คลับNova
ซูเสี่ยวเฉิงถือจานของตัวเอง ยืนอยู่ที่บุฟเฟ่ต์มาสักพักแล้ว ปากของเธอเต็มแน่น แก้มป่องไปหมด
หลีซินยืนอยู่ตรงปากประตูไม่ไกลจากเธอ รอคอยการมาถึงของชางหลิงอย่างใจจดใจจ่อ
อันที่จริงตั้งแต่กลับประเทศมา พวกเขาไม่ได้เจอกันมาระยะหนึ่งแล้ว ซูเสี่ยวเฉิงอยู่ในโรงพยาบาลกับพ่อแม่ของเธอ ระหว่างนั้น หลีซินไม่เคยมาเยี่ยมเธอสักครั้ง วันนี้ถ้าไม่ใช่เพราะชางหลิงกลับมา เกรงว่าเขาก็คงจะไม่มีความคิดถึงแบ่งมาถึงเธอด้วยซ้ำ
“เสี่ยวหลิง!” เป็นอย่างที่คิด เมื่อชางหลิงเข้ามาในห้องอาหาร หลีซินก็เข้าไปต้อนรับอย่างตื่นเต้นยินดี
หลีซินกระตือรือร้นมากเสียจนชางหลิงตกใจ ยังไม่รอให้ตนได้ยืนดีๆ หลีซินก็ดึงเธอเข้าไปมองสำรวจขึ้นๆ ลงๆ
“คุณไม่เป็นไรนะ มีบาดเจ็บตรงไหนหรือเปล่า ก่อนหน้านี้ตอนที่ผมได้ยินเรื่องนี้ กลัวแทบตายเลย” หลีซินพูดด้วยความเป็นห่วง รู้อยู่แล้วว่าเขาไม่ควรกลับมาเร็วขนาดนี้ ถ้าเขาอยู่ข้างเธอตลอดเวลา บางทีก็อาจจะไม่เกิดอันตราย
“คุณดูสิว่าฉันเหมือนเป็นอะไรหรือเปล่า” ชางหลิงพูดด้วยรอยยิ้ม “คุณเป็นห่วงขนาดนี้เลยเหรอ”
“เขาเป็นห่วงจนฟุ้งซ่านแล้ว” ซูเสี่ยวเฉิงถือจานเดินเข้ามาหา สายตาของหลีซินเหลือบมอง แต่สุดท้ายก็ไม่ได้แสดงอารมณ์อะไรออกมา
หลีซินเก้อเขินครู่หนึ่ง ก่อนจะรีบปล่อยแขนชางหลิง เกาศีรษะอย่างโง่ๆ “ทุกคนก็เป็นห่วงชางหลิงทั้งนั้น ตอนที่ได้ยินข่าวคุณไม่ร้อนใจเหรอ”
ซูเสี่ยวเฉิงรู้สึกหมั่นไส้ ลากชางหลิงไปนั่งข้างเธอ “เธอดูการดูแลเธอสิ ห้องอาหารNovaมียอดหมุนเวียนการซื้อขายต่อวันตั้งเท่าไร ฉันพูดถึงอาหารที่นี่มาตั้งนาน กลับประเทศมาครึ่งเดือนแม้แต่สักห่อก็ไม่มีส่งมาให้ แต่ทันทีที่เธอกลับมา ก็มีคนตรงมาเคลียร์พื้นที่ ไม่มีการเปิดให้บริการ พ่อครัวทุกคนในห้องอาหารให้บริการเฉพาะเธอ”
หลีซินค่อนข้างแปลกใจกับคำพูดนี้ “คุณชอบทานอาหารที่นี่เหรอ ทำไมไม่เคยได้ยินคุณพูดถึงมาก่อนเลย”
“ฉันจะมีโอกาสอะไรได้พูดถึง พูดกับใคร ฉันไม่ได้มีสามีหล่อรวยเงินทองมีน้ำใจเหมือนเสี่ยวหลิงหลิงสักหน่อยนี่” ซูเสี่ยวเฉิงพึมพำ
หลีซินไม่พูดอีก ยืนซื่อบื้อ ทำอะไรไม่ถูก
ชางหลิงเฝ้าสังเกตสีหน้าของซูเสี่ยวเฉิง แล้วก็มองไปยังหลีซินที่ยืนอยู่ข้างๆ เหมือนจะได้กลิ่นของเรื่องซุบซิบระหว่างพวกเขา และยังเป็นความหึงหวงด้วย
“โธ่เอ๊ย ล้อเล่นน่า” ซูเสี่ยวเฉิงตระหนักได้ถึงสายตาของชางหลิง เธอรู้ว่าชางหลิงฉลาด ถ้าคาดเดาอะไรขึ้นมาได้ ถึงตอนนั้นเธอจะลงเอยยังไงล่ะ
“เธอเล่าเรื่องโม่โม่ให้ฟังหน่อยสิ หลายวันนี้เกิดอะไรขึ้นกับพวกเธอบ้าง เธอบอกว่ามีเรื่องจึงล่าช้า ฉันคิดไม่ถึงเลยว่าที่จริงมันจะเป็นเรื่องแบบนี้” ซูเสี่ยวเฉิงบังคับเปลี่ยนเรื่อง
“งั้นพวกคุณคุยกันไปก่อน ผมจะไปดูอาหารว่าพร้อมแล้วหรือยัง” เห็นซูเสี่ยวเฉิงมีทัศนคติที่ไม่ค่อยดีต่อเขาเท่าไร จิตใจหลีซินจึงรู้สึกแย่มาก คิดว่าเธอยังคงอารมณ์เสียกับสิ่งที่เกิดขึ้นในมิลาน จึงส่งเสียงบอกก่อนจะปลีกตัวออกไป
ชางหลิงเล่าเรื่องอุบัติเหตุทางรถยนต์ของโม่โม่กับซูเสี่ยวเฉิง แต่สายตาของซูเสี่ยวเฉิงกลับมองตามหลีซินตลอด มองเขาจนลับตาไปในที่สุด ความหดหู่พรั่งพรูในจิตใจซ้ำอีก
เธอไม่อยากเห็นเขาจริงเหรอ แม้แต่โอกาสนั่งคุยกันสักคำก็ไม่มี
“เฮ้” ชางหลิงเล่าไปครึ่งเรื่อง แล้วก็พบว่าซูเสี่ยงเฉิงไม่สนใจฟังเธอพูดเลย จึงใช้นิ้วมือจิ้มๆ ไหล่ของเธอ “ทำไม แฟนหายหรือไง”
ซูเสี่ยวเฉิงได้สติกลับมา เกิดสีหน้าอับอายขึ้นมาฉับพลัน “เธอพูดอะไรน่ะ”
“ยังจะมาเสแสร้งใส่ฉันอีก” ชางหลิงกอดอก ท่าทางบ่งบอกว่ารู้เรื่องดี “คำพูดของเธอเมื่อครู่น่ะมันแสดงออกชัดเจนว่าหึงมาก”
“ฉันเปล่า….” น้ำเสียงของซูเสี่ยวเฉิงแผ่วลง
“ยังไง ตกหลุมรักคนทึ่มเหรอ” ชางหลิงถามเธอ
อันที่จริงเรื่องนี้ก็ปกติ หลีซินเป็นคนหล่อมาก รูปร่างก็ดี แม้ภูมิหลังครอบครัวจะไม่ได้ดี แต่เขาเป็นผู้จัดการใหญ่ของคลับNova ซึ่งเขาสามารถหาเงินหลายสิบล้านได้อย่างง่ายดาย ที่สำคัญที่สุด เขาเป็นหนุ่มโสดหมื่นปี ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยมีความรักสักครั้ง
ซูเสี่ยงเฉิงแห่งราศีเมถุน นิ่งเงียบเหมือนเป็นอัมพาตเคลื่อนไหวเหมือนเป็นลมบ้าหมู ส่วนหลีซินแห่งราศีกุมภ์นั้นบุคลิกสดใสตรงไปตรงมา แต่ทำสิ่งต่างๆ อย่างลึกซึ้งละเอียดรอบคอบ ก่อนหน้านี้ชางหลิงยังเคยค้นเจอในอินเตอร์เน็ตด้วยว่าถ้าราศีเมถุนคบหากับราศีกุมภ์ จะเป็นคู่ที่สมบูรณ์แบบ คู่สมพงศ์ร้อยปี….
“เธอหยุดเดาสุ่มได้แล้ว” ชางหลิงรีบขจัดความคิดของเธอ “เขาไม่ใช่สเปคที่ฉันชอบ อีกอย่าง ฉันสัญญากับพ่อแม่เอาไว้ว่าหลังจากรอหลายปี ถ้าลูกชายของเพื่อนรักพวกเขากลับมาจากต่างประเทศ ถึงตอนนั้นจะให้ฉันไปนัดบอด”
“นัดบอด?” ชางหลิงประหลาดใจ “ทำไมเธอต้องไปนัดบอดอีกล่ะ ทำไมต้องรีบแต่งงาน เธอเพิ่งอายุยี่สิบสองเองนะ”
“ฉันไม่เหมือนเธอนะ ตัวคนเดียวไม่ต้องมีครอบครัวให้นึกถึง พ่อแม่ของฉันมีลูกตอนแก่ ทั้งบ้านมีฉันเป็นลูกคนเดียว รบเร้าให้ฉันมีหลานให้ตั้งแต่อายุสิบแปด ฉันสามารถลากมาจนถึงตอนนี้ก็นับว่าฉันไหวพริบดีมากแล้วนะ” ซูเสี่ยวเฉิงกลอกตา
เมื่อเธอพูดถึงพ่อแม่ขึ้นมา แน่นอนว่าเป็นสิ่งที่เธอเจ็บปวดจนเข้ากระดูก แต่กับประเด็นนี้ มันทำให้เธอปวดหัวจริงๆ
ไม่ถึงครึ่งปีหลังจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัย ก็นัดบอดจนสามารถทำทีมฟุตบอลได้ แต่เธอก็ไม่ถูกใจเลยสักคน
“งั้นเธอก็เอาหลีซินสิ” ชางหลิงตบตักตัวเอง “เธอคือเพื่อนรักของฉัน หลีซินเป็นพี่น้องของโหมวยู่ พวกเธอทั้งคู่อยู่ด้วยกัน จะเป็นคู่ที่สมบูรณ์แบบ แต่งงานกับคนสนิท ต่อไปพวกเราสองคนก็จะได้อยู่ด้วยกันไปตลอดชีวิต”
ซูเสี่ยวเฉิงอ้าปากจะพูด แต่เมื่อเห็นแววตาคาดหวังของชางหลิง สุดท้ายก็ได้แต่ถอนหายใจ
หลีซิน…ต่อให้เธอจะชอบเขามากแค่ไหน แต่จะให้อยู่กับผู้ชายที่มีแต่เพื่อนสนิทตัวเองอยู่ในสายตาได้อย่างไร
คนอย่างเธอซูเสี่ยวเฉิงคนนี้ไม่ว่าจะแย่สักแค่ไหน ก็เป็นผู้หญิงที่ดีคนหนึ่ง ขอใช้ชีวิตร่วมกับคนที่ตัวเองไม่ได้รักดีกว่า ชีวิตนี้จะไม่อยู่กับคนที่ไม่มีทางรักตัวเองเด็ดขาด
“ฉันไม่ชอบเขา” ซูเสี่ยวเฉิงบอกชางหลิงอย่างแน่วแน่มาก “เสี่ยวหลิงหลิง ฉันรู้ว่าเธอหวังดีต่อฉัน ตั้งแต่เด็กจนโต เธอมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้ฉันเสมอ ชุดกระโปรงตัวโปรดของเธอ ของเล่น ตุ๊กตาก็ด้วย…”
แต่หลีซินไม่ใช่สิ่งของ ไม่สามารถพูดว่าให้ก็ให้ได้
“แต่ที่จริงแล้ว ไม่ใช่ว่าของทุกชิ้นที่เธอให้ฉัน มันจะมีแต่สิ่งที่ฉันชอบ พวกเราโตขึ้นแล้ว เธอมีสิ่งที่เธออยากไขว่คว้า ฉันก็มีชีวิตที่ฉันต้องการ ต่อให้ไม่ได้อยู่กับหลีซิน ฉันก็จะอยู่กับเธอไปตลอดชีวิต เธอก็อย่าวุ่นวายเป็นแม่สื่อจับคู่ที่ไม่เหมาะสมกันเลย”
เป็นครั้งแรกที่ซูเสี่ยวเฉิงใช้น้ำเสียงจริงจังแบบนี้พูดกับเธอ ชางหลิงจึงฟังอย่างอึ้งๆ
ชั่วขณะหนึ่งที่เธอไม่มีสติ จ้องซูเสี่ยวเฉิงด้วยสายตาตกตะลึง
ไม่ใช่ว่าของทุกชิ้นที่ตนให้ มันจะมีแต่สิ่งที่เธอชอบ…
ใช่ ดูเหมือนจะเป็นอย่างนั้น
ตั้งแต่เด็กซูเสี่ยวเฉิงไม่ได้มีแผนอะไร พ่อแม่เธอทำธุรกิจเครื่องประดับ แต่ตอนที่เข้ามหาวิทยาลัย ตนพูดแค่คำเดียวว่าไม่อยากแยกห่างจากเธอ ซูเสี่ยวเฉิงก็เลือกแฟชั่นดีไซน์โดยไม่ลังเล และไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ตนถึงขนาดไม่ถามความคิดเห็นของซูเสี่ยวเฉิงเลย ก็บังคับให้เธอเข้าเซิ่งซื่อด้วยกัน
ทั้งที่เธอรู้ว่าซูเสี่ยวเฉิงไม่อยากอยู่ที่นี่ แต่เพราะกลัวการอยู่คนเดียวจึงจับเธอไว้ให้อยู่เป็นเพื่อนไม่ยอมปล่อย
“ได้” ชางหลิงค่อนข้างเศร้า แต่กลับยังจับมือของซูเสี่ยวเฉิงเอาไว้แน่น
และในเวลาเดียวกันนั้น หลีซินหยุดอยู่ที่หน้าประตู ดวงตาอ้างว้าง
ตอนที่เขามานั้นบังเอิญได้ยินการสนทนาของพวกเธออย่างชัดเจน