“ฉู่ฉือ?” ชางหลิงตกใจจนอ้าปากค้าง
สมองของเธอมีภาพใบหน้าของฉู่ฉือที่นิ่งสำรวมกิริยาราวกับโหมวยู่ลอยมา
“อ่าฮะ” ถงเอินพยักหน้า “หล่อสุดๆเลยใช่ไหม? เธออยู่กับโหมวยู่ คงจะเห็นฉู่ฉือบ่อยแน่ๆเลย”
สติของชางหลิงยังไม่ผ่อนจากอารมณ์ขึ้นๆลงๆนี้
ดังนั้น ถงเอินกับโหมวยู่เป็นเพื่อนสมัยประถม แต่กลับชอบฉู่ฉือที่อยู่ข้างๆโหมวยู่?
“คุณชอบอะไรบนตัวเขาเหรอคะ?” ชางหลิงไม่เข้าใจ “แม้ว่าจะหน้าตา……หล่อก็จริง……”
แต่ในความทรงจำของเธอ ฉู่ฉือราวกับหุ่นยนต์ เชื่อฟังคำสั่งของโหมวยู่มาก ชี้ไปทางไหนก็ไปทางนั้น
“ฉันยังอยากจะถามเลยว่าเธอชอบอะไรบนตัวโหมวยู่? ผู้ชายซื่อๆไม่ค่อยเข้าใจความคิดผู้หญิง และยังเป็นเป็นคนหน้าบึ้งตึงเบื่อโลกอีกด้วย” ถงเอินกลอกตามองบน “ไม่เหมือนฉู่ฉือของฉัน ทำงานละเอียดรอบคอบ นิสัยอ่อนโยน จัดการงานได้ดีเยี่ยม ไม่เคยมีเรื่องที่เขาจัดการไม่ได้……”
พอพูดแบบนี้ ก็ถูก……
ดูเหมือนในเวลาปกติ โหมวยู่แค่เอ่ยปาก ฉู่ฉือก็สามารถจัดการทุกเรื่องให้เขาไว้วางใจได้
ชางหลิงมองท่าทีบ้าผู้ชายนี่ของถงเอิน ไม่มีท่าทางของความเป็นผู้อำนวยการเลย
“คุณเป็นผู้อำนวยการของแผนกออกแบบไม่ใช่เหรอคะ? แค่เลขาประธานก็จีบไม่ติดเหรอคะ?” ชางหลิงไม่เข้าใจ
“เธอจะไปรู้อะไรล่ะ?” ถงเอินเบ้ปาก “ถ้าหากเปรียบเทียบเซิ่งซื่อเป็นราชวงศ์หนึ่ง นายท่านโหมวเป็นจักรพรรดิ โหมวยู่เป็นองค์ชายรัชทายาท ฉู่ฉือก็เป็นเหมือนองครักษ์ที่มีดาบติดตัวข้างกายเขา ฉันเป็นแค่หัวหน้าขุนนาง จะติดต่อกับเขาได้ไงล่ะ? อีกอย่าง ในสายตาของฉู่ฉือมีแต่โหมวยู่เจ้านายใจดำคนนั้น ถูกเขากดขี่ข่มเหงตลอดหลายปี อายุสามสิบกว่าแล้ว แม้แต่เวลาหาแฟนก็ไม่มี……”
“เอ่อ……” ชางหลิงเหงื่อแตก “แม้ว่าฉันไม่อยากจะพูดคำพูดแบบนี้ แต่ว่า สามารถอยู่เคียงข้างองค์ชาย มีแต่……ขันทีไม่ใช่เหรอ? และระดับของคุณแล้ว คงต้องเป็น……แม่นมหรง?”
“นังหนูนี่ พูดอะไรของแกน่ะ? เชื่อไหมว่าฉันสามารถไล่เธอออก?” ถงเอินตบบนตัวของชางหลิง ท่าทีเกรี้ยวกราด “เธออย่าคิดว่าตัวเองเป็นว่าที่เถ้าแก่เนี้ยแล้วฉันจะไม่กล้าทำอะไรเธอนะ”
ชางหลิงรีบส่ายหัว “โอเคโอเค ความผิดฉันเอง”
“โอเค คุณไปชอบฉู่ฉือได้ยังไงคะ? ปกติเขายุ่งจะตาย คงติดต่อกับคนอื่นในบริษัทไม่กี่ครั้งหรอกมั้ง”
ถ้าตรงไหนมีโหมวยู่ ส่วนมากฉู่ฉือก็จะอยู่ด้วย พอคิดแบบนี้ ก็ไม่มีเวลาไปมีความรักจริงๆ
“ฉันและเขา ล้วนเป็นคนของตระกูลเซิ่ง” รอยยิ้มของถงเอินค่อยๆเป็นปกติ “พูดอย่างถูกต้องก็คือ รุ่นพ่อของพวกเรา เป็นคนที่เคยปกป้องบัลลังก์เพื่อเซิ่งซื่อ”
“ตระกูลเซิ่ง?” ชางหลิงตกตะลึง
เธอจำได้ลางๆว่า มีครั้งหนึ่งที่ซื้ออสังหาริมทรัพย์ในตระกูลชาง ฉู่ฉือเคยบอกกับเธอว่า เขาเติบโตในตระกูลเซิ่งตั้งแต่เด็ก
ในช่วงเวลานี้ ชางหลิงได้สืบเสาะเข้าใจการพัฒนาของเซิ่งซื่ออย่างละเอียด เดิมทีเซิ่งซื่อเป็นอุตสาหกรรมของตระกูลเซิ่ง ต่อมารับมือโดยตระกูลโหมว เนื่องจากการเสียชีวิตต่อเนื่องของทายาทตระกูลเซิ่ง และมีคนใหม่ขึ้นแท่น พนักงานเดิมก็ถูกไล่ออกไปหมด พอมาถึงมือของโหมวยู่ ในเซิ่งซื่อก็แทบจะไม่มีคนของตระกูลเซิ่งหลงเหลืออยู่
“ในกลุ่มคนที่ก่อตั้งเซิ่งซื่อกับตระกูลเซิ่งในตอนนั้น มีรุ่นพี่ที่โดดเด่นมากความสามารถมากมาย ฉันและคุณพ่อของฉู่ฉือ ก็คือหนึ่งในนั้น เหล่าผู้ใหญ่ยุ่งกับธุรกิจ เด็กอย่างพวกเราก็ถูกจัดให้เรียนโรงเรียนเดียวกัน และเป็นเพราะแบบนี้ฉันถึงได้รู้จักฉู่ฉือ โหมวยู่เรียนไว แม้ว่าจะอายุน้อยกว่าฉันสองปี แต่กลับเรียนห้องเดียวกับฉัน เพราะเหตุนี้ เลยกลายเป็นเพื่อนร่วมชั้นในตอนประถมของฉัน ”
“แล้วโม่โม่ล่ะ?” ชางหลิงเป็นห่วงจุดนี้มาก โม่โม่ก็เติบโตมาพร้อมกับพวกเขาเหรอ?
“นางเหรอ” ในสายตาของถงเอินมีท่าทางที่ดูถูกเหยียดหยาม “ตอนนั้นนางยังเด็ก ในตอนที่พวกเราเรียนหนังสือด้วยกัน นางยังเรียนอนุบาลอยู่เลย อีกอย่าง ตระกูลโม่ในตอนนั้นจะเปรียบเทียบกับตระกูลเซิ่งได้อย่างไรกัน จึงไม่สามารถเข้าเรียนโรงเรียนที่ตระกูลเซิ่งสร้างขึ้นได้”
เรียนอนุบาล……
ชางหลิงกระอักกระอ่วน ถ้าพูดถึงอายุ ตอนที่พวกเขาเรียนประถมศึกษา เธอยังดื่มนมอยู่เลย
“นอกจากพวกเราสามคน ยังมีโหมวฉี่พี่ชายของโหมวยู่ที่เป็นรุ่นเดียวกัน รวมถึงเซียวฉู่ที่อยู่ข้างกายเขา” ถงเอินพูด “แต่ว่า เรื่องพวกนี้ไม่ได้สำคัญอะไร เธอเพิ่งเข้ามาในเซิ่งซื่อ รูปแบบของที่นี่ค่อนข้างซับซ้อน เดี๋ยวเธอก็ค่อยๆเข้าใจเองแหละ”
“พวกเรากลับสู่เรื่องหลักดีกว่า” ถงเอินยิ้มอย่างสดใส “ยัยน้องสาว ไหนๆตอนนี้เธอก็รวบโหมวยู่สัตว์ประหลาดตัวนั้นได้แล้ว เธอช่วยพูดถึงฉันต่อหน้าฉู่ฉือสักนิดได้ไหม?”
ชางหลิงนับถือความกล้าของถงเอิน เธอยังไม่กล้าเรียกโหมวยู่ว่าสัตว์ประหลาดเลย
“ฉะ ฉันจะพยายาม” ชางหลิงทำได้เพียงรับปาก
“เธออย่าทำเพียงแค่พยายามนะ” ถงเอินพูดอย่างร้อนรนใจ “เธอต้องคิดนะ ฉันไม่ได้ยังสาวเหมือนเธอ ฉันอายุสามสิบแล้วนะ แม่ฉันเร่งให้ฉันแต่งงานเร็วๆ ถ้าฉู่ฉือยังไม่แต่งงานกับฉัน ฉันคงต้องก้มหัวให้กับโชคชะตาไปนัดบอดแล้วล่ะ”
“เธอไว้ใจได้เลย ถ้าเธอรับปากฉัน ฉันจะช่วยเธอจัดการไอ่คนน่ารำคาญชั้นล่างนั่นเอง” ถงเอินตบหน้าอก
“แล้วไปเถอะ ก่อนหน้านี้ฉันเป็นทะเลาะกับชางฉิงทำไมคุณไม่ช่วยฉัน?” ชางหลิงกลอกตามองบนอย่างจัง
“เธอจะให้ฉันลำเอียงเธอต่อหน้าผู้คนมากมาย แล้วให้เหล่าคนที่ชอบชางฉิงอย่างสุ่มสี่สุ่มห้านั้นบูลลี่เธอหรือไง?” ถงเอินรู้สึกว่าเธอไม่มีสมอง “อีกอย่าง โหมวยู่ให้เธอเป็นเด็กฝึกงาน ดูออกได้ชัดเลยว่าต้องการให้เธอเก็บออร่าทำอะไรให้มันพอดีไม่เกินไป เธอยังอยากจะรีบสร้างผลงานให้มีชื่อเสียง เธอโง่ ยังจะให้ฉันโง่ตามหรือไง?”
ชางหลิงเบ้ปาก
“ช่างเถอะ เรื่องนี้ฉันจะช่วยเธอละกัน แต่ว่า เรื่องของหลิวจื่อเวยเธอไม่ต้องจัดการหรอก” ชางหลิงถอนหายใจ “ในขณะนี้เธอยังไม่ได้ทำเรื่องอะไรที่มันเกินไป อีกอย่าง เธอสามารถเข้าแข่งขันถึงระดับมิลาน ก็ถือว่าเป็นคู่แข่งที่ดี”
ชางหลิงลุกขึ้น แสร้งทำท่าทีมั่นคง
“สุดยอดไป ก็โดดเดี่ยวเกิน ถ้าหากไม่มีคู่แข่งกับฉันในเซิ่งซื่อละก็ แต่ละวัน ต้องน่าเบื่อขนาดไหนกัน”
“ประสาท” ถงเอินทำท่าทีเย้ยหยัน
เธอเคยคิดมาก่อนว่า นิสัยแบบนี้ของโหมวยู่สุดท้ายแล้วจะคบกับผู้หญิงแบบไหน เดิมทีตอนที่ชางหลิงเข้ามาใหม่ๆยังรู้สึกสนใจเธอเล็กน้อย แต่ดูจากตอนนี้แล้ว ตาของโหมวยู่น่าจะมีปัญหาตรงไหนสักแห่ง
แต่เธอชอบมาเลย!
ชางหลิงที่เป็นแบบนี้ น่าเอ็นดูกว่าโม่โม่เยอะเลย
“โอเค ฉันไปนะ” ชางหลิงเดินไปทางประตู พอเดินถึงหน้าประตู ฝีเท้าก็ถอยกลับมา “ผู้อำนวยการถง เรื่องระหว่างฉันกับโหมวยู่ คุณต้องเก็บเป็นความลับนะ”
ถงเอินยักคิ้ว
บางทีนี่อาจเป็นจุดที่ชางหลิงแตกต่างจากคนอื่น ถ้าหากเปลี่ยนเป็นคนอื่นละก็ แค่มีความสัมพันธ์เล็กๆน้อยๆกับโหมวยู่ละก็ คงหวังจะให้คนทั้งโลกรู้เพื่อให้ตัวเองมีหน้ามีตา แต่ชางหลิง แม้ว่าจะมีโหมวยู่คอยสนับสนุน แต่ก็ไม่เคยใช้เขาเป็นข้ออ้างในการโอ้อวดตัวเอง
“ชางหลิง” ถงเอินลุกขึ้น น้ำเสียงจริงจัง “เมื่อกี้ฉันบอกเธอแล้ว สถานการณ์ในเซิ่งซื่อนั้นซับซ้อน ความสัมพันธ์ของเธอและโหมวยู่ไม่ธรรมดา ดังนั้นต้องคอยระมัดระวังให้ดี”
ชางหลิงผงะไปครู่หนึ่ง แล้วพยักหน้า
“ฉันจะพูดมากไปกับเธอก็ไม่ดี แต่อยากบอกเธอ อยู่ในเซิ่งซื่อ สิ่งเดียวที่จะไม่ทำร้ายเธอ ก็คือคนของตระกูลเซิ่ง” สีหน้าถงเอินจริงจัง “จำไว้ว่า ตระกูลเซิ่งเท่านั้น! ตระกูลโหมวและตระกูลโม่ นอกจากโหมวยู่แล้ว ไม่มีใครจริงใจกับเธอแน่ๆ”