“ฉัน……” ชางหลิงประหลาดใจมาก และรู้สึกเกรงใจ “ฉัน ฉันแค่ล้อเล่นเอง”
เธอแค่ล้อเล่นจริงๆ แม้จะเคยมีความคิดไม่ดี แต่เธอกล้าหลอกเขาที่ไหนกันล่ะ
“ฉันไม่ได้ล้อเล่น” โหมวยู่ตอบเธออย่างจริงจัง “ชางหลิง คำพูดที่ฉันเคยพูดกับเธอไม่ใช่เรื่องล้อเล่น”
สายตาเขาเด็ดเดี่ยวมาก เด็ดเดี่ยวจนชางหลิงรู้สึกเหมือนภาพลวงตา เธอหยิกขาตัวเองเบาๆ รับรู้ได้ถึงความรู้สึกเจ็บ
“ฉัน……” ชางหลิงกลัวแล้ว เธอเอากุญแจรถคืนโหมวยู่ “นี่มันแพงเกินไป ฉันรับไว้ไม่ได้ ถ้าฉันขับนี่ไปทำงานจริงๆ พรุ่งนี้คงได้ถูกว่าอะไรอีกแน่”
เธอแทบจะหนีออกไป ขนาดสายตาโหมวยู่ยังไม่กล้ามองเลย เธอวิ่งเข้าไปในลิฟต์
ทำไมถึง……
เธอนึกย้อนกลับไปในคืนวันนั้นที่โหมวยู่บอกกับเธอ เขาบอกว่าเขาจะอยู่กับเธอไปตลอดชีวิต ก็เหมือนกับการสารภาพรักแล้ว ถ้าโหมวยู่ไม่ได้ล้อเล่น หรือว่า……เพราะจะชอบเธอจริงๆ?
แต่ว่า ทำไมเขาถึงชอบเธอเข้าแล้ว? เธอมีอะไรคุ้มค่าพอให้เขามาชอบเหรอ?
ชางหลิงขังตัวเองไว้ นั่งอยู่บนเตียง รู้สึกหัวใจตัวเองเต้นเร็วกว่าปกติหลายเท่า ใบหน้าร้อนผ่าวขึ้นมา
“อะไรกัน ชางหลิง เขาพูดแค่นี้ก็ทำเธอตื่นเต้นแบบนี้เชียวเหรอ ใช้ไม่ได้เลย” ชางหลิงพูดเองเออเอง
แต่ว่า ระหว่างที่พูดอยู่นั้น ก็พลางนึกถึงคืนวันนั้นในตอนที่โหมวยู่ล้างตัวและเป่าผมให้กับเธอ
โหมวยู่ที่อ่อนโยน มีอยู่จริงใช่ไหม?
ทันใดนั้นเองสมองของชางหลิงเหมือนถูกเปิดออก ตาเธอเปล่งประกาย มีไอเดียออกแบบแล้ว
เธอรีบหยิบกระดานวาด วาดภาพในสมองที่ตนเองคิดขึ้นมาได้ออกมา
ดินสอกวัดแกว่งอยู่บนกระดาษมีเสียงฉึกๆเป็นระยะๆ โหมวยู่ยืนมองเธออยู่หน้าประตูใกล้ๆ ก็ยิ้มกว้างออกมาอย่างพอใจ
หลังจากนั้นสองวัน
นิทรรศการเสื้อผ้าในการแข่งขันต้นจัดขึ้นที่ห้องแสดงนิทรรศการ
หลังเวที ซูเสี่ยวเฉิงกับชางหลิงนั่งอยู่ด้วยกัน มองดูคนรอบข้างที่ทำงานของตัวเอง ก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา
“เสี่ยวหลิงหลิง เธอเตรียมตัวมาเป็นยังไงบ้าง? เวลาสองวัน จะกระทบถึงฝีมือของเธอหรือเปล่า” ซูเสี่ยวเฉิงไม่กังวลตัวเองเลย แต่กลับกังวลแทนชางหลิงมากกว่า
“ไม่เป็นไร ยังไงก็เป็นแบบนี้แล้ว ก็คงต้องสู้นั่นแหละ” ชางหลิงพูดแล้วก็มองโทรศัพท์ เป็นเวลาที่นางแบบเข้างานแล้ว งานนิทรรศการจะเริ่มต้นขึ้นแล้ว
งานนิทรรศการครังนี้เพราะเป็นการแข่งขันภายใน ดังนั้นนางแบบของดีไซเนอร์ทุกคนจะแยกกัน ดังนั้น ระหว่างนั้นจะไม่เห็นผลงานออกแบบของกัน
“นี่” ชางฉิงสวมเดรสหางปลาสีแดงรัดรูป สวมรองเท้าส้นสูงเดินมาหาชางหลิง “ชางหลิง ทำไมนั่งตรงนี้ล่ะ ดีไซเนอร์ที่ผ่านการคัดเลือกก็ไปนั่งด้านหน้าห้องโถงกันหมดแล้ว”
“โอ๊ะ” ชางฉิงหัวเราะ “ฉันลืมไปเลย เธอเป็นตัวสำรองนี่ ไม่มีสิทธิมานั่งกับพวกเรา แต่ว่า ห้องนิทรรศการใหญ่ขนาดนี้ คงมีมุมเหลือให้เธอบ้างแหละ”
“รังแกคนเกินไปแล้วนะ!” ซูเสี่ยวเฉิงจะทะเลาะกับชางฉิงอยู่แล้ว
“เสี่ยวเฉิงจื่อ” ชางหลิงรีบดึงเธอไว้ “ช่างเถอะ อย่าไปทะเลาะกับคนแบบนี้เลย”
ชางฉิงปิดปาก ดูท่าทีได้ใจมาก “เธอเป็นอะไรไป? ไม่เจอกันไม่กี่วัน ก็กลายเป็นคนขี้ขลาดแล้วเหรอ? เธอวางใจได้ เดี๋ยวตอนที่ฉันไล่เธอออกไป จะบอกให้ยามเบามือหน่อยแล้วกัน”
เธอมองชางหลิงด้วยสายตาดูถูก และสะบัดก้นเดินออกไป
“เกินไปแล้วนะ!” ซูเสี่ยวเฉิงโมโหมาก “เสี่ยวหลิงหลิง เธอห้ามฉันทำไมเนี้ย ฉันจะฉีกปากนังคนนั้นให้ขาดเลยคอยดู”
ชางหลิงเลิกคิ้วขวาขึ้น มองแผ่นหลังของชางฉิง แสยะยิ้มเจ้าเล่ห์ “อย่าใจร้อนไป……ถึงแม้ฉันจะไม่ได้ที่หนึ่ง หล่อนก็อย่าคิดจะได้ดีไปด้วยเลย”
เสียงเพลงในงานดังขึ้น แสงไฟก็เข้าที่พร้อมแล้ว ซูเสี่ยวเฉิงกับชางหลิงสองคนเดินเข้าไป
“ไปกัน” ชางหลิงดันไหล่ซูเสี่ยวเฉิง ผลงานของซูเสี่ยวเฉิงก็เข้ารอบด้วย ก็ต้องไปนั่งด้านหน้าอยู่แล้ว
“งั้น……เสี่ยวหลิงหลิงไม่ต้องกลัวนะ” ซูเสี่ยวเฉิงลำบากใจมาก
ชางหลิงพยักหน้า และส่งรอยยิ้มอย่างมั่นใจให้กับหล่อน
เสียงของพิธีกรดังขึ้น คนในงานก็มาครบแล้ว ซูเสี่ยวเฉิงโค้งตัวเข้าไปนั่งกับที่ ชางหลิงมองตามร่างของหล่อนไป มองเห็นที่นั่งตรงกลางในงาน คนที่ทำให้เธอเห็นแล้วต้องตัวสั่น
โหมวยู่……โหมวยู่ก็มาเหรอ?
ช่วงนี้เธอยุ่งอยู่กับการออกแบบ ก็ออกเช้ากลับมาก็ค่ำแล้ว ตอนนี้พอเห็นแล้ว ก็รู้สึกเหมือนได้เจอกันจากที่ไม่ได้เจอกันนาน
เธอมองเขาจนเหม่อลอย เห็นเขาหันหน้ามา เธอก็รีบเบี่ยงสายตาไปทางอื่น ไม่อยากสบตากับเขา
ชางหลิงนั่งแถวสุดท้าย เดินแบบเริ่มแล้ว เพราะลำดับครั้งนี้แบ่งจากการจับฉลาก ผลงานห้าสิบชุดที่เข้ารอบ ไม่มีลำดับแน่นอน
ก็เหมือนที่ชางฉิงพูด ชางหลิงเป็นแค่ตัวสำรอง ดังนั้นเธอก็เลยต้องอยู่สุดท้าย
ที่จริงไม่เป็นการดีเอามากๆ เพราะเดินแบบแฟชั่นงานขนาดเล็กแบบนี้ไม่เหมือนกับงานใหญ่ๆ ไม่มีชุดฟินาเล่ ยิ่งรั้งท้ายจะยิ่งสร้างความเหนื่อยล้าของกรรมการจากการวิเคราะห์ความสวยของเสื้อผ้า
“ตอนนี้ ชุดแรกที่จะออกมาคือที่หนึ่งของการแข่งขันต้นครั้งนี้ ผลงานของคุณชางฉิง”
เสียงของพิธีกรดึงสติชางหลิงกลับมา
เธอสวมแว่นตา ให้ตัวเองมองเห็นเวทีชัดหน่อย
บนเวทีเดินแบบ นางแบบชาวต่างชาติที่ผิวขาวบริสุทธิ์ตัวสูงโปร่งกำลังปรากฏขึ้นต่อหน้าทุกคนช้าๆ ชุดแต่งงานสีชมพูไม่เหมือนกับชุดขาวอื่น ทำให้ทุกคนตาเปล่งประกายขึ้นมา
ภายใต้แสงไฟ สีชมพูดูกลมกลืนกับผิวของนางแบบมาก เหมือนเอลฟ์ที่บังเอิญตกลงมาสู่โลก หุ่นที่โค้งได้สัดส่วน กระโปรงที่สวยงาม คอเสื้อประดับด้วยไข่มุกและเอวรัดรูป เผยให้เห็นถึงกลิ่นอายความไร้เดียงสาของเด็กสาวช่างเพ้อฝัน
นางแบบเดินมาถึงตรงกลาง หมุนรอบสามร้อยหกสิบองศา ผู้คนต่างปรบมือกันเสียงดัง
ชางหลิงแสยะยิ้ม ปรบมือตาม
ที่ปรบมือนี้ เธอมอบให้กับตัวเอง ต้องพูดเลยว่า เธอเป็นอัจฉริยะจริงๆ ที่ออกแบบชุดแบบนี้ได้ เธอยังต้องนับถือตัวเองเลย
เธอหันไป ก็เห็นชางฉิงมองด้วยสายตาโอ้อวด สีหน้าแบบนั้น เหมือนกำลังบอกทั่วโลกว่าเธอเก่งมากแค่ไหน
ชางหลิงกลอกตามองบน
ผ่านไปหน่อย ก็ถือผลงานของซูเสี่ยวเฉิง เธอมีความคิดแหวกแนว บอกจะใช้สีส้มก็ใช้สีส้ม การแต่งตัวแต่งหน้าของนางแบบก็ใจกล้ามาก ทรงผมแนวพังก์ที่มีสีสันต่างๆนานา คู่กับกระโปรงสั้นบาน ด้านหลังใช้ผ้าคลุมสีเหลืองปล่อยยาวลากพื้น ในตอนที่ออกมา ดนตรีก็ยังเร็วขึ้นด้วย ยิ่งไปกว่านั้นยังมีคนโยกตามจังหวะด้วย โดยเฉพาะถงเอิน ปรบมืออย่างอารมณ์ดีมาก
ชางหลิงหัวเราะ ซูเสี่ยวเฉิงหันหน้าไป ทำท่าเย้กับเธอ ชางหลิงก็ยกนิ้วโป้งชื่นชมเธอ
ผลงานผ่านไปเรื่อยๆ ผลงานหลังๆส่วนมากก็ไม่มีอะไรพิเศษแล้ว ดนตรีก็ช้าลง บรรยากาศในงานก็ดูกร่อยลง ชางหลิงรู้ว่า ทุกคนถึงช่วงที่เหนื่อยล้าแล้ว
ในที่สุด……
“ที่ผ่านมานั้น ก็คือผลงานการออกแบบของการแข่งขันต้น แต่ว่า เพราะมีอะไรเข้ามาแทรกแซง มีดีไซเนอร์ท่านหนึ่งของเราเข้าร่วมการแข่งขันอีกครั้ง เธอใช้เวลาสองวันในการทำผลงานของตัวเอง ต่อมา พวกเราใช้เสียงปรบมือ เชิญนางแบบคนสุดท้ายของเราออกมากัน”
ในงานเสียงดังขึ้นมา อาจเป็นเพราะเมื่อก่อนไม่เคยมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น ทุกคนต่างพากันซุบซิบผู้เข้าแข่งขันลึกลับคนนี้กันเสียงเบา
ชางหลิงอยากได้ผลลัพธ์แบบนี้แหละ ทำให้บรรยากาศที่กร่อยกลับมาคึกคักอีกครั้ง
แสงไฟมืดลงเรื่อยๆ สุดท้าย ตรงกลางเวที เหลือเพียงแสงเดียว นางแบบยืนอยู่ภายใต้แสงไฟ เดินออกมาทีละก้าว
ด้านบนเสื้อออกแบบเป็นแบบปาดไหล่ เนื้อผ้าใช้เป็นผ้าฝ้ายธรรมดามาก แต่ ลายนั้น กลับทำให้ทุกคนตกใจมากเพราะมันเป็นลายพราง
ชุดแต่งงานทั้งชุดนั้นใช้สีเขียวเป็นพื้น ออกแบบเป็นข้างซ้ายสั้นข้างขวายาว เผยให้เห็นถึงขายาวของนางแบบได้เต็มที่ ประกอบกับผมมัดห่างม้าสีดำยาวตรงกับรองเท้าส้นสูงทหาร ทำให้ทั้งตัวของหล่อนเต็มไปด้วยความกล้าหาญ
และแขนซ้ายยังมีผ้ายาวๆที่เป็นผ้าแบบเดียวกับชายกระโปรงผูกเอาไว้ ดูเหมาะสมกับลายผ้าช่วงบน และทำให้หล่อนดูเหมือนหญิงสาวที่สวยไร้เดียงสา
แสงไฟสว่างขึ้นตามก้าวเดินของนางแบบ เสียงดนตรีก็เปลี่ยนเป็นจังหวะที่เดือดดาล
ทั้งงานเงียบกริบ ชางหลิงมองผู้ชมอย่างแปลกใจ หัวใจเต้นแรง
สายตาเธอมองไปที่แถวหน้า โหมวยู่มือเท้าคาง สายตามองไปบนตัวนางแบบ
นางแบบเดินไปหนึ่งรอบ สุดท้าย ตอนที่กลับก็เหยียบจนแสงไฟดับไปทีละก้าว สุดท้าย ทั้งงานก็มืดสนิท