“อันที่จริง คุณชายฉี่…” ชางหลิงรู้ตัวเองดี “คุณไม่ต้องการความช่วยเหลือจากฉันหรอกค่ะ ใช่ไหม ครั้งก่อนฉันก็เคยบอกกับคุณไปแล้วว่าจะไม่ให้คุณจัดการเซิ่งซื่อ ดังนั้น ความร่วมมือระหว่างเรา…”
ก็ไม่จำเป็นเลย
“ผมแค่อยากอยู่ใกล้คุณบ้าง” จู่ๆ โหมวยู่ก็ตอบกลับเธอ
“คะ?” ชางหลิงไม่เข้าใจ
“ไม่มีอะไร” โหมวฉี่ยิ้ม หยิบตะเกียบขึ้นมา แล้วคีบอาหารเข้าปากตัวเอง
“คุณยังเด็กมาก บางเรื่อง อาจจะยังไม่สามารถเข้าใจได้”
เธอจะไม่เข้าใจความรู้สึกนี้ หลังจากสูญเสียความรัก วิญญาณของเขาก็ระเหยออกจากร่าง ราวกับจอกแหนลอยเรื่อยไปไม่มีที่ยึดเกาะ
ไม่ง่ายเลยที่จะหาที่พักพิงเจอ ซึ่งทั้งคู่ดันมีลักษณะจำเพาะที่เขาอยากอยู่ใกล้ แต่ด้วยศีลธรรมที่มีมาก ทุกขั้นตอนจึงดำเนินไปด้วยความระมัดระวัง
ชางหลิงเงียบ ไม่รู้ว่าควรตอบอย่างไร
“คุณวางใจครับ” โหมวฉี่เห็นเธอเป็นแบบนี้ จึงรีบอธิบาย “ผมไม่ได้คิดเกินเลยกับคุณ”
“คุณอายุน้อยกว่าผมสิบปี ไม่ต้องพูดถึงความแตกต่างของช่วงวัย ตัวผมที่ไม่สมประกอบแบบนี้ ผมจึงไม่เคยคิด…”
“คุณชายฉี่!” ชางหลิงขัดจังหวะเขา “คุณต้องไม่คิดอย่างนั้นนะ คุณเป็นคนที่ยอดเยี่ยมมากนะคะ”
แววตาโหมวฉี่ตะลึงงัน กระชับตะเกียบในมือแน่นขึ้นเล็กน้อย
“ถ้าคนที่เก่งกาจอย่างคุณรู้สึกด้อยค่า งั้นคนไร้ตัวตนแบบเราๆ ก็ไร้ประโยชน์แล้ว”
โหมวฉี่ลดสายตาลงและยิ้มบาง
“ครั้งหนึ่ง เคยมีคนบอกผมแบบนี้เหมือนกัน”
ตอนนั้น เขายังเด็ก
เขาอิจฉาที่โหมวยู่ซึ่งอยู่ในฐานะทายาทของตระกูลโหมวได้รับการปฏิบัติเป็นพิเศษจากทุกคน แต่เขา ลูกบุญธรรมที่ไม่สามารถเชิดหน้าชูตาได้ ต่อให้จะดีเลิศกว่าโหมวยู่ ก็ต้องเก็บงำไว้ห้ามแสดงออก ไม่สามารถแย่งรัศมีของเขาได้
เขาที่อยู่ในอาการเศร้าโศกหดหู่ เซิ่งเยียนหัวเดินมาหาเขา บอกเขาว่าเขาเองก็ดีเลิศมาก สมควรถูกรักเช่นกัน
“ที่คุณพูด หมายถึงคุณเยียนหัวเหรอ” ชางหลิงเดาความคิดที่อยู่ในใจโหมวฉี่
โหมวฉี่ขมวดคิ้วเล็กน้อย “คุณรู้ได้ยังไง”
“เพราะฉันได้ยินคุณบอกฉันไม่น้อยกว่าหนึ่งครั้งว่าบุคลิกของฉันคล้ายกับเธอมาก” ชางหลิงยักไหล่ “ถึงแม้ฉันจะไม่รู้ว่าเธอเป็นคนยังไง แต่ฉันคิดว่า ถ้าเราสองคนคล้ายกันมาก ก็คงจะพูดแบบเดียวกัน”
“คุณเหมือนเธอมากจริงๆ” โหมวฉี่มองเธอด้วยความประหลาดใจ เหมือนการมองเธอผ่านไปหาใครอีกคน
“บางครั้ง คุณนั่งอยู่ตรงหน้าผม เหมือนผมจะสามารถสัมผัสถึงเธอได้” ทุกแววตาทุกรอยยิ้ม การเคลื่อนไหว…ยกเว้นหน้าตา พวกเธอเหมือนเป็นคนเดียวกัน
เขาอยากอยู่ใกล้เธอ เพราะมีแค่การใกล้ชิดเธอ เขาถึงสามารถหาความหมายของการดำรงชีวิตอยู่ต่อไปของตัวเองได้
“แม้ว่า…การถูกใช้เป็นตัวแทนคนอื่น ที่จริงมันไม่ใช่เรื่องน่ายินดี แต่ถ้ามันทำให้คุณรู้สึกดีขึ้นสักเล็กน้อย ฉันก็จะยอมรับอย่างไม่เต็มใจแล้วกัน”
เธอเข้าใจเรื่องราวระหว่างพวกเขา ในครอบครัวแบบนี้ ความรักต้องห้ามต้องใช้ความกล้าหาญมากแค่ไหนเธอรู้ดี แต่ถึงพวกเขาจะทุ่มเทไปมาก ก็ยังไม่ได้ผลลัพธ์ที่ดี คนหนึ่งตายคนหนึ่งพิการ ใครเห็นก็ล้วนแล้วแต่ทนไม่ได้ทั้งสิ้น
โหมวฉี่ไม่พูดอีก เขาก้มหน้า ความมืดหม่นของแววตาค่อยๆ ลึกลงทีละน้อย
เริ่มมืดแล้ว ทั้งสองทานอาหารเสร็จ ชางหลิงจึงเข็นโหมวฉี่ออกไป โจวหลินอาสาไปส่งชางหลิง
ตามหลังโจวหลิน ชางหลิงไม่ค่อยสบายใจเล็กน้อย เพราะถึงอย่างไรก็เป็นคนที่เคยอยู่ข้างกายโม่โม่ เธอยังไม่สามารถเปลี่ยนบทบาทนี้ได้
“คุณชาง” การก้าวเท้าของโจวหลินชะลอตัวลงเล็กน้อย พร้อมกับส่งเสียงเรียกเธอ
“หืม?” ชางหลิงได้สติกลับมา
“คุณชายฉี่เป็นคนที่รักษาตนสะอาดหมดจดไม่หาเรื่องใส่ตัว” น้ำเสียงของโจวหลินมีแววเตือน “ตั้งแต่คุณเยียนหัวตายไป เขาก็ไม่เคยใกล้ชิดกับเพศตรงข้ามคนไหน อีกอย่าง คุณยังเป็นภรรยาของคุณชายรองโหมวด้วย”
ชางหลิงขมวดคิ้ว ไม่เข้าใจเจตนาของโจวหลิน
“คุณเป็นคนฉลาด และรู้ว่าบ้านโหมวเป็นสถานที่อะไร คุณชายฉี่เสียขาเพราะเรื่องความสัมพันธ์ ถ้าคุณมีจิตสำนึก กรุณาสำรวมตัวเองด้วย”
“ฉัน?” ชางหลิงนับว่าเข้าใจแล้ว ที่แท้ โจวหลินคิดว่าเธอยั่วยวนโหมวฉี่งั้นเหรอ
“ผู้ช่วยโจว คุณเข้าใจผิดหรือเปล่า”
“ฉันไม่ได้เข้าใจผิด ไม่ใช่ว่าคุณจะพูดอะไรก็ได้” โจวหลินกวาดตามองชางหลิงอย่างดูถูก “คุณชายฉี่ไม่ใช่คุณชายรองโหมว คุณจะยั่วยวนคุณชายรองยังไงฉันไม่สน แต่ถ้าคุณต้องการใช้เล่ห์เหลี่ยมของคุณกับคุณชายฉี่ ฉันจะไม่เกรงใจคุณแน่นอน”
ชางหลิงยิ้มอย่างโกรธเคือง
เธอกอดอก เริ่มมีท่าทีเย่อหยิ่ง
“ผู้ช่วยโจว คุณชอบคุณชายฉี่สินะ”
โจวหลินหน้าแดงเล็กน้อย ถูกบอกในสิ่งที่อยู่ในใจ จึงตวาดกลับมา “มันเกี่ยวอะไรกับคุณ”
“พวกคุณเป็นยังไง ความจริงมันไม่เกี่ยวกับฉัน แต่ฉันแค่จะเตือนคุณ คุณอยู่กับเขามาหลายสิบปี ถ้าเขาชอบคุณ พวกคุณก็คงลงเอยกันไปนานแล้วไม่ใช่เหรอ”
“หยุดพูดไร้สาระ!” โจวหลินโกรธจัด
“ฉันพูดไร้สาระหรือเปล่าคุณรู้แก่ใจดี” ชางหลิงโต้กลับเธอ “ฉันรู้ว่าคุณทำดีเพื่อเขา แต่จะดีกว่าหากคุณมองเห็นสถานะของตัวเอง คุณชายฉี่อายุสามสิบสอง ข้างกายมีไม่กี่คนที่พูดได้ว่าเป็นเพื่อน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเพื่อนผู้หญิง คุณอยากให้เขาโดดเดี่ยวไปจนตายหรือไง”
โจวหลินกำมือแน่น “ใครบอกว่าเขาโดดเดี่ยว”
“เขามีฉันกับเซียวฉู่ จะโดดเดี่ยวได้ยังไง”
ชางหลิงยิ้มเย็นชา มองอีกฝ่ายที่ดื้อด้านไร้เหตุผล
“ผู้ช่วยโจว คุณอยู่ข้างกายโม่โม่ห้าปี ใช่ไหม” ชางหลิงมองเธออย่างล้ำลึก “ที่แท้ อิทธิพลจากสิ่งที่ได้เห็นและได้ยิน มันสามารถส่งผลต่อคนได้มากจริงๆ”
“คุณพูดอะไร” โจวหลินขึ้นเสียง
ชางหลิงไม่อยากเสียเวลากับเรื่องพวกนี้ จึงโบกมือให้เธอแล้วเดินไปที่รถแท็กซี่
โจวหลินมองตามหลังที่เย่อหยิ่งของชางหลิง คู่ดวงตาเผยประกายโหดเหี้ยม
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว พริบตาเดียวก็วันที่แปดของปีใหม่แล้ว
วันเปิดงานของเซิ่งซื่อ
ไม่ว่าชีวิตจะยุ่งเหยิงแค่ไหน งานยังต้องดำเนินต่อไป
ชางหลิงเก็บของ ไปบริษัทแต่เช้า แต่ทว่า เพิ่งถึงประตูบริษัท ก็เห็นสายตาแปลกๆ ของทุกคน
คนที่เห็นเธอต่างกระซิบกระซาบกัน ไม่รู้ว่าพูดอะไรบ้าง
ชางหลิงก็รู้ว่าข่าวเมื่อปีก่อนเลื่องลือไปทั่วทั้งเมืองหนาน ตอนนี้ทุกคนคงจะรู้เรื่องความสัมพันธ์ของเธอกับโหมวยู่แล้ว
กลับไปที่สำนักงานที่คุ้นเคย ชางหลิงนั่งประจำตำแหน่งของตัวเอง เพิ่งนั่งลง ก็บังเอิญเห็นหลิวจื่อเวยที่เก็บของเพื่อจะไป
ไม่ได้เจอกันนานกว่าครึ่งเดือน หลิวจื่อเวยน้ำหนักลดไปมาก เมื่อเห็นชางหลิง เธอก็รู้สึกเกลียดจนแทบคันฟัน พุ่งเข้าหาทันที
“ชางหลิง คุณเป็นคนทำสินะ!”
ชางหลิงงุนงง “ฉันทำอะไร”