บทที่ 499 ก็เหมือนกับไปพบผู้ปกครอง
“ไม่… ฉันไม่ได้ไร้ยางอาย…” เงี่ยนอีหลิงโต้กลับด้วยน้ําเสียงแผ่วเบา
“เอ้อ ฉันเดาว่าเธอกําลังสัญญากับฉันว่าจะไม่กอดคนอื่นแบบนี้อีก”
“อือ…” เจี้ยนอีหลิงตอบขณะที่เธอส่งเสียงเล็กๆในลําคอ
เนื่องจากเธอไม่เงยหน้าขึ้น เงี่ยนอีหลิงจึงไม่เห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของจํายหวินเชิง
หลังจากลงบันไดไปแล้ว เงี่ยนอีหลิงก็เป็นเพื่อนจํายหวินเพิ่งไปที่คฤหาสน์ตระกูลจําย
คฤหาสน์ตระกูลจํายไม่ใช่อพาร์ตเมนต์ที่พวกเขาอาศัยอยู่ในตอนนี้ แต่เป็นคฤหาสน์ขนาดใหญ่ที่ท่านผู้เฒ่าจํายอาศัยอยู่
มีห้องพยาบาลอยู่ภายในคฤหาสน์หลังนี้ ห้องพยาบาลถูกสร้างขึ้นสําหรับจํายหวินเชิง
ภายในห้องมีอุปกรณ์ทางการแพทย์มากมาย นอกจากเจียนอีหลิงแล้ว ตระกูลนี้ก็ยังมีแพทย์ ส่วนตัวอีกคนหนึ่ง
อย่างไรก็ตาม จํายหวินเฉิ่งได้ต่อต้านการจัดการเช่นนี้มาโดยตลอด
แต่ครั้งนี้จํายหวินเพิ่งกลับมาตรวจร่างกายทุกเดือน
จํายหวินเพิ่งได้มาตรวจสุขภาพตามปกติเดือนละครั้ง
โดยปกติคนปกติต้องตรวจสุขภาพปีละครั้งเท่านั้น อย่างไรก็ตามตระกูลจํายเกลียดความจริงที่ว่าจํายหวินเซิ่งไม่ได้มาตรวจสุขภาพทุกสัปดาห์
หัวใจที่ไม่แข็งแรงอาจส่งผลต่อระบบไหลเวียนโลหิตทั้งหมด ซึ่งอาจนําไปสู่ปัญหากับอวัยวะอื่นในร่างกายได้เช่นเดียวกัน
ดังนั้นจึงจําเป็นต้องมีการตรวจร่างกายเป็นประจําเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีปัญหาอื่นในร่างกายของจํายหวินเพิ่ง
ทันทีที่ท่านผู้เฒ่าจํายเห็นเจี้ยนอีหลิงกับจํายหวินเชิงเข้าบ้านด้วยกัน เขาก็ไม่สามารถซ่อนรอยยิ้มบนใบหน้าไว้ได้
อาา… ผ่านไปหลายปีแล้ว เขารอคอยภาพนี้มาหลายปีแล้ว
คราวนี้ สุดท้ายเขาก็ได้เห็นฉากนี้
แม้ว่าจํายหวินเฉิ่งไม่ได้พาเธอกลับมาพบพ่อแม่ของเขา แต่พวกเขาก็อยู่ใกล้ชิดเคียงคู่กันแล้ว
นั่นก็เหมือนกับการพาเธอกลับบ้านไปพบพ่อแม่เขา
งานแต่งงานจะอยู่ไกลอีกแค่ไหนกันเชียว? และลูกหลานของเขาจะอยู่ไกลอีกแค่ไหนกัน?
ขณะที่แพทย์อีกคนกําลังตรวจจํายหวินเชิง จํายหวินเชิงก็หยิบหูฟังข้างตัวอย่างไม่ใส่ใจส่งให้เจียนอีหลิง
“ฟังเสียงหัวใจฉันสิ”
เจียนอีหลิงหยิบหูฟังขึ้นมาสวม
มือเล็กๆของเธอถือหูฟังและวางไว้บนหน้าอกของจํายหวินเชิง
เธอฟังเสียงหัวใจเขา
หัวใจเต้นดังขึ้นมาแต่ละครั้ง หัวใจของเขาเต้นแรง
การเต้นของหัวใจเขาเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าเขายังมีชีวิตอยู่
ในทางกลับกัน จํายหวินเชิงกําลังเฝ้ามองดูมือของเจียนอีหลิงเคลื่อนผ่านไปบนหัวใจเขา
เขาไม่รู้ว่าหัวใจเขาจะเต้นอีกนานแค่ไหน แต่ทว่า เขาก็หวังว่าทุกครั้งที่เธอฟัง เธอจะได้ยินเสียงหัวใจเขา
หลี่จั่วเจียมาถึงบ้านของฉินหงรุ่ย
ฉินหงรุ่ยเป็นลูกพี่ลูกน้องของผู้นําตระกูลฉินคนปัจจุบัน เขาอยู่ในตําแหน่งที่เป็นที่นับถือในครอบครัว
อย่างไรก็ตาม ในตอนนี้ เขามีเนื้องอกในสมอง สิ่งนี้ทําให้เขาประสบกับแขนขาอ่อนแรงนอกจากนี้ยังมีความเป็นไปได้ที่เขาจะเป็นลมได้ตลอดเวลา
นี่เป็นผลให้ฉินหงรุ่ยล้มหมอนนอนเสื่อมาเกือบเดือนแล้ว
หากไม่ได้รับการผ่าตัดเร็วๆนี้ เนื้องอกก็จะเติบโตและกดทับสมอง ส่งผลให้ความเสี่ยงในการผ่าตัดเพิ่มขึ้น
การผ่าตัดมีความเสี่ยงสูง ส่งผลให้โรงพยาบาลทั่วไปส่วนใหญ่ไม่สามารถรับประกันความสําเร็จของการผ่าตัดได้
ตระกูลฉินได้ปรึกษาโรงพยาบาลหลายแห่ง โรงพยาบาลต่างบอกพวกเขาว่าอัตราความสําเร็จของการผ่าตัดนั้นต่ําเหลือเกิน
เนื่องจากฉินหงรุ่ยไม่ต้องการเสี่ยง เขาจึงตัดสินใจใช้ชีวิตร่วมกับเนื้องอกในสมองต่อไปนั่นเป็นเพราะเขาสามารถมีชีวิตอยู่ได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น
เขายินดีจ่ายทุกอย่างเพื่อช่วยชีวิตของตัวเอง ชีวิตเขามีค่ามากกว่าเงิน
หลังจากคุยกับฉินหงรุ่ยได้ชั่วขณะ หลี่จั่วเจียก็ออกจากห้องไป อย่างไรก็ตาม เขาถูกใครบางคนขวางไว้ที่นอกประตู
“มิสเตอร์หลี่ มีคนต้องการคุยกับคุณ คุณพอที่จะสะดวกมากับพวกเราไหม?”
หน้าของหลี่จั่วเจียเยือกเย็นและดูใจเย็นเหลือเกินในขณะที่เขาตอบว่า “ผมเกรงว่าคงจะไม่ได้ผมมีแผนการทํางานอยู่แล้ว”
หลี่จั่วเจียสามารถคาดเดาตัวตนของอีกฝ่ายได้รวมไปถึงความตั้งใจของพวกเขา
เขารู้ตั้งแต่อีกฝ่ายเริ่มติดตามเขา
เขาเดาได้อย่างคร่าวๆว่า ฉินหงจื้อต้องการอะไร
บทที่ 500 ฉินหยูฝานโต้เถียงกับพ่อ
อย่างไรก็ตามฉินหงรุ่ยเป็นคนไข้ที่ผู้อํานวยการของพวกเขารับ เป็นผลให้พวกเขาไม่สามารถเปลี่ยนใจในเรื่องนี้ได้ ไม่ว่าฉินหงจื้อจะพูดอะไรหรือเสนอเงื่อนไขอะไรก็ตาม
การตอบกลับของหลี่จั่วเจียสร้างความยุ่งยากให้กับคนของฉินหงจื้อ พวกเขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องเปิดเผยตัวตนของเจ้านายของพวกเขา
“มิสเตอร์หลี่ นายของผมเป็นประธานของฉินกรุ๊ป”
หลี่จั่วเจียยิ้มเล็กน้อยก่อนจะตอบว่า “ผมขอโทษ ไม่ว่ายังไง ผมก็ยังมีการนัดหมายอื่นหลังจากนี้ถ้าประธานฉันมีเรื่องสําคัญจะพูดกับผม ก็โปรดนัดหมายกับผมในภายหลัง
คนของฉินหงจื้อไม่คาดคิดมาก่อนว่าหลี่ขั้วเจียจะเป็นคนที่รับมือยากและดื้อรั้นเช่นนี้
สิ่งนี้ทําให้เรื่องราวต่างๆนั้นกลายเป็นเรื่องยากเหลือเกินสําหรับพวกเขา อย่างไรก็ตาม พวกเขาก็ไม่กล้าที่จะบังคับหลี่จั่วเจียให้อยู่ ดังนั้นพวกเขาจึงต้องปล่อยให้เขาไปชั่วคราว
เนื่องจากลูกน้องของฉินหงจื้อไม่สามารถขอให้หลี่จั่วเจียไปกับพวกเขาได้ พวกเขาจึงทําได้เพียงกลับไปรายงานสถานการณ์ต่อนายของพวกเขา
ตอนที่พวกเขารายงานสถานการณ์ ฉินหยุฝานก็อยู่ในสํานักงานของฉินหงจื้อด้วย
เมื่อได้ยินรายงาน สีหน้าของฉันหยุฝานก็เปี่ยมไปด้วยความสุข
เธอพยายามอย่างยิ่งที่จะติดต่อกับคนจากโรงพยาบาลรั่วไห่เซิน เธอต้องการให้พวกเขาทําเคสของลุงเธอ ที่ทําให้เธอเซอร์ไพรส์ก็คือ พวกเขาได้ทําไปแล้ว
อย่างไรก็ตาม ฉินหงจื้อไม่มีความสุข
เขาโบกมือไล่คนเขาไป ก่อนที่จะพูดกับลูกสาวว่า “ทําไมแกถึงดูมีความสุข? แกรู้ไหมว่าตระกูลของเราจะเสียหายขนาดไหน ถ้าหุ้นที่ลุงแกเป็นเจ้าของตกไปอยู่ในมือของโรงพยาบาลรั่วไห่เซิน
“อืม ก็อาจมีความเป็นไปได้ที่จะเป็นอันตรายต่อตระกูลของเราและฉินกรุ๊ป แต่ว่า ชีวิตของก็มีความสําคัญมากเช่นกัน ถ้าเป็นเรื่องของความเป็นตายแล้ว เราไม่ควรคิดมากเกี่ยวกับเรื่องนี้เราควรพยายามรักษาเขาก่อน จากนั้นเราก็ค่อยคิดหาวิธีทําเงินให้ได้มากขึ้น”
“นี่หมายความว่าแกอยากจะรอจนหุ้นตกไปอยู่ในมือคนนอกงั้นเหรอ? นั่นไม่สายเกินไปเหรอลุงของแกปวยและสับสน แต่ว่า ทําไมแกต้องปวยและสับสนตามไปด้วย
“หนูไม่ได้สับสน ตั้งแต่เล็กที่ลุงคอยดูแลหนู ในสายตาของหนู ชีวิตของเขาสําคัญกว่าหุ้นที่เขาเป็นเจ้าของ”
ฉินหยฝานรู้ว่าลุงเธอเป็นผู้ชายที่ใจดีเหลือเกิน ย้อนกลับไปตอนนั้น เขามักจะยิ้มเสมอ
อย่างไรก็ตาม คําพูดของฉันหยุฝานสร้างความโกรธให้กับพ่อเธอ “แกต้องการให้มีชีวิตอยู่เพราะเขาสนับสนุนแกงั้นใช่ไหม”
สําหรับตอนนี้ ครึ่งหนึ่งของคณะกรรมการสนับสนุนฉินหยูฝาน ในขณะที่ อีกครึ่งหนึ่งสนับสนุนฉันชวน
และในบรรดาผู้ที่สนับสนุนฉินหยูฝานนั้น ฉินหงรุ่ยเป็นคนที่แบกน้ําหนักไว้มากที่สุด
ฉินหยูผ่านหัวเราะอย่างเย็นชาเมื่อได้ยินเช่นนี้ “โอ? พ่อไม่ต้องการให้อีกเขาสนับสนุนฉันเหรอ แล้วพ่อต้องการให้เขาสนับสนุนลูกนอกสมรสของพ่อหรือไงกัน? หรือพ่ออยากให้ลุงตาย? เขาเป็นลูกพี่ลูกน้องของพ่อนะ พ่อน่ะมีปูคนเดียวกันนะ”
“ฉินหยูฝาน ระวังสิ่งที่แกพูดด้วย ฉันเป็นพ่อแกและเด็กนอกสมรสที่แกกําลังพูดถึงก็คือพี่ชายแก”
“แม่คลอดฉันเท่านั้น ฉันไม่มีพี่ชาย”
เฉินหงจื้อลุกขึ้นในทันทีและเดินไปที่ฉินหยุฝาน เขาหยุดอยู่ตรงหน้าเธอและตบหน้าเธอ
“เพี้ยะ “
“ไร้สาระ แกเป็นคุณหนูจากตระกูลฉิน มารยาทของแกอยู่ที่ไหน ทําไมแกถึงยังดื้อดึงนัก? แกทําให้ฉันผิดหวังมาก”
ฉินหยูฝานยกมือขึ้นปิดหน้าครึ่งที่ถูกตบ เธอไม่ได้ร้องไห้ แต่กลับหัวเราะ
“มารยาทของหนูเหรอ? พ่อพาลูกนอกสมรสเข้ามาในตระกูลและพ่อก็กําลังบอกหนูว่าต้องมีมารยาท? ในสายตาของพ่อ คนเดียวที่มีมารยาทน่าจะเป็นลูกนอกสมรสของพ่อ อีกทั้งพ่อยังให้แม่เขาอยู่ในวิลล่าด้วยไม่ใช่เหรอ? พ่อวางแผนที่จะไปเยี่ยมเธอทุกสัปดาห์ใช่ไหม”
” แก” ฉินหงจื้อตะโกนขณะที่เอื้อมือขึ้นอีกครั้ง ดูเหมือนว่าเขากําลังคิดที่จะตีลูกสาวอีกครั้ง
“เอาเลยสิ” ฉินหยูฝานตะโกนกลับ เธอยื่นหน้าเข้าไปใกล้มือเขามากยิ่งขึ้น
มือของฉินหงจื้อเสื้อค้างกลางอากาศ
ทัศนคติของลูกสาวได้ที่มแทงเขา
เมื่อเขาเห็นว่าหน้าลูกสาวแดง ฉินหงจื้อก็เริ่มเสียใจกับการกระทําของตนเอง
เมื่อกี้เขาโกรธจัด
เรื่องของลูกพี่ลูกน้องเขายังไม่ได้รับการแก้ไข และลูกสาวเขาก็ไม่เข้าใจเขา ว่าไปแล้ว เธอปฏิเสธที่จะฟังเขาโดยสิ้นเชิง