“ได้” ถงเอินยังคงหลงใหลอยู่กับความหล่อของฉู่ฉือจนเหม่อลอยไปไกล พอฉู่ฉือเงียบสักพัก เธอก็ถึงรู้สึกตัวขึ้นมา
“นายว่ายังไงนะ?” ถงเอินรู้สึกเหมือนตัวเองฟังผิดไป “จดทะเบียน? ทะเบียนอะไร?”
ฉู่ฉือชี้ไปที่ทะเบียนบ้านบนโต๊ะชา “ทะเบียนสมรส”
ถงเอินสูดหายใจเข้าลึกๆ เธอรู้สึกหัวใจเต้นรัวจนแทบจะกระเด็นออกมาอยู่แล้ว
แต่งงาน? เข้าใจอะไรผิดหรือเปล่า? เมื่อวานเธอพึ่งบอกกับชางหลิงไปว่าอยากมีตัวตนต่อหน้าฉู่ฉือ วันนี้ ฉู่ฉือก็เอาทะเบียนบ้านมาเลย บอกว่าจะไปจดทะเบียนสมรสกับเธองั้นเหรอ?
ไม่ได้ๆ เธอเหมือนกำลังฝันไปเลย
เห็นถงเอินมีสีหน้าตกใจ ฉู่ฉือก็เอาเอกสารออกมาอีกฉบับ
“นี่เป็นการตรวจสอบร่างกายและรายได้ของฉัน ยังมีตารางความสัมพันธ์ครอบครัว ฉันก็สืบดูครอบครัวเธอมาแล้ว ตระกูลพวกเราเหมาะสมกันมาก” ฉู่ฉือพูดอย่างตั้งใจ “อีกอย่าง ได้ยินว่าเธอมีใจให้ฉัน ฉันมาลองคิดดูแล้ว พวกเราสามารถแต่งงานกันได้”
หื้ม!
ถงเอินตกใจจนอ้าปากค้าง หรือว่านี่คือการบอกรักของคนฉลาดเหรอ?
ชางหลิงไม่เหมือนใครจริงๆ แค่ครั้งเดียวก็ทำได้แล้ว ก่อนหน้านี้บทพูดที่เธอเตรียมไว้พูดกับฉู่ฉือก็เปล่าประโยชน์น่ะสิ
“ผู้ช่วยฉู่……” ถงเอินยังรู้สึกเหมือนภาพตรงหน้าไม่เป็นจริงเลย ไม่ใช่เพราะชางหลิงเห็นพ้องกับโหมวยู่แล้วมาแกล้งเธอหรอกนะ “นายจริงจังเหรอ? เรื่องแต่งงานจะกะทันหันไปหรือเปล่า?”
“เธอไม่อยากเหรอ?” ฉู่ฉือถามเธอ
“ไม่ๆ” ถงเอินรีบปฏิเสธ เธออยาก อยากมากด้วย “ก็แค่ รู้สึกเหมือนไม่จริงเลย”
ฉู่ฉือเงยหน้าขึ้น เขาตั้งใจจ้องมองใบหน้าของเธอ ที่จริงเขารู้มานานแล้วว่าถงเอินชอบเขา เพราะยังไง ทุกครั้งที่ไหนมีเธออยู่ สายตาเธอก็ไม่เคยละออกจากตัวเขาเลย
อยู่กับโหมวยู่มานาน ปกติไม่ได้คลุกคลีกับผู้หญิงมากเท่าไหร่ แต่ไม่ได้แปลว่าเขาไม่เข้าใจเรื่องความรัก แต่แค่ว่าตอนนี้โหมวยู่อยู่ในสถานการณ์ไม่ปลอดภัยเท่าไหร่ เขาไม่มีเวลาห่วงเรื่องอนาคตชีวิตคู่ของตัวเองเลย
ฉู่ฉือก้มหน้าลงหัวเราะ เห็นถงเอินตื่นเต้นจนกำมือแน่น เขาจับมือเธอไว้ วางในบนฝ่ามือตัวเอง “เธอลองจับดูสิ ดูว่าจริงไหม?”
มือของถงเอินสั่นเล็กน้อย ฝ่ามือทั้งสองประกบกัน นิ้วมือเรียวยาวของเธอกระตุกเล็กน้อย ไม่รู้ว่าทำไม ใบหน้าแดงระเรื่อขึ้นมาอย่างห้ามไว้ไม่อยู่
คิดแล้วก็ขายหน้าจริงๆเลย คนอายุสามสิบกว่าแล้ว เป็นผู้อำนวยการหญิงที่ทำงานเก่งในสายตาทุกคน แต่พออยู่ตรงหน้าฉู่ฉือ เธอกลับรู้สึกเหมือนตัวเองได้กลับไปในวัยสาวน้อยอีกครั้ง
“จริงสิ” ถงเอินสลับบ้าง เธอจับมือฉู่ฉือไว้ในมือแน่น เหมือนกลัวว่าเขาจะหายไป “ไป ใช้โอกาสตอนนี้ที่สำนักกิจการพลเรือนยังไม่เลิกงาน ตอนนี้ฉันจะกลับไปเอาทะเบียนบ้าน”
เธอรีบเก็บของบนโต๊ะชาอย่างรวดเร็ว และดึงฉู่ฉือออกไปด้านนอกอย่างอดใจไม่อยู่
ค่ำคืนของฤดูหนาวมักจะมืดเร็วเสมอ ถึงเวลาเลิกงาน ชางหลิงก็เก็บของออกจากตึก โทรศัพท์สั่นขึ้นมา เธอกดเปิดออก เป็นรูปสองใบที่ถงเอินส่งให้ตัวเอง
สมุดเล่มสีแดงสดมีคำว่า “ทะเบียนสมรส” เขียนอยู่บนนั้น และด้านหลัง ก็เป็นรูปสองใบที่ติดอยู่ในทะเบียนสมรส ถงเอินกับฉู่ฉือสวมเสื้อเชิ้ตสีขาว ฉู่ฉือยังคงทำหน้านิ่ง แต่ถงเอินกลับยิ้มกว้าง
ชางหลิงตะลึง
เร็วไปไหม เมื่อคืนเธอแค่พูดชื่อถงเอินกับโหมวยู่เองนะ วันนี้ฉู่ฉือกับถงเอิน ก็……แต่งงานแล้ว?
ชางหลิงก็นึกถึงคืนนั้นที่ตัวเองเจอกับโหมวยู่เป็นครั้งแรก……เป็นแบบเดียวกับโหมวยู่จริงๆ คุยไม่ถูกคอก็จับไปจดทะเบียนสมรสเลย ไม่เพียงแต่ตัวเอง ยังไปสั่งให้ฉู่ฉือจดทะเบียนอีก
นิสัยเสียจริงๆเลย!
ชางหลิงตกใจสักพัก ก็มีข้อความของถงเอินเด้งขึ้นมา
——ไม่เสียแรงที่เป็นเธอ ถ้ารู้ว่าเธอทำได้ ฉันน่าจะมาหาเธอตั้งนานแล้ว
พอเถอะ ชางหลิงมองบน ช่วงนี้เป็นช่วงมิลานแฟชั่นวีคต้องเตรียมงานเยอะมาก เธอจะมีเวลาไปเป็นเพื่อนเจ้าสาวได้ยังไงกัน
——พูดเถอะ เธออยากได้อะไรตอบแทน?
ถงเอินส่งข้อความหาเธอต่อ
ชางหลิงลังเลสักพัก ส่งสติกเกอร์ประทัดไป จากนั้นก็พิมพ์ตอบกลับไปอย่างไม่เกรงใจ
——ไม่เป็นไรหรอก ให้เงินก็พอแล้ว เริ่มต้นจากแสนเลยนะ
เธอยัดโทรศัพท์เข้ากระเป๋า กำลังจะออกจากประตูเซิ่งซื่อ แต่ทว่า เสียงแจ้งเตือนโทรศัพท์ก็ดังขึ้นอีกครั้ง
“เงินเข้าบัญชี——หนึ่งแสน”
ชางหลิงชะงักอยู่กับที่ คนที่เดินรอบข้างเธอต่างก็มองมา
อะไรน่ะ? ชางหลิงรีบควักโทรศัพท์ออกมา แน่ใจว่าข้อความเมื่อกี้เป็นความจริง เธอนับเงินในบัญชีตัวเอง เลขศูนย์ที่เพิ่มขึ้นมานั้นทำเอาเธอตาลายไปหมด
เธอรู้จักคนแบบไหนกันเนี่ย? โอนเงินเรื่องแบบนี้ไม่คิดให้ถี่ถ้วนก่อนเลยเหรอ? ช่วงนี้เธอโชคดีจริงๆ ได้เงินง่ายไปแล้ว
——ไม่ต้องตกใจ โหมวยู่ของเธอให้ทั้งเรือนหอทั้งรถกับพวกเรา หนึ่งแสนไม่เท่าไหร่หรอก รักเธอนะ หนึ่งเดือนค่อยเจอกัน
ชางหลิงอ้าปากค้าง นานมากก็ยังหุบไม่ได้
นี่มันอัฐยายซื้อขนมยายชัดๆ โหมวยู่ตาหมอนี่ให้บ้านกับรถคนอื่นแบบไม่กะพริบตาอีกแล้วเหรอ?
ชางหลิงสีหน้าดุร้าย เดี๋ยวกลับไปแม่จะด่าให้เลยนี่ ครั้งนี้ฉู่ฉือยังไม่เป็นไร ถ้าครั้งหน้าแค่ใครก็ได้ เขาคงได้เองเงินทั้งบ้านตัวเองส่งออกไปให้คนอื่นน่ะสิ
“คุณชาง?” ชางหลิงกำลังจะออกไป ด้านหลังก็มีเสียงอ่อนโยนดังขึ้น
ชางหลิงหันกลับไปมอง มีผู้หญิงตัวสูงใส่เสื้อโค้ทสีขาวสวมหน้ากากและแว่นตาสีดำ ยืนอยู่ตรงนั้น
“เมิ่งเคอ?” แม้เธอจะปกปิดมิดชิดแค่ไหน แต่ชางหลิงก็ยังมองออกอยู่ดี
“ฉันยังติดค้างหม้อไฟเธอมื้อหนึ่งนะ ตอนนี้เธอว่างไหม?” เมิ่งเคอเดินไปหาเธอช้าๆ
“ว่างสิ” ชางหลิงยิ้มตอบอย่างอ่อนหวาน
ภายในร้านอาหาร
ซุปสีแดงในหม้อกำลังเดือดปุ๊ดๆ ไอร้อนลอยเต็มในร้าน ชางหลิงกำลังต้มเนื้อแกะกับเนื้อหมูลงในช่องที่เผ็ดที่สุด ข้างๆมีที่ย่างเนื้อ กลิ่นหอมที่ลอยโอดครวญไปทั่ว เธอคีบเนื้อขึ้นมา จิ้มน้ำจิ้มไปทีหนึ่ง ห่อด้วยผักสด จากนั้นก็ยัดเข้าปากตัวเองอย่างพอใจ
เมิ่งเคอที่นั่งข้างๆเห็นเธอคล่องแคล่วอย่างมาก ก็มองด้วยสายตาที่อิจฉา
“อิจฉาเธอจังเลยนะ ใช้ชีวิตตามใจชอบเลย” น้ำเสียงของเมิ่งเคอดูเหนื่อยๆ เธอเป็นนางแบบ ปกติไม่ได้กินเนื้อเลย แต่ชางหลิงกลับไม่สนใจพวกนี้เลย เธอมีใบหน้าที่คล้ายเด็กน้อยอยู่แล้ว พอเวลาเคี้ยวอาหารแล้วแก้มตุ่ยๆ ยิ่งดูน่ารักเข้าไปอีก
“ฉันน่าอิจฉาตรงไหนกัน” ชางหลิงเคี้ยวเนื้อต่อไป “ฉันอิจฉาเธอมากกว่า เธอทั้งสวย หุ่นก็ดี ฉันยังอยากกลายเป็นผู้หญิงแบบเธอเลย”
เมิ่งเคอก้มหน้าลงหัวเราะ แผลบนใบหน้ายังไม่หายดี แม้จะแต่งหน้ามาเล็กน้อย แต่ก็ปกปิดร่องรอยนั้นไม่ได้
“นอกจากใบหน้ากับร่างกายนี้แล้ว ฉันก็ไม่มีอะไรอีกเลย” เธอพูดเสียงเบา “แต่ว่า ฉันอายุสามสิบห้าแล้ว เป็นอายุที่ถือว่ามากในวงการนางแบบ คนอายุเท่าฉันก็แต่งงานมีลูกกันแล้ว แต่ฉันกลับยังอยู่ในวงการนี้และแย่งงานกับพวกเด็กผู้หญิง”
ชางหลิงกลืนอาหารลงไป เธอมองเมิ่งเคอ
ไม่รู้ว่าทำไม เธอมองเห็นสายตาที่มีความน้อยเนื้อต่ำใจอยู่ลึกๆของเมิ่งเคอ ความน้อยใจนี้ กลายเป็นสิ่งที่ปกป้องเธอเอาไว้ ทำให้เธอกลายเป็นคนที่หยิ่งยโสในสายตาคนอื่น
“เธอรู้ไหม ฉันเป็นเด็กกำพร้า เมื่อก่อนยังเคยเป็นเด็กนั่งดริ้งก์มาก่อน?” เมิ่งเคอเงยหน้าขึ้นมองเธอ