สติชางหลิงหายไปนานมากก็ไม่กลับมา
เธอจ้องมองว่างเปล่าไปอย่างไร้จุดหมายเป็นเวลานาน จนเมื่อในที่สุดก็เผยยิ้มเย็นชา
“คุณพูดถูก” เธอมองแอวริลด้วยสีหน้ามืดมน
แอวริลเลิกคิ้ว “ถ้าอย่างนั้น…”
“ฉันจะไม่เลือกคุณ” ชางหลิงยิ้ม บอกเธออย่างมั่นคงมาก “ฉันอยากชนะ แต่ฉันไม่อยากชนะการแข่งขันโดยที่สูญเสียความจริงใจของเพื่อนไป”
รอยยิ้มบนใบหน้าของแอวริลค่อยๆ แข็งทื่อ
“ความจริงแล้วถ้าทำงานกับคุณ บางทีฉันอาจจะได้รับโอกาสมากกว่า แต่คุณน่ะเพื่อที่จะได้ขึ้นไปสู่ที่สูง สามารถทำได้ทุกอย่าง ถึงขั้นทอดทิ้งดีไซเนอร์ของตัวเอง ฉันจะรับประกันได้ยังไง ว่าวันข้างหน้า เพื่อขึ้นไปสู่ที่สูงกว่าคุณจะไม่หักหลังฉัน”
ชางหลิงลุกขึ้นช้าๆ และยิ้มให้แอวริล “คุณรู้ไหมว่าทำไมวันนี้คุณถึงสามารถมานั่งอยู่ตรงนี้และคุยเงื่อนไขแบบนี้กับฉันได้”
แอวริลเงยหน้าขึ้นมอง ไม่ได้พูดอะไร
“นั่นเป็นเพราะเมิ่งเคอไปแล้ว และเพราะอะไรเธอถึงไป เป็นเพราะเพื่อที่จะไม่ทำลายการแข่งของฉัน เธอเลือกจะเดินบนใบมีดไปจนจบเกม ความภักดีและความจริงใจของเธอ ไม่ใช่คนอย่างคุณจะไปเทียบชั้นได้เลย” ชางหลิงเดินเข้าไปหาแอวริล เข้าไปใกล้เธอ “ตอนที่อยู่เซิ่งซื่อ เพื่อมามิลาน คุณไม่ลังเลที่จะเป็นมือที่สามเพื่อทำร้ายความรู้สึกของใคร แน่นอนว่าฉันยังต้องขอบคุณคุณสำหรับเรื่องนี้ เพราะท้ายที่สุดแล้วถ้าไม่มีคุณ เมิ่งเคอก็ไม่สามารถลาจากไทเลอร์ได้ แต่ว่านะ….”
ชางหลิงสีหน้าดุดัน พร้อมกับเข้ากระซิบข้างหูเธอ “ถ้าคนนิสัยไม่ดีใช้เล่ห์เหลี่ยมนิดๆ หน่อยๆ จนอาจจะสามารถเป็นผู้ชนะในรอบชิงชนะเลิศได้ ถ้าอย่างนั้น มันก็ทำให้เหล่าคนซื่อตรงที่มีหลักการผิดหวังอย่างเจ็บปวดเกินไปน่ะสิ คุณว่าจริงไหม”
แอวริลหน้าซีด เธอกำมือแน่น โกรธจัดกับคำพูดของชางหลิง
“ชางหลิง คุณอย่าคิดนะว่าตอนนี้คุณมีคุณชายรองโหมวคอยหนุนหลังอยู่แล้วจึงรู้สึกว่าตัวเองแน่มาก ถ้าไม่มีเขา คุณคิดว่าคุณจะสามารถไปแข่งกับใครได้” แอวริลเปลี่ยนท่าทีที่อ่อนโยนก่อนหน้านี้เป็นจ้องหน้าเธอด้วยความขยะแขยงทันที
ชางหลิงยักไหล่อย่างไม่แคร์ “คุณก็พูดเองนี่ ถ้าไม่มีเขาฉันก็ไปแข่งกับใครไม่ได้ แต่ตอนนี้ฉันมีเขาคอยหนุนหลังอยู่ ฉันลำบากใจจัง”
แอวริลโกรธจนแทบบ้ากับหน้าตาไม่รู้ร้อนรู้หนาวของชางหลิง นานมากก็พูดไม่ออก ได้แต่กระทืบเท้าเดินจากไป
ชางหลิงมองตามหลังเธอที่ก้าวกว้างเดินจากไป สีหน้าค่อยๆ หนักขึ้นเรื่อยๆ เธอหันหลังไป แต่ไม่ได้กลับไปที่ห้องของโหมวยู่ กลับตรงเข้าไปในลิฟต์อีกตัวแทน และไปยังชั้นอื่น
เธอกดกริ่งหน้าห้องอย่างบ้าคลั่ง ผู้คนข้างในเอ้อระเหยเป็นเวลานาน กระทั่งในที่สุด หลิวจื่อเวยก็มาเปิดประตูอย่างหงุดหงิด
“ใครวะ รีบไปตายเหรอ” หลิวจื่อเวยยืนหน้าประตู ยังไม่ทันรอเห็นหน้าคนที่มา ก็หันกลับเข้าห้องไปเลย
ชางหลิงเข้าไปเองโดยไม่ได้รับเชิญ เมื่อก้าวย่างเข้าไป ข้างในไม่มีแสงไฟ แต่กลับพอจะมองเห็นกระดาษและผ้าทุกชนิดกระจัดกระจายไปทั่วพื้น เธอเปิดไฟจนได้เห็นห้องอย่างชัดเจน
“ชางหลิง? คุณมาทำอะไรที่นี่” ในที่สุดหลิวจื่อเวยก็เห็นหน้าของชางหลิงชัดเจน
แต่ชางหลิงกลับไม่ได้สนใจ เธอก้มลงไปหยิบกระดาษบนพื้นขึ้นมา มองดูแบบร่างที่ตระการตาบนนั้น
หนึ่งแผ่น สองแผ่น…ทั่วทั้งห้องล้วนเป็นแบบร่างที่ถูกทิ้งแล้ว
“ฉันต่างหากที่ควรถามคุณ คุณทำอะไรอยู่” ชางหลิงถือแบบร่างในมือพลางตั้งคำถามหลิวจื่อเวย
หลิวจื่อเวยที่ขอบตาคล้ำ เมื่อเห็นชางหลิงก็ยิ้มอย่างเย็นชา คว้าแบบร่างไปจากมือของเธอ “คุณไม่มีตามองหรือไง ฉันกำลังทำอะไรคุณไม่รู้เหรอ แบบร่างของคุณมาจากไหนแน่ใจเหรอว่าไม่รู้”
ชางหลิงหรี่ตา ไม่เข้าใจความหมายของหลิวจื่อเวย “แบบร่างของฉัน ฉันวาดมันเองทั้งหมด คุณพูดแบบนี้หมายความว่ายังไง”
“วาดเองงั้นเหรอ” หลิวจื่อเวยรู้สึกขำ “ชางหลิง มาถึงจุดนี้แล้ว คุณยังดัดจริตทำตัวเป็นผู้ดีอีกเหรอ คุณมีอะไรไม่ปลอมบ้างยังต้องให้พวกเราบอกให้ชัดอีกหรือไง คนของเซิ่งซื่อในตอนนี้ที่เหลืออยู่สามคนทำไมถึงยังอยู่หรือว่าคุณไม่รู้ กำลังแสร้งสร้างภาพอะไร”
“ดังนั้น….” ชางหลิงรู้สึกเหมือนตัวเองถูกทุบหัว “พวกคุณคิดว่าฉันก็เป็นเหมือนหลินจอนั่น พึ่งพาพวกคุณที่เป็นมือปืนรับจ้างคอยหนุนหลังจึงได้อยู่ถึงตอนนี้งั้นเหรอ”
“หรือว่าไม่จริงล่ะ” หลิวจื่อเวยเหล่มองเธอด้วยสายตาร้ายกาจ
ชางหลิงทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้อย่างแรง เธอมองดูกระดาษทั่วพื้น ทันใดนั้นก็รู้สึกตลกตัวเอง
ดังนั้น ต่อให้เธอพยายามอีกแค่ไหน ต่อให้เธอจะเอาอันดับหนึ่งมาได้ ก็จะไม่มีใครยอมรับพลังของเธอ เพราะทุกคนติดอยู่ในโคลนตมโสมมนี้ ทั้งจะยิ่งไม่มีใครเชื่อ ว่าเธอสะอาดหมดจด
ชางหลิงนึกไปถึงแบบที่ตัวเองวาดหามรุ่งหามค่ำ นึกถึงที่ตัวเองทำเสื้อผ้าแข่งกับเวลา จริงจังกับสิ่งเหล่านั้น ปรากฏว่าเวลานี้กลับกลายเป็นเรื่องตลก
“สุดท้ายมันก็เพราะคุณโชคดี” แล้วหลิวจื่อเวยก็นั่งลงบนเตียง “ถ้าไม่ใช่เพราะโหมวยู่ คุณจะประสบความสำเร็จอยู่ในตอนนี้ได้ยังไง ตราบใดที่เขายินดีเชิดชูคุณ การจะซื้อแชมป์การแข่งให้คุณก็ไม่ใช่ว่าเป็นไปไม่ได้”
ชางหลิงกลืนน้ำลาย แต่กลับยังรู้สึกว่าลำคอแห้งผาก
เธอลุกขึ้น ไม่มีการพูดอะไรสักคำ คิดอยากออกไปข้างนอก แต่หลิวจื่อเวยกลับเรียกเธอไว้
“ชางหลิง” หลิวจื่อเวยก็ลุกขึ้นด้วย “คุณจำไว้นะ ฉันไม่เคยแพ้คุณ ชุดที่ทำให้ หลินจอก้าวไปถึงรอบที่แปดของการแข่งในวันนี้เป็นงานของฉัน! ฉันไม่ได้ไร้ยางอายเหมือนคุณ เพื่อที่จะได้ขึ้นไปสู่ที่สูง ก็ปีนขึ้นเตียงผู้ชาย!”
“คุณโม่มีบุญคุณกับคุณ ถ้าไม่ใช่เพราะเธอ คุณยังเป็นเด็กฝึกงานที่มีชื่อเสียงจากการขโมยผลงานอยู่เลย ไม่มีวันได้โงหัวขึ้นมาหรอก แต่คุณกลับแย่งคู่หมั้นของเธอไป! คุณมันคนเนรคุณไร้ยางอาย ไม่กลัวกรรมตามทันเลยหรือไง”
“ฉันขอบอกคุณนะ ต่อให้กลับประเทศไปแล้วคุณจะให้ฉันออกจากวงการดีไซเนอร์ ต่อให้คุณจะสืบสาวเอาความย้อนหลังเพื่อให้ฉันติดคุก ฉันก็จะไม่ขอความเมตตาจากคุณ ฉันจะไม่ยอมรับความพ่ายแพ้!”
ชางหลิงจับประตู ฟังคำพูดของเธอก่อนจะหันหลังไปช้าๆ
“ถ้าอย่างนั้น คุณคิดว่าที่คุณเกือบจะฆ่าฉัน มันไม่ผิดงั้นเหรอ” ชางหลิงยังไม่ลืมกรรไกรที่น่าตกใจนั่น ถ้าไม่ใช่หลีซิน ไม่รู้ว่าตอนนี้เธอยังจะมีชีวิตอยู่ตรงนี้หรือเปล่า
“ฉันผิดตรงไหน คุณคิดว่ามีแค่ฉันคนเดียวเหรอที่อยากฆ่าคุณน่ะ” หลิวจื่อเวยจ้องเธออย่างโหดเหี้ยม “ฉันรู้เรื่องความสัมพันธ์ของคุณกับคุณชายรองโหมวจากผอ.โม่มานานแล้ว ตั้งแต่ตอนนั้น ฉันก็เข้าใจชัดเจนแล้วว่าการแข่งขันครั้งนี้ ไม่ว่าฉันจะพยายามมากแค่ไหน จนท้ายที่สุด ก็จะมีแค่คุณเท่านั้นที่ชนะ! ในเมื่อกำหนดด้วยความไม่ยุติธรรมมาตั้งแต่ต้น แล้วทำไมฉันจะไม่สามารถใช้วิธีของตัวเองมาไล่ล่าสิ่งที่ตัวเองต้องการล่ะ”