตัดสินใจไปแล้ว”
“สมรภูมิอเวจี”
กระทั่งเสี่ยวเฮย เสี่ยวไป๋ และเสี่ยวจินเองก็ตกใจกับสิ่งที่ต้วนหลิงเทียนพูดมาไม่น้อย พวกมันเองก็พอรู้มาบ้างว่าสมรภูมิอเวจีที่ว่าคืออะไร ทําให้ถึงพวกมันจะรู้ว่าด้านในมีโอกาสวาสนาและทรัพยากรล้ำค่า แต่พวกมันก็ไม่เคยคิดจะเข้าไปสักครั้ง เพราะด้านในมันมีอันตรายรอบด้าน กระทั่งอัจฉริยะขอบเขตจอมราชันอมตะที่ร้ายกาจทัดเทียมจักรพรรดิอมตะสมญานามยังตกตายกัน มานักต่อนักแล้ว
“ถึงเจ้าจะมีมังกรชั่วร้าย 2 ตัวนั่นในโลกใบเล็กภายในกาย แต่เพราะพวกมันอยู่ในขอบเขตจักรพรรดิอมตะ ทําให้ถึงพวกมันจะซ่อนอยู่ในโลกใบเล็ก แต่เจ้าก็ไม่อาจนําพวกมันเข้าไปได้แน่”
“กฏที่ผู้แข็งแกร่งที่สุดตราไว้ ไม่มีผู้ใดสามารถฝ่าฝืนได้”
จี้หนิงอวิ๋นกล่าวต่อ
“ข้าไม่ได้คิดจะใช้พวกมันแต่แรก”
ต้วนหลิงเทียนคลี่ยิ้มบางๆให้จี้หนิงอวิ๋น เรื่องที่นางพูดมาเขารู้แต่แรกแล้ว วารีเทพชําระโลกาได้บอกเขาว่าต่อให้มังกรชั่วร้ายทั้ง 2 หรือจักรพรรดิอมตะคนอื่นๆจะซ่อนตัวในโลกใบเล็กภายในกายเขา แต่เขาก็ไม่อาจพาพวกมันเข้าไปที่นั่นได้
อย่างไรก็ตาม วารีเทพชําระโลกายังบอกอีกว่า ภายในสมรภูมิอเวจี เทพเบญจธ เข้าไปได้ที่สําคัญยังสามารถใช้พลังของเทพเบญจธาตุได้อีกด้วย!
ด้วยเหตุนี้ต้วนหลิงเทียนจึงไม่กลัวอันตรายในสมรภูมิอเวจีสักเท่าไหร่
“พี่ใหญ่หลิงเทียน ข้าจะไปกับท่านด้วย”
เมื่อตระหนักได้ว่าสมรภูมิอเวจีอันตรายแค่ไหน เสี่ยวจินก็กล่าวกับตัวงหลิงเทียนด้วยสีหน้าจริงจัง ท่าทางของนางไม่เหลือความขี้เล่นซุกซนเหมือนตอนปกติอยู่เลย
“พี่ใหญ่หลิงเทียน ข้าก็จะไปกับท่านด้วย”
เสี่ยวไป๋เองยังจะไปด้วยอีกคน
“พี่ใหญ่หลิงเทียนข้าก็ด้วย”
เสี่ยวเฮยที่พูดน้อยก็ลั่นวาจาเป็นมั่นเหมาะ
“พวกเจ้าเด็กน้อยทั้ง 3 นี่ไม่รู้หรือไรว่าสมรภูมิอเวจีอันตรายเพียงใด! พวกเจ้าคิดจะทําอะไร กัน!?”
จี้หนิงอวิ๋นโพล่งคําออกมาอย่างอุ่นเคือง ตอนนี้นางเริ่มรู้สึกเสียใจที่ปล่อยให้เสียวเฮยกับเสี่ยวไป๋ออกมาแล้ว หากนางรู้ว่าคนที่ทั้ง 2 ตามหาที่แท้เป็น “คนบ้าที่คิดจะเข้าสู่สมรภูมิอเวจีเพื่อเสี่ยงภัย นางไม่มีวันปล่อยให้ทั้งคู่ออกมาพบเจอเด็ดขาด
ในประวัติศาสตร์ของเผ่ามังกร มีมังกรเทพยยดา 9 กรงเล็บขอบเขตจอมราชันอมตะที่มีความแข็งแกร่งพอๆกับจักรพรรดิอมตะสมญานามหลายคน ที่คิดว่าตัวเองแน่ แต่สุดท้ายก็เอาชีวิตไปทิ้งในสมรภูมิอเวจี!
ในบรรดาคนเหล่านั้น ยังรวมถึงอดีตลูกศิษย์ 2 คนของนางด้วย
ทั้งคู่อายุยังน้อย แถมยังเป็นคู่รักกัน แต่สุดท้ายก็พากันไปตายในสมรภูมิอเวจี ด้วยเหตุนี้นางจึงชิงชังรังเกียจสมรภูมิอเวจจับใจ กับคนอื่นในเผ่านางยังห้ามไม่ให้เข้าไป นับประสาอะไรกั เสี่ยวเฮยและเสี่ยวไป๋!
เพราะไม่ว่าจะเสี่ยวเฮยหรือเสี่ยวไป๋ ก็เปรียบดั่งความหวังของเผ่ามังกรยุคปัจจุบัน
ทั้งคู่มีแนวโนมจะวิวัฒน์เป็นมังกรเทพยดา 10 กรงเล็บมากที่สุด
อย่างไรก็ตาม นางก็ล่วงรู้อารมณ์และนิสัยของทั้ง 2 ดี จึงรู้ว่าหากห้ามปรามอย่างแข็งขึ้น ยิ่งพูดทั้งคู่ก็ยิ่งนั้น
ดังนั้นนางจึงหันไปมองต้วนหลิงเทียน และส่งเสียงผ่านพลังไปคุยด้วยทันที “ต้วนหลิงเทียน ข้าแนะนําเจ้าว่าอย่าได้ไปสมรภูมิอเวจีเสียประเสริฐกว่า….นอกเสียจากเจ้าจะสามารถใช้พลังระดับที่จัดการจักรพรรดิอมตะสมญานามของวังเทียนฉือผู้นั้นได้ตามใจชอบ หาไม่แล้วต่อให้เจ้าจะมีพลังระดับนั้นแต่มอาจใช้ได้ตลอด เจ้าเข้าไปก็เสมือนกับไปรนหาที่ตายเท่านั้น”
“ในอดีตข้าเคยมีศิษย์อยู่ 2 คน และพวกมันยังเป็นคู่รักที่ฝึกเคล็ดบําเพ็ญคู่อีกด้วย ทําให้ยามทั้งคู่ผสานพลังลงมือ สามารถระเบิดพลังที่สามารถสังหารได้กระทั่งจักรพรรดิอมตะสมญานาม แต่สุดท้ายทั้งคู่ก็ยังต้องทิ้งชีวิตไว้ที่นั่น…”
“สมรภูมิอเวจี ไม่ได้มีแต่กลุ่มจอมราชันอมตะสมญานามที่ชมชอบล่าอัจฉริยะเท่านั้น….กระทั่งด่านทดสอบที่เจ้ามีโอกาสพบเจอด้านใน ก็เต็มไปด้วยอันตรายถึงขีดสุด”
“แต่หากเจ้าจะเข้าไปให้ได้จริง อย่างน้อยๆ ก็ช่วยห้ามปรามเจ้าเด็กดื้อทั้ง 2 นั่น ไม่ให้เข้าไปเสีย!”
“เสี่ยวจินเองถึงแม้จะไม่ใช่คนของเผ่ามังกรข้า แต่นางก็เป็นดั่งสมบัติของหุบจันทร์โลหิต..หากนางติดตามเจ้าไปยังสมรภูมิอเวจี ไม่พ้นคนจากหุบจันทร์โลหิตได้มาหาคววามจากข้าและตาแก่แน่ ถึงตอนนั้นเจ้าจะให้ข้าอธิบายพวกมันอย่างไร? สําหรับเสี่ยวเฮยกับเสี่ยวไป๋ ทั้งคู่ก็คือผู้ที่มีแนวโน้มจะวิวัฒนาการเป็นมังกรเทพยดา 10 กรงเล็บมากที่สุด!”
จี้หนิงอวิ๋นกล่าว
“อาวุโส สมรภูมิอเวจีเป็นดังดินแดนแห่งโอกาสสําหรับข้า แน่นอนว่วามันก็เป็นดินแดนแห่งโอกาสสําหรับเลี้ยวเฮย เสี่ยวไป๋ และเสี่ยวจินด้วย”
ต้วนหลิงเทียนได้แต่กล่าวกับจี้หนิงอวิ๋นอย่างลําบากใจ เพราะเขาเองก็ไม่อาจอธิบายพลังของเทพเบญจธาตุให้อีกฝ่ายฟังได้ ยังไม่อาจบอกได้ด้วยวากับพลังที่ใช้จัดการเหลยอิงนั้น เขาสามารถใช้มันได้อีกหลายรอบ! ถ้าเสี่ยวเฮยกับเสี่ยวไป๋คิดติดตามไปด้วยจริงๆ เขาจะหยุดทั้งคู่ทําอะไร? เต็มที่ก็แค่ปกป้องทั้งคู่ตอนอยู่ด้านในเท่านั้น
“เช่นนั้นถือซะว่าข้าขอร้องเจ้าเถอะ ได้หรือไม่?”
จี้หนิงอวิ๋นกล่าว “อย่างไรครั้งนี้เจ้านับว่าได้ตาแก่ของข้าช่วยเอาไว้..เจ้าก็มิใช่ว่าสมควรตอบแทนบุญคุณผู้อื่นหรือไร?”
ขณะกล่าวประโยคท้าย เสียงผ่านพลังของจี้หนิงอวิ๋นก็จริงจังขึ้นหลายส่วน ทําให้ต้วนหลิงเทียนรู้สึกกดดันไม่น้อย จึงได้แต่ยิ้มเงื่อนๆตอบกลับผ่านพลังไปว่า “อาวุโส ในเมื่อท่านยืนกรานถึงขนาดนั้นข้ายังจะพูดอะไรได้อีกเล่า? วางใจเถอะ เรื่องเกลี้ยกล่อมพวกมันข้าจัดการเอง”
ต้วนหลิงเทียนไม่คิดเลยว่าจี้หนิงอวิ๋นจะถึงกับยกเรื่องที่จื้อวี่เหนียนซึ่งช่วยเขาออกมาต่อรอง
ในเมื่ออีกฝ่ายมาซะขนาดนี้แล้ว เขายังจะทําอะไรได้อีกล่ะ?