War sovereign Soaring The Heavens – ตอนที่ 3670 : ป้ายบันไดสวรรค์

ตอนที่ 3670 : ป้ายบันไดสวรรค์

“ถูกขังอยู่ด้านในแบบนั้น ตายเสียดีกว่าอยู่จริงๆ”
ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจกับกลวิธีของนิกายหมอกเร้นลับซึ่งเป็นขุมกำลังระดับจอมราชันเทพแห่งนี้อยู่บ้าง และพอคิดถึงชะตากรรมของคนที่ถูกขังอยู่ในคุกที่เรียกว่าขั้นบันไดสวรรค์แห่งนี้ เขาก็อดเวทนาพวกมันขึ้นมาไม่ได้…
บางที อาจมีคนที่ถูกขังบางคนทนไม่ไหว จนสติแตกกลายเป็นบ้าไปแล้วกระมัง?
“ก็จริงของเจ้า และยังมีศิษย์มากมาที่ถูกขังในนั้นเลือกที่จะฆ่าตัวตาย ไม่ว่าจะเพราะทนกับความเหงาหรือความเครียดและความกดดันไม่ได้ก็ตามที”
ถังอู๋เยียนกล่าวสืบต่อ
“หากศิษย์สายในที่เข้าสู่บันไดสวรรค์ไม่อาจสู้กับผู้ที่เฝ้าแต่ละด่านได้เล่า มีโอกาสที่พวกมันจะถูกฆ่าบ้างหรือไม่?”
ต้วนหลิงเทียนถาม
“เรื่องเช่นนั้นไม่ค่อยจะเกิดขึ้นบ่อยนัก เว้นเสียแต่ศิษย์สายในที่เข้าไปจะประมาทเลินเล่อเอง…เจ้าคงเห็นแล้วกระมังว่าศิษย์สายในทุกคนก่อนจะเข้าไปในบันไดสวรรค์ จะได้รับแจกป้ายบางอย่าง?”
ถังอู๋เยียนกล่าว “นั่นก็คือป้ายบันไดสวรรค์ หากเจ้าสู้ผู้เฝ้าด่านไม่ไหว สามารถเปิดใช้อาคมในป้ายบันไดสวรรค์เพื่อทำการเคลื่อนย้ายออกมาได้ทันที”
“เว้นเสียแต่เจ้าจะไม่มีเวลาเปิดใช้ป้ายบันไดสวรรค์ จึงจะมีโอกาสถูกฆ่าตาย…แต่เรื่องทำนองนั้นเกิดขึ้นได้ยากมาก เพราะขั้นบันไดนั้น จะเริ่มจากผู้เฝ้าที่มีพลังฝีมือน้อยสุด และร้ายกาจขึ้นในแต่ละขั้น และแต่ละขั้นก็ไม่ใช่ว่าพลังฝีมือของผู้เฝ้าจะแตกต่างกันมาก…เช่นนั้นหากเจ้าสามารถผ่านด่านก่อนหน้าได้แม้จะตึงมือ ทว่าในด่านต่อไปแม้เจ้าจะผ่านไม่ไหวก็จริง แต่ก็ไม่ถึงกับไร้หนทางตอบโต้ถึงขั้นไม่มีเวลาเปิดใช้อาคมหลบหนีในป้ายบันไดสวรรค์หรอก”
…   ถังอู๋เยียนกล่าวอธิบายออกมาอีกครั้ง ทำให้ต้วนหลิงเทียนมีความเข้าใจบันไดสวรรค์เบื้องหน้ามากขึ้น
และกุญแจสำคัญในการแข่งขันไต่บันไดสวรรค์ ก็อยู่กับป้ายบันไดสวรรค์นั่นเอง
ยกตัวอย่างเช่น หากสามารถผ่านขั้นที่หนึ่งและขึ้นไปถึงชั้นที่ 2 ได้ ไม่เพียงป้ายจะบันทึกเวลาที่ใช้ในชั้นที่ 1 ป้ายยังบันทึกอีกว่าสามารถเอาตัวรอดในชั้นที่ 2 ได้นานเท่าใด พอกลับออกมาและส่งป้ายคืนให้อาวุโสหน้าบันได ก็จะได้รับการประเมินคะแนนออกมา
นอกจากนั้นป้ายบันไดสวรรค์ไม่ใช่แค่ป้ายที่มีไว้บันทึกคะแนนกับเวลาที่ใช้เท่านั้น มันยังเป็นดั่งยันต์ช่วยชีวิตอีกด้วย ขอเพียงรู้สึกว่าสู้ศิษย์ที่ถูกขังประจำด่านไม่ไหว แค่ยอมแพ้และเปิดใช้อาคมในป้ายเพื่อหลบหนีออกมาก็จบ
และในขณะที่ถังอู๋เยียนกล่าวอธิบายให้เขาฟังนั้น ต้วนหลิงเทียนก็พบว่า จุดแสงที่สมควรเป็นชายซึ่งเดิมพันกับสหายที่ยอมแพ้ในบันไดขั้นที่ 3 ได้วูบไปอยู่บนบันไดขั้นที่ 3 เรียบร้อยแล้ว
ขณะเดียวกันศิษย์ที่ยอมแพ้ในขั้นที่ 3 ดังกล่าว ก็เอาแต่มองจ้องจุดแสงที่พึ่งโผล่ในชั้นที่ 3 ไม่วางตา ปากยังขมุบขมิบพึมพำว่า ‘แพ้ออกมา รีบแพ้ออกมาเสีย’ ไม่หยุด ราวกับหมอผีกำลังร่ายคำสาปแช่งอย่างไรอย่างนั้น
อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ไม่มีใครสนใจการสาบแช่งของมัน สายตาของผู้คนต่างพากันจับจ้องไปยังต้วนหลิงเทียนไม่วางตา
ในสายตาที่จับจ้องมาก็เต็มไปด้ความอิจฉา บางคนยังฉายความริษยาออกชัด
เนื่องเพรา ะถังอู๋เยียน นั้นเป็นคนที่ได้รับการขนานนามว่าโฉมงามอันดับ 1 ของนิกายหมอกเร้นลับ ซึ่งนั่นก็ไม่ต่างอะไรจากคนรักในฝันของศิษย์ชายหลายๆคนในนิกายหมอกเร้นลับ ปกติแล้วนางมักแลดูเย็นชายากเข้าถึง ไม่ค่อยได้ใกล้ชิดสนิทสนมกับใครมาก ไม่ต้องกล่าวถึงศิษย์สายในที่เป็นผู้ชายเลย
“ว่าแต่ ปกติแล้วศิษย์สายในที่ยังมีด่านพลังอยู่ในขอบเขตเทพนั้น จะขึ้นไปได้มากสุดกี่ชั้นหรือ?”   ต้วนหลิงเทียนเอ่ยถามถังอู๋เยียน
บันไดสวรรค์เบื้องหน้า เขานับได้ 19 ขั้น
ตอนนี้เขาเห็นว่าในบันไดสวรรค์นั้น มีจุดแสงกระพริบวูบวาบอยู่ต่ำกว่าขั้นที่ 12 ทั้งสิ้น
ตั้งแต่บันไดขั้นที่ 12 ขึ้นไป กลับไม่มีจุดแสงสักดวง
แถมบนบันไดขั้นที่ 11 นั้น ยังมีจุดแสงกระพริบอยู่แค่ดวงเดียวเท่านั้น
“การแข่งขันไต่บันไดสวรรค์ครั้งสุดท้าย มีศิษย์สายในขอบเขตเทพ 3 คนสามารถขึ้นไปถึงขั้นที่ 8…หนึ่งในนั้นก็คือฉีอวี่ที่ไปท้าประลองกับเจ้าครั้งแล้วครั้งเล่าในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา”
ถังอู๋เยียนกล่าว “และในการแข่งขันบันไดสวรรค์ครั้งสุดท้าย 3 คนที่ว่าก็เลือกจะถอนตัวในขั้นที่ 8 กันหมด…ทำให้ใครที่สามารถอยู่ในขั้นที่ 8 ได้นานสุดจึงได้รับอันดับ 1 ไปโดยปริยาย”
“ครั้งก่อนถึงแม้ผลงานของฉีอวี่จะดี แต่มันก็ไม่ใช่อันดับ 1 ได้แค่อันดับที่ 3 เท่านั้น”
คำพูดของถังอู๋เยียน ทำให้ต้วนหลิงเทียนเข้าใจระดับความยากของบันไดสวรรค์คร่าวๆ
อีกทั้งการแข่งขันไต่บันไดสวรรค์ ก็ไม่ได้มีไว้สำหรับศิษย์สายในขอบเขตเทพอย่างเดียว แต่ยยังรวมถึงศิษย์สายในที่ด่านพลังบรรลุถึงขอบเขตราชาเทพเช่นกัน บรรดาจุดแสงที่ส่องสว่างบนบันไดขั้นที่ 9 ขึ้นไป เห็นได้ชัดว่าพวกมันสมควรเป็นศิษย์สายในที่บรรลุถึงขอบเขตราชาเทพกันแล้ว
สุดท้าย อันดับที่ 1 ของศิษย์สายในขอบเขตเทพครั้งก่อน ก็หยุดลงที่ขั้นที่ 8 เท่านั้น
และโดยปกติแล้ว ศิษย์สายในคนนั้น ก็เสมือนตัวแทนยอดฝีมือที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาศิษย์สายในขอบเขตเทพ
“อันดับจะถูกสรุปหลังจากการแข่งขันไต่บันไดสวรรค์จบลง…พอถึงตอนนั้นทางนิกาก็จะมอบรางวัลให้กับเหล่าศิษย์สายในที่ติด 10 อันดับแรก แบ่งออกเป็นรางวัลของศิษย์สายในขอบเขตเทพ 4 คน ส่วนที่เหลือจะเป็นของขอบเขตราชาเทพ”   หลังได้ฟังคำแนะนำของถังอู๋เยียน ต้วนหลิงเทียนก็บังเกิดความคึกคักอยากลองเข้าไปในบันไดสวรรค์ขึ้นมา แต่ทันใดนั้นเอง จุดแสงเล็กๆบนบันไดขั้นที่ 3 ที่เขาให้ความสนใจก่อนหน้า อยู่ๆก็หายวับไปจากบันไดขั้นที่ 3 จากนั้นศิษย์สายในที่กล่าวเย้ยเยาะสหายก่อนหน้าก็ปรากฏตัวขึ้นมา เมื่อออกมาแล้วมันก็มอบหินเทพคืนให้ศิษย์อีกคนด้วยสีหน้าหม่นหมอง “บ้าเอ๊ย อีกแค่นิดเดียวข้าก็จะขึ้นไปถึงขั้นที่ 4 ได้แล้ว! ไม่คิดเลยว่าเจ้าบ้านั่นมันถึงกับใช้กระบวนท่าตายตกไปตามกัน!!”
“ถึงตอนนั้นมันเอาชนะข้าได้แล้วอย่างไร? ด้วยสภาพแวดล้อมเช่นนั้นมันไหนเลยจะรักษาตัวได้ ไม่พ้นต้องนอนเน่าตายในนั้นอยู่ดี!” ไอลีนโนเวล
เห็นได้ชัดว่าชายหนุ่มที่พึ่งออกมา กำลังก่นด่าศิษย์ที่ที่ถูกขังอยู่ในโลกใบเล็กดั่งคุกในขั้นที่ 3 …
“ฮ่าๆๆๆ…อย่าอ้าง! ขึ้นไม่ได้ก็คือขึ้นไม่ได้ ยังอ้างให้เปลืองน้ำลายทำเพื่อ? การแข่งขันบันไดสวรรค์พลาดแล้วก็คือพลาดเลย คิดจะขึ้นไปอีกครั้งก็ต้องครั้งหน้าถ่ายเดียว!”
ศิษย์สายในที่ส่งมอบหินเทพไปก่อนหน้า พอได้รับหินเทพกลับคืน สีหน้าอึมครึมของมันก็กลายเป็นยิ้มร่าทันที ราวกับอารมณ์ขุ่นมัวก่อนหน้าหายไปหมดสิ้นตั้งแต่เห็นสหายจบที่ขั้น 3
การทะเลาะของศิษย์ทั้ง 2 ก็เป็นฉากเล็กๆที่เห็นได้เป็นประจำในการแข่งขันไต่บันไดสวรรค์
“พวกเจ้าดูนั่น ศิษย์พี่ฉีอวี่ขึ้นไปถึงขั้นที่ 8 อีกแล้ว!”
ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนหันกลับไปให้ความสนใจกับบันไดสวรรค์เบื้องหน้าอีกครั้ง เขาก็ได้ยินเสียงอุทานหนึ่งดังขึ้น จากนั้นก็หันไปมองังบันไดขั้นที่ 8 ทันที และพบว่ามีจุดแสงเล็กๆดวงหนึ่งพึ่งจะส่องสว่างขึ้นบนบันไดขั้นที่ 8
จุดแสงเล็กๆดวงนั้น เดิมทีก็อยู่ในบันไดขั้นที่ 7
“คราวนี้ศิษย์พี่ฉีอวี่ใช้เวลาในขั้นที่ 7 น้อยกว่าเดิมมาก…ดูเหมือนพลังฝีมือศิษย์พี่จะก้าวหน้าขึ้นไม่น้อย”
ศิษย์สายในบางคนยังกล่าวออกมาด้วยความทอดถอนใจ
“ฉีอวี่?”
ทันใดนั้นมุมปากต้วนหลิงเทียนพลันยกยิ้มแสยะเย้ยหยันขึ้นมา ถึงแม้เขาจะไม่เคยเห็นหน้าศิษย์สายในนามฉีอวี่ที่ว่า แต่เขาก็รู้ได้ไม่ยากว่าอีกฝ่ายสมควรเป็นคนที่ถูเฟิงส่งมาหาเรื่องเขา
เขาไม่ได้แปลกใจอะไรที่อีกฝ่ายมาท้าเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่าในขณะที่เขาปิดด่านบ่มเพาะ เพราะเขารู้ดีว่าอีกฝ่านั้นถูกถูเฟิงส่งมาให้จับตาดูเขา และหาเรื่องกวนใจเขา
“ขั้นที่ 8 รึ?”
ต้วนหลิงเทียนเหลือบมองจุดแสงดวงเล็กๆ ซึ่งสมควรเป็นฉีอวี่ที่กระพริบวูบวาบบนบันไดสวรรค์ขั้นที่ 8 ต่อครู่หนึ่ง จากนั้นก็เหินร่างไปหยุดลงเบื้องหน้าชายชราที่ยืนเฝ้าหน้าบันไดสวรรค์ “ผู้อาวุโส ข้าคือศิษย์สาในนามต้วนหลิงเทียน เป็นเทพขั้นกลาง และอยากเข้าร่วมแข่งขันการไต่บันไดสวรรค์”
ก่อนหน้าต้วนหลิงเทียนก็ได้ยินศิษย์คนอื่นๆที่มารับป้ายจากชายชรา เพียงกล่าวบอกฐานะ ชื่อ และด่านพลัง เขาก็เลยทำตาม
ด้านชายชราหลังได้ยินคำพูดของต้วนหลิงเทียน จากแต่เดิมที่ไม่เคยแยแสศิษย์สายในคนไหน บัดนี้กลับมองถามต้วนหลิงเทียนด้วยความประหลาดใจ “หืม? เจ้าก็คือต้วนหลิงเทียน? ศิษย์สายในคนใหม่จากสถานศึกษาหมอกเร้นลับของเมืองวายุสวรรค์คนนั้นรึ?”
“ข้าเอง ท่านอาวุโส” ไอลีนโนเวล
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้าตอบคำชายชรา
“ข้าเคยได้ยินชื่อชื่อเสียงเรียงนามของเจ้ามานานแล้ว แต่นี่นับเป็นครั้งแรกที่ได้พบเจ้า…ข้าหวังว่าเจ้าจักได้อันดับดีๆ”
ใบหน้าที่เฉเมยไร้แยแสของชายชรา บัดนี้พลันปรากฏรอยยิ้มหายากคลี่กางขึ้นมา พร้อมกันนั้นมันก็มอบป้ายหนึ่งให้ต้วนหลิงเทียน “ป้ายบันไดสวรรค์นี้ เพียงเจ้าถ่ายทอดพลังเทพลงไปเล็กน้อย ก็จะเป็นการเปิดใช้งานมัน”
“และหากเจ้าคิดจะกลับออกมา ขอเพียงเจ้าแผ่สำนึกเทวะลงไป มันก็จะพาเจ้ากลับออกมาทันที”
“ขอบคุณอาวุโส”
หลังต้วนหลิงเทียนกล่าวขอบคุณชายชรา เขาก็รับป้ายบันไดสวรรค์ดังกล่าวมา และเหินขึ้นไปยังบันไดสวรรค์ขั้นแรกทันที  และ ‘การดูแลเป็นพิเศษ’ ที่ต้วนหลิงเทียนได้รับจากชายชรา ก็ดึงดูดความสนใจของศิษย์จำนวนมาก “เจ้านั่นคือต้วนหลิงเทียนงั้นเหรอ? สัตว์ประหลาดจากเมืองวายุสวรรค์คนนั้น?”
“ข้ากำลังสงสัยอยู่เชียวว่าเจ้านั่นมันมีดีอย่างไร ถึงทำให้ถังอู๋เยียนชมชอบได้…”
“ปากสุนัขไม่มีงาช้างงอกเงยโดยแท้! ถังอู๋เยียนชมชอบมันกับผีสิ เจ้าอย่าพูดเหลวไหล!”
“ใช่ เจ้ามองอย่างไรของเจ้าถึงบอกว่าถังอู๋เยียนชมชอบมัน? ข้าเห็นว่านางเองก็รักษาระยะห่างกับมันอยู่ตลอด เต็มที่ก็แค่เพื่อนกันเฉยๆ”

ต้วนหลิงเทียนที่เข้าไปในบันไดสวรรค์ขั้นแรกแล้ว ย่อมไม่ได้ยินเสียงสนทนาเซ็งแซ่ของเหล่าศิษย์ แต่ด้านถังอู๋เยียนย่อมได้ยินมันชัดเจน แต่นางก็ไม่ได้ใส่ใจอะไร สองตาดั่งสารทฤดูของนางเพียงเผยประกายสงสัยวาบหนึ่ง จับจ้องไปยังจุดแสงดวงเล็กๆที่เป็นตัวแทนของต้วนหลิงเทียน
เดิมทีนางไม่ได้สนใจอะไรศิษย์สายในคนใหม่ของนิกายหมอกเร้นลับที่มาจากเมืองวายุสวรรค์มากนัก แต่หลังจากได้พบคนเข้าจริงๆวันนั้น อีกฝ่ายกลับแลดูเฉยชากับนาง คล้ายไม่สนใจนางเลย นางจึงบังเกิดความปรารถนาอยากเอาชนะขึ้นมา
นาง ถังอู๋เยียน เป็นถึงโฉมงามอันดับ 1 แห่งนิกายหมอกเร้นลับ ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่มีบุรุษเฉยเมยกับนางเช่นนี้?
นางยังคงจดจำได้เป็นอย่างดีว่าวันนั้นในขณะที่นำต้วนหลิงเทียนไปชมดูที่ทางของนิกายฝ่ายใน แต่ต้นจนจบต้วนหลิงเทียนไม่ได้แยแสนางเลย ราวกับไม่เห็นความงามของนางอยู่ในสายตา
ถึงแม้นางจะไม่เคยคิดเป็นแจกันดอกไม้ แต่รูปโฉมอันงดงามก็เป็นหนึ่งในความมั่นใจของนางเช่นกัน หากทว่าพออยู่ต่อหน้าต้วนหลิงเทียน ความมั่นใจดังกล่าวกลับแหลกลงไม่มีชิ้นดี!
บางครั้งจิตใจอิสตรีก็พิกลนัก
ปกติมักผลักไสบุรุษที่อยู่รอบกาย  แต่พอมีบุรุษคนไหนเพิกเฉยไม่ไยดี กลับกระตุ้นความสนใจขึ้นมา…

ต้วนหลิงเทียนย่อมไม่ทราบความคิดในหัวถังอู๋เยียนเป็นธรรมชาติ
ในปัจจุบัน หลังจากเขาได้รับป้ายบันไดสวรรค์มาและเข้าไปยังบันไดสวรรค์ขั้นแรก เขาก็มาถึงพื้นที่อิสระแห่งหนึ่ง ซึ่งไม่ต่างอะไรจากพื้นที่ในแหวนสักเท่าไหร่ เพราะมันไม่มีแสงสว่างใดๆมีก็แต่ความมืดมิดเท่านั้น
เห็นได้ชัดว่านี่เป็นดั่งระนาบอิสระ หรือไม่ก็โลกใบเล็กในบันไดสวรรค์ที่นิกายหมอกเร้นลับใช้คุมขังศิษย์ที่กระทำผิด
วิ้งงง!
หลังจากต้วนหลิงเทียนปรากฏตัวขึ้นไม่ทันไร จากนั้นก็บังเกิดแสงสว่างท่ามกลางความมืดมิด จากนั้นไม่เพียงแต่สภาพแวดล้อมโดยรอบต้วนหลิงเทียนจะปรากฏขึ้นมาในฉับพลัน ยังปรากฏร่างหนึ่งที่เป็นต้นกำเนิดแสงสว่าง พร้อมเสียงกล่าวถามด้วยความเกียจคร้านดังขึ้น
ตอนนี้พอมองไปก็พบว่ารอบๆเป็นหุบเขาเล็กๆอันรกร้างว่างเปล่า และนอกหุบเขาเล็กๆ ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็เห็นแต่ความมืดมิด แถมในหุบเขายังมีจุดที่มืดมิดจนแสงไม่อาจส่องผ่านอีกด้วย
เห็นได้ชัดว่ามันถูกปิดกั้นด้วยกำแพงมิติบางอย่าง จนแสงไม่อาจทะลุผ่านได้
“การแข่งขันไต่บันไดสวรรค์เริ่มขึ้นอีกแล้ว?”
ต้วนหลิงเทียนที่มองไปยังต้นเสียงเกียจคร้าน ก็แลเห็นชายหนุ่มสารรูปมอซอคนหนึ่งค่อยๆลุกขึ้นยืนอย่างไม่รีบไม่ร้อน เปลวไฟที่ลุกโชนรอบกายมันซึ่งเป็นต้นกำเนิดแสงแห่งเดียวในหุบเขาเล็กๆแห่งนี้ เห็นได้ชัดว่าเกิดจากพลังเทพของมันผสานรวมเข้ากับกฏแห่งไฟ
“ใช่”
ต้วนหลิงเทียนเอ่ยตอบเสียงเรียบ
“ลงมือเถอะ”
ชายหนุ่มที่แลดูเกียจคร้านกล่าวคำ  “เจ้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้า”
ต้วนหลิงเทียนกล่าว
ตั้งแต่ที่เห็นชายหนุ่มเกียจคร้านสารรูปมอซอคนนี้ สำนักเทวะต้วนหลิงเทียนก็ได้แผ่ไปสำรวจด่านพลังฝึกปรือของมันเรียบร้อย จึงพบว่าอีกฝ่ายเป็นแค่เทพขั้นกลางเท่านั้น และกลิ่นอายพลังจากเปลวไฟที่ลุกโชนรอบๆก็บ่งบอกว่าความลึกซึ้งที่มันเข้าใจ ยังบรรลุไม่ถึงขั้นตอนความสำเร็จยิ่งใหญ่ทั้งหมดด้วยซ้ำ
“เจ้าก็เป็นแค่เทพขั้นกลาง หากข้าไม่ลองจะรู้ได้อย่างไรว่าข้าสู้เจ้าไม่ได้?”
ชาหนุ่มมอซอเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง
ต้วนหลิงเทียนส่ายหัวไปมาเบาๆ จากนั้นก็ปลดปล่อยพลังเทพออกมา ทั้งเผยพลังจากความลึกซึ้งของกฏมิติขั้นตอนความสำเร็จยิ่งใหญ่ทุกประการออกมาชัดๆ
ทันใดนั้น หุบเขาเล็กๆก็ตกอยู่ในความเงียบงันครู่หนึ่ง จนชายหนุ่มค่อยๆกล่าวออกมาอย่างทอดถอนใจว่า “ข้า…ยอมแพ้”

War sovereign Soaring The Heavens

War sovereign Soaring The Heavens

Status: Ongoing

จิตวิญญาณของผู้เชี่ยวชาญการใช้อาวุธในโลกปัจจุบัน ได้ทะลุข้ามไปยังโลกอื่นรวมเข้ากับความทรงจำของของเด็กหนุ่ม ที่ถูกกลั่นแกล้งตลอดเวลา จนกระทั้งขาดใจตาย

การฝึกฝนเทคนิค เก้ามังกรเทพสงคราม จะสามารถกวาดล้างศัตรูได้โดยไม่มีวันแพ้!

ขณะที่เขา มีความสามารถในการปรุงยา การสร้างอาวุธ และเชี่ยวชาญศิลปะการต่อสู้ …

ทักษะทั้งหมดนี้ คือวิถีทางแห่งราชันย์!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท