ในใจพลันเกิดการคาดเดาต่างๆ นานา แต่ไม่ได้แสดงความรู้สึกออกทางสีหน้า ชางหลิงฉีกยิ้มให้ ท่าทางเหมือนเพื่อนทั่วไปที่พูดอวยพรเช่นนั้น “ยินดีกับคุณด้วยค่ะ ในที่สุดก็สามารถกลับมายืนจนเดินได้แล้ว”
โหมวฉียิ้มและพยักหน้ารับ จากนั้นก็นั่งลงฝั่งตรงข้ามของชางหลิงอย่างไม่เกรงใจ ป๋ายจื๋อแสดงท่าทางเบื่อเต็มทน ทำได้แค่ชงชาเพื่อเป็นการต้อนรับ
“คุณชาง ได้ยินว่าน้องเขาโอนทรัพย์สินที่เป็นของเขาทุกอย่างให้เป็นชื่อคุณหมดแล้ว”
ชางหลิงเงยหน้าขึ้นพลางมองตาโหมวฉีอย่างปกติ ดูเหมือนว่าอำนาจของคุณชายฉีในตระกูลโหมวท่านนี้จะใหญ่กว่าที่เธอจินตนาการเอาไว้ โหมวยู่เขาเพิ่งดำเนินการโอนย้ายทรัพย์สินเสร็จเมื่อช่วงสายนี้เอง พอตกบ่ายคุณชายท่านนี้ก็ตามมาถามเธอถึงที่บ้านเลย
ชางหลิงพยักหน้ารับ เขาก็รู้อยู่เต็มอก งั้นก็ไม่เป็นที่ต้องปิดบังอะไรแล้ว
“หุ้นในบริษัท เซิ่งซื่อ กรุ๊ปในส่วนของโหมวยู่ทั้งหมดก็โอนเป็นของคุณเหรอ?” โหมวฉีดูท่าทางรีบร้อนเกิน เพราะว่าพูดเร็วกว่าปกติ ที่แท้เขาเองก็มีเวลาที่ไม่สามารถทำตัวนิ่งๆ ได้ขนาดนี้ด้วย
ชางหลิงยิ้มให้เล็กน้อย จากนั้นก็พยักหน้าให้
สีหน้าของโหมวฉีดูไม่ค่อยดีเลย พลางเริ่มบ่นงึมงำออกมา “ตกลงว่าเขาคิดจะทำอะไรกันแน่?”
ในใจของโหมวฉีนั้น การที่โหมวยู่เคลื่อนไหวครั้งใหญ่ในครั้งนี้ ความเป็นไปได้เพียงอย่างเดียวคือต้องมีการเคลื่อนไหวครั้งยิ่งใหญ่แน่ เมื่อคิดได้ว่าชางหลิงกำลังตั้งท้องอยู่ สีหน้าของโหมวฉีก็ยิ่งดูย่ำแย่หนักกว่าเก่า
“ตอนนี้คุณรู้หรือเปล่าว่าน้องเขาอยู่ที่ไหน? ผมอยากจะไปหาเพื่อคุยกันสักหน่อย”
มือที่โหมวฉีชอบสอดอยู่ในเสื้อตามปกติกำหมัดจนแน่น ชางหลิงก็เพิ่งจะค้นพบว่าแววตาอันอบอุ่นอ่อนโยนของโหมวฉีมาแต่เดิมนั้นยังสามารถมีความซับซ้อนลึกซึ้ง มองไม่เห็นก้นบึ้ง ทำให้คนมองไม่เห็นถึงความรู้สึกใดๆ เลย
“ฉันก็อยากจะหาเขาเหมือนกัน”
เธอไม่รู้ว่าโหมวฉีอาจจะคิดเรื่องอะไรที่ไม่ดีอยู่ก็ได้ ทว่าเธอรู้สึกว่าโหมวฉีคิดมากเกินเหตุไปแล้ว แม้ว่าโหมวยู่คิดจะมีการเคลื่อนไหวครั้งใหญ่อยู่ก็ตาม ก็ไม่จำเป็นที่ต้องโอนทรัพย์สินส่วนตัวทั้งหมดให้กับเธอ
แต่ว่า จู่ๆ เธอก็รู้สึกเหมือนมองเห็น การที่โหมวฉีเสียอาการนั้นน่าสนุกมาก แต่ก็ไม่ได้เตือนเขามากมายนัก
จากนั้นก็พูดคุยกันตามปกติไม่กี่ประโยค โหมวฉีเองก็รู้ว่าการที่เขามาถามทางฝั่งของชางหลิงก็ไม่ได้รับข่าวคราวมากมายกว่าเดิม จนต้องกลับไปอย่างเสียใจเล็กน้อย
ความรู้สึกที่ต้องหลุดพ้นจากการควบคุมได้มันรู้สึกแย่จัง
เมื่อมองด้านหลังของโหมวฉีเดินออกไปแล้ว ชางหลิงเพิ่งค้นพบเดี๋ยวนั้นเอง ที่แท้โหมวฉีก็หล่อเหลาถึงเพียงนี้เลย แถมเป็นคุณชายที่แสนสูงส่งคนหนึ่ง เมื่อก่อนคนมากมายก็รู้สึกว่าเขาอ่อนแอ น่าสงสาร ก็แค่เขาเอาแต่นั่งอยู่บนรถเข็นตลอดเวลาเท่านั้นเอง
“ป๋ายจื๋อ ตรวจสอบดูหน่อยว่าขาของโหมวฉีรักษาจนหายดีตอนไหน แล้วใครช่วยรักษาให้เขา”
สถานที่ใดที่มีกล้องวงจรปิดก็ไม่สามารถหลุดรอดสายตาของป๋ายจื๋อไปได้ ไม่นานนักป๋ายจื่อก็สามารถหาเบาะแสบางอย่างได้
“ระยะนี้โหมวฉีอยู่ที่คฤหาสน์ป้านซานตลอดเวลา หลินจื้อก็ไปละแวกนั้นอยู่สองครั้ง”
คำตอบเป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้ หลินจื้อเป็นคนรักษาขาของโหมวฉีให้หายดีมีความเป็นไปได้ 9-10เปอร์เซ็นต์
แต่ว่าชางหลิงก็รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย คนที่ออกมาจากตระกูลเซิ่งเหล่านั้นไม่ใช่ว่าจะฝักใฝ่อยู่กับคนคนเดียวไม่ใช่เหรอ? ทำไมหลินจื้อถึงได้อยู่ภักดีระหว่างสองพี่น้องไปได้นะ? ต้องมีวิธีแน่ๆ
เมื่อคิดถึงตรงนี้ชางหลิงอดเป็นห่วงไม่ไหว โหมวยู่เชื่อมั่นหลินจื้อขนาดนั้น ถ้าเกิดว่าหลินจื้อถูกโหมวฉีซื้อตัวไปแล้วจากนั้นก็ทำอะไรกับเขาแล้วจะทำอย่างไรดี?
หัวสมองของชางหลิงปรากฏความกังวลขึ้นมาต่างๆ นานานับไม่ถ้วน มีคำพูดอัดแน่นเต็มอกแต่ไม่รู้ว่าจะพูดกับโหมวยู่อย่างไรดี พลันคิดว่านิสัยดื้อรั้นหัวชนฝากับอาการมั่นใจเรื่องใดเรื่องหนึ่งแบบสุดโต่งตามสไตล์ของโหมวยู่ก็ไม่มีวันเปลี่ยนใจกลับมาแน่ ชางหลิงไม่มีอำนาจทำอะไรเลย
“ป๋ายจื๋อ คุณพูดมาสิว่าตอนนี้ฉันควรทำอย่างไรดี?” ชางหลิงสับสนจนไม่ไหว
ป๋ายจื๋อไม่รู้ว่าเธอนั้นกำลังสับสนเรื่องอะไรอยู่ อยากพูดอะไรก็พูดมาตรงเลยแค่นั้นก็หมดเรื่องเลยไม่ใช่เหรอ?
“บอกเขาไง”
“ตอนนี้โทรศัพท์ของโหมวยู่เปิดเครื่องอยู่หรือเปล่า?” ชางหลิงกำลังสับสนอยู่เป็นครั้งสุดท้าย ถ้าโทรศัพท์ของโหมวยู่ปิดเครื่องอยู่ก็จบๆ กันไป งั้นก็ไม่สามารถมาโทษเธอได้แล้ว
ป๋ายจื๋อรีบวิ่งกลับมาที่ห้องเพื่อมองแวบหนึ่ง จากนั้นก็พยักหน้า
ท่ามกลางสายตาของป๋ายจื๋อที่ไม่สามารถอธิบายได้ ชางหลิงตัดสินใจเด็ดขาดแล้ว พลางกดเบอร์โทรศัพท์อันคุ้นเคยที่อยู่ในใจนั้นออกไป
หลังจากผ่านการปรับวิธีการรักษาของหลินจื้อมาแล้วรอบหนึ่ง ร่างกายของโหมวยู่ก็ฟื้นตัวกลับมาไม่น้อย แม้ว่ายังจำเป็นต้องนอนพักรักษาตัวนิ่งๆ อยู่กับเตียงก็ตาม แต่ว่าการพูดคุยกันไม่มีปัญหา โทรศัพท์เขาเพิ่งเปิดได้ไม่นาน ก็เห็นเบอร์ของชางหลิงโทรเข้ามา
มือของโหมวยู่ค้างเติ่งอยู่กลางอากาศไปหลายวินาที จากนั้นก็กดรับสาย
หลังจากกดรับสายไปแล้ว จู่ๆ ก็เกิดความอายขึ้นมายิ่งทำให้การโทรที่น่าอึดอัดใจในตอนแรกยิ่งแปลกจนเห็นได้ชัดเข้าไปอีก
ช่างเถอะ ชางหลิงตัดสินใจเสนอตัวพูดเองเลย
“คุณสบายดีใช่ไหม?”
ในใจมีอารมณ์น้อยใจและคำถามอีกมากมายนับไม่ถ้วน แต่การเอ่ยปากถามตามความเป็นจริง ชางหลิงกลับไม่มีวิธีในการพูดหักหาญน้ำใจได้
“ดีมาก” น้ำเสียงของโหมวยู่เย็นชาเหลือเกิน ไร้ซึ่งความรู้สึกใดๆ
ชางหลิงจุกอกจนไม่รู้ว่าจะพูดอะไรต่อ พลางอดกลั้นอาการอยากร้องไห้ออกมาแต่พูดเรื่องประเด็นสำคัญแทน “ขาของโหมวยู่รักษาจนหายดีแล้วนะ”
“คุณรู้ได้อย่างไร?”
ในที่สุดน้ำเสียงของโหมวยู่เริ่มออกอาการบ้างแล้ว พวกเขาไปติดต่อกันตอนไหน ตอนนี้ความสัมพันธ์สนิทกันไปถึงขั้นนี้แล้วเหรอ? โหมวฉีไม่ใช่คนดีอะไรมาตั้งแต่แรก เขาไม่อนุญาตให้เขาได้ทำตัวใกล้ชิดกับชางหลิง
“เขาเพิ่งมาเมื่อครู่นี่เอง บอกว่าหลินจื้อเป็นคนรักษาขาของเขาให้หายดี”
แม้ว่าไม่มีหลักฐานแน่นหนา และเพื่อเป็นการเตือนให้โหมวยู่ระวังหลินจื้อให้มากขึ้น เธอจึงพูดเช่นนี้ออกไป
“หลินจื้อเหรอ?” น้ำเสียงของโหมวยู่เริ่มเสียงสูงขึ้น แต่ว่าเขาไม่สามารถโง่งมงายที่จะเชื่อในคำพูดของชางหลิงเพียงเท่านี้ได้ “โหมวฉีเขาจะไปพูดกับคุณได้อย่างไรว่าหลินจื้อเป็นคนรักษาขาของเขาให้หายดี”
คำโกหกถูกเปิดเผยจนได้ ชางหลิงไม่ได้รู้สึกว่าอาย ในทางกลับกันพูดอย่างตรงไปตรงมาเลย “ป๋ายจื๋อตรวจสอบกล้องวงจรปิดตรงคฤหาสน์ป้านซาน ระยะนี้โหมวฉีไม่ได้ออกไปไหนเลย มีแค่หลินจื้อที่ปรากฏตัวแถวๆ คฤหาสน์ป้านซานอยู่สองครั้ง”
โหมวยู่ไม่ได้พูดอะไรต่อ สักพักถึงพูดกลับมา “รู้เรื่องแล้ว”
ชางหลิงกำโทรศัพท์ที่ถูกตัดสายทิ้งเอาไว้ จากนั้นก็โยนโทรศัพท์ลงบนโซฟาเพื่อระบายอารมณ์
“จะเก๊กท่าไปถึงไหน ทำอย่างกับมีคนอยากจะสนใจคุณอย่างนั้นแหละ”
“เขาพูดว่ายังไงเหรอ?” รอให้อารมณ์โมโหของชางหลิงสงบลงเป็นปกติก่อน ป๋ายจื๋อใช้ความฉลาดในการถามกลับ
“ไม่ได้พูดว่าอะไร ฉันเอาคำพูดที่ควรจะพูดก็พูดไปแล้ว เขาคิดจะทำอะไรก็ตามใจเขาสิ”
ตอนแรกก็คิดว่าป๋ายจื๋อคงก่นด่าโหมวยู่ที่ไม่รู้จักหัวใจคนอื่นเหมือนกับเธอ แต่ไม่คิดเลยว่าเขาตอบเพียง “อ้อ” เสร็จแล้วก็เดินหันหลังขวับกลับไปที่ห้องครัวทันที
เมื่อมองด้านหลังที่ดูสงบนิ่งของเขา ชางหลิงคิดว่า การที่ไม่อารมณ์ช่างดีเสียจริง
ผ่านไปวันแล้ววันเล่า สิ่งเดียวที่ทำให้ชางหลิงเปลี่ยนแปลงไปมากก็คือท้องของเธอ อาจจะเป็นเพราะว่าช่วงนี้หิวบ่อยขึ้น เธอรู้สึกว่าเด็กในท้องนั้นโตขึ้นมาก
พริบตาเดียวก็มาถึงเดือนพฤษภาคมแล้ว ไม่ว่าจะยังไงแล้วเมื่อคิดถึงวันที่ 20 เดือนพฤษภาคมแล้วชางหลิงทั้งตื่นเต้นและรอคอยอย่างอดไม่ได้
ฉู่ฉือกำลังเตรียมงานแต่งงานอยู่หรือเปล่า?
ทว่าเธอไม่ได้เจอกับโหมวยู่มานานแล้ว ก็ไม่รู้ว่าตอนนี้เขาเป็นอย่างไรบ้าง
พอเข้าเดือนพฤษภาคมแล้ว ชางหลิงกับซูเสี่ยวเฉิงก็จับคำพูดของถงเอินได้ จนเห็นได้ชัดว่าการพูดคุยของคนสองเรื่องโหมวฉีคำๆ นี้ยิ่งเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ หลังจากที่โหมวยู่ไม่ปรากฏตัวที่บริษัทเลยนั้น เหมือนว่าทุกคนต่างยอมรับกันเองแล้วว่าคุณชายฉีเป็นตัวตั้งตัวตีกลับมาพลิกฟื้นบริษัท เซิ่งซื่อ กรุ๊ปได้กลับมาอีกครั้งแล้ว
ชางหลิงนอนหลับกลางวันจนเต็มอิ่ม เพิ่งจะล้างหน้าล้างตาก็รับโทรศัพท์ของซูเสี่ยวเฉิง “เสี่ยวหลิงหลิง,เสี่ยวหลิงหลิงออกมาช่วยฉันดูชุดแต่งงานเร็ว ฉันเลือกจนตาลายหมดแล้วเนี่ย มาดูว่าชุดไหนมันสวย”
น้ำเสียงของซูเสี่ยวเฉิงดูมีความสุขมาก ชางหลิงก็ยิ้มตามไปด้วย การที่สามารถเห็นซูเสี่ยวเฉิงกับหลีซินแต่งงานกัน เธอก็พลอยมีความสุขกับพวกเขาสองคนไปด้วย
“ส่ง Locationมาให้ฉัน ไปเดี๋ยวนี้เลย”
“ก็ร้านเวดดิ้งสตูดิโอที่เพิ่งเปิดใหม่อยู่ฝั่งตรงข้ามของบริษัท เซิ่งซื่อ กรุ๊ป สวยมากเลยแหละ แกรีบมาเลยนะ”
ชางหลิงไม่ได้อืดอาดยืดยาดอีกเลย พร้อมทั้งพาป๋ายจื๋อบึ่งไปร้านเวดดิ้งสตูดิโอที่ซูเสี่ยวเฉิงพูดถึง
หลังจากก้าวเท้าเข้าสู่ร้านเวดดิ้งสตูดิโอ ที่ตกแต่งอย่างโอ่อ่าหรูหราตระการตาเป็นอย่างดี เมื่อมองมาที่ชุดเจ้าสาวฝีมือประณีตในการทำทุกชุด และการเก็บรายละเอียดที่จุด ชางหลิงเองก็ตาลายเช่นเดียวกัน