วันรุ่งขึ้นเวลา 08.00 นักเรียนถูกปลุกด้วยเสียงนาฬิกาปลุกภายในหอพัก มันเป็นสัญญาณให้ทุกคนตื่นขึ้นและลุกไปแต่งตัว เมื่อทุกคนพร้อมแล้ว พวกเขาต้องลงไปโรงอาหารด้วยกันเพื่อทานอาหารเช้า
เมื่อควินน์ตื่นขึ้น เขาได้รับการทักทายอย่างน่าประหลาดใจจากระบบ
[ ภารกิจรายวันของคุณเสร็จสิ้นแล้ว ]
[ หลีกเลี่ยงการถูกแสงอาทิตย์โดยตรงเป็นเวลา 8 ชั่วโมง
[ ได้รับรางวัล 5 Exp ]
[ 75/100 Exp ]
ภารกิจประจำวันจะรีเซ็ตใหม่ในเวลาเที่ยงคืนและควินน์นอนหลับไป 8 ชั่วโมงก็จะได้รับรางวัลเป็นค่า Exp ควินน์ค่อนข้างพอใจเพราะนี่หมายความว่าเขาสามารถรับ 5 Exp ได้ โดยไม่ต้องออกนอกลู่นอกทาง
จากนั้นได้มีเสียงดังครืนมาจากท้องของเขา
“ฉันหิวมากด้วยเหตุผลอะไรซักอย่าง บางทีร่างกายของฉันคงใช้พลังงานในการต่อสู้ครั้งนั้นมากเกินไป”ควินน์คิดในขณะที่มุ่งหน้าไปยังโรงอาหาร
โรงอาหารเป็นห้องโถงกว้างใหญ่แต่ค่อนข้างธรรมดา ซึ่งจริงๆแล้ว ขณะที่ควินน์เดินไปรอบๆโรงเรียน ควินน์ได้สังเกตว่าส่วนใหญ่ของโรงเรียนช่างดูเรียบง่าย ผนังน้้นเป็นสีขาวด้านเดียวไม่มีกรอบรูปหรืออะไรอย่างอื่น มีเพียงแค่หน้าต่างซ้ำแล้วซ้ำเล่า
มันเป็นภาพลักษณ์ที่สะอาดตาและทันสมัยที่ได้ยึดถือมา โรงอาหารนั้นเต็มไปด้วยโต๊ะขนาดใหญ่ที่เราสามารถนั่งได้สามคนในแต่ละฝั่งของโต๊ะ ทันทีที่ควินน์เดินเข้ามา เขาสังเกตเห็นบางอย่างได้ในฉับพลัน
ภายในโรงอาหารไม่มีที่นั่งที่กําหนดเอาไว้ หมายความว่านักเรียนสามารถนั่งในที่ๆพวกเขาต้องการได้ ซึ่งแสดงให้เห็นทันทีถึงความขัดแย้งในโรงเรียน พวกเลเวลต่ำก็จะนั่งถัดจากเลเวลต่ำและเลเวลสูงก็จะอยู่กับเลเวลสูงด้วยกัน
เมื่อควินน์ยืนรออยู่ในแถวเดียวกันกับปีเตอร์และวอร์เด็น พวกเขาสังเกตเห็นนักเรียนที่มาเข้าคิวสาย เขาคนนั้นเดินผ่านนักเรียนส่วนใหญ่ จนในที่สุดก็ลัดคิวต่อหน้าคนอื่นๆ ไม่มีใครพูดอะไรซักคำและเหตุผลง่ายๆ เป็นเพราะเขามีเลเวลพลังที่สูงกว่า
ควินน์เกลียดพฤติกรรมประเภทนี้ แต่ตอนนี้ไม่มีอะไรที่เขาสามารถทำได้ เมื่อทั้งสามคนได้รับอาหารแล้ว พวกเขาก็เริ่มมองหาที่นั่งทานกัน
“ทำไมเราไม่ไปตรงนั้น?”วอร์เด็นชี้ไปยังที่ๆยังว่างอยู่
“นายแน่ใจเหรอวอร์เด็น?”ปีเตอร์ถามขึ้น”ตรงนั้นเป็นบริเวณของเลเวล 1 นายไม่ต้องนั่งกับพวกเราก็ได้นะถ้านายไม่ต้องการ ใช่มั้ยควินน์?”
“ใช่ อย่าบังคับตัวเองเลย”ควินน์ตอบ
“นายสองคนเลิกพูดอะไรไร้สาระเถอะ พวกเราเป็นเพื่อนกันนะ ฉันไม่สนใจเรื่องเลเวลโง่ๆหรือระดับชนชั้นนี่หรอก”
พวกเขาทั้งสามคนจึงไปนั่งบนโต๊ะกับคนอื่นๆที่มีเลเวลน้อย พื้นที่นี้ค่อยๆเริ่มเต็ม แต่ไม่มีใครซักคนที่ตัดสินใจจะนั่งร่วมโต๊ะกับพวกเขาเลย เหตุผลง่ายๆนั่นคือ พวกคงกลัววอร์เด็น
พวกนั้นได้เห็นเลเวลพลังที่สูงของเขาและคนเลเวลต่ำเหล่านั้นต้องการที่จะอยู่ให้ห่าง
ทันทีที่นำอาหารมาวางมาบนโต๊ะ ควินน์ก็พุ่งไปกินอาหารทุกอย่างที่ได้รับมาอย่างหิวโหย แม้แต่อาหารที่โดยปกติแล้วเขาไม่ชอบกิน
“เฮ้ ถ้านายจะอิ่มแล้ว จะรังเกียจมั้ยถ้าฉันจะขอมัน” ควินน์ถาม
“ได้สิ เอาไปเลย”ปีเตอร์พูด
ควินน์ไม่เพียงแต่กินอาหารทั้งหมดของเขา แต่ยังกินทุกอย่างที่ทั้งสองคนเหลือไว้เช่นกัน ไม่ใช่แค่นั้นแต่ควินน์ยังหยิบน้ำอีก 8 ขวดมาดื่ม เพื่อต้องการเสร็จสิ้นภารกิจให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
เขาสังเกตได้ว่าครั้งล่าสุดที่อยู่ใต้แสงอาทิตย์ เขาเหงื่อออกมากกว่าปกติและต้องขอบคุณที่เขาดื่มน้ำไว้ล่วงหน้า ตัวเขาจะได้ไม่รู้สึกขาดน้ำถ้าพวกเขาออกไปข้างนอกอีกครั้ง วิธีนี้เป็นการช่วยควินน์ได้มากทีเดียว
“สำหรับผู้ชายผอม นายแน่ใจนะว่ายัดอาหารทั้งหมดได้”วอร์เด็นพูด
แม้ว่าควินน์จะกินอาหารทั้งหมดจนเกลี้ยง แต่ด้วยเหตุผลบางอย่างทำให้เขารู้สึกว่าความหิวยังไม่ได้หายไปไหน โชคดีที่เขาสามารถทนได้ หากมันไม่ทำให้เขาเสียสมาธิมากจนเกินไป
[ภารกิจประจำวันเสร็จสิ้น]
[ได้รับ 5 Exp]
[ 80/100 Exp]
ตอนนี้ควินน์อยู่ห่างจากการอัพเลเวลเพียง 20 คะแนน และในไม่ช้าเขาจะเห็นถึงประโยชน์ที่เขาจะได้รับ จากนั้นควินน์ก็นึกขึ้นได้ทันทีว่าเขาพึ่งเรียนรู้สกิล’ตรวจสอบ’เมื่อวาน ก่อนที่เขาจะตัดสินใจใช้มันกับวอร์เด็น
[ HP (พลังชีวิต) : 10/10 ]
[ Race (เผ่าพันธุ์) : มนุษย์]
[ Ability (ทักษะและความสามารถ) : ไม่มี]
[ Blood type (กรุ๊ปเลือด) O-]
ควินน์ชะงักไปซักพักขณะที่กำลังอ่านสิ่งที่ได้เห็น ด้วยเห็นผลบางอย่างระบบได้ระบุว่าวอร์เด็นไม่มีทักษะอะไร
“เฮ้ วอร์เด็น นายยังใช้พลังน้ำแข็งของเอรินได้มั้ย?”
“ว้าว ฉันไม่รู้เลยนะว่านายใส่ใจฉันขนาดนี้” วอร์เด็นพูดขณะลูบหลังศีรษะของตัวเอง “ที่จริง ทักษะของฉันจะรีเซ็ตในทุกๆวัน และวันนี้ฉันยังไม่ได้แตะต้องใครเลยนอกจากพวกทั้งนายสองคน แน่นอน ทักษะของพวกนายก็ใช้การไม่ได้สำหรับฉันด้วย”
เมื่อทานอาหารเช้าเสร็จ ก็ได้เวลามุ่งหน้าไปที่ชั้นเรียน ระหว่างทางที่ไปควินน์และปีเตอร์ได้พบกับไคล์ตรงกลางในโถงทางเดิน ไคล์ดูมีสภาพดีขึ้นและหายเป็นปกติแล้ว
ขณะที่เขาเดินผ่าน ไคล์พยายามหลบสายตาพวกเขา
“นายคิดว่าเขาจะบอกอาจารย์หรือเปล่าว่าเกิดอะไรขึ้น?” ปีเตอร์กระซิบ
“ไม่ ฉันมั่นใจว่าคงเป็นเรื่องน่าอายสำหรับเขา กับการที่ต้องยอมรับว่าแพ้คนอื่นที่อ่อนแอกว่า เพราะจะทำให้เขากลายเป็นเป้าหมายต่อไปหากใครซักคนจับได้”
แล้วก็ถึงเวลาสำหรับการเรียนในวันแรกและพวกเขาก็มุ่งหน้าไปยังห้องเรียนด้วยกัน โดยอาจารย์ประจำวันนี้ของพวกเขาคือ เดล ซึ่งเป็นคนๆเดียวกันกับที่พาพวกเขาเดินชมรอบๆโรงเรียน
พวกนักเรียนเลือกที่นั่งของตัวเองเหมือนกับในโรงอาหาร พวกเขาเลือกที่จะนั่งข้างๆคนที่มีเลเวลพลังเท่าๆกัน แน่นอนว่ายกเว้นวอร์เด็น วอร์เลยตัดสินใจมานั่งที่ด้านหลังของชั้นเรียนกับคนเลเวล 1 และเลเวล 2 รวมทั้งยังเลือกที่นั่งระหว่างปีเตอร์กับควินน์อีกด้วย
ทันใดนั้นนักเรียนคนอื่นๆก็เริ่มคุยกัน
“เขาคิดว่าเขากำลังทำอะไรอยู่ ที่ไปนั่งกับคนชั้นต่ำพวกนั้น”
“ฉันเห็นเขานั่งกับพวกนั้นในโรงอาหารด้วยนะ”
“มันจะไม่เกิดปัญหากับลำดับชั้นในโรงเรียนใช่มั้ย นักเรียนชั้นปีที่สองจะต้องเริ่มทำอะไรซักอย่างแน่”
“ใช่ ถ้าเขาทำผิดกฏ พวกนั้นต้องเข้ามาก้าวก่ายแน่ๆเลย”
การปฏิบัติที่แตกต่างไม่ได้เป็นแค่เรื่องในโรงเรียนเท่านั้น แต่เป็นเรื่องของสังคมด้วย เลเวลพลังสูงๆจะทำให้คุณได้งานที่ดีขึ้นและค่าจ้างที่ได้รับก็มากขึ้นเช่นกัน รวมไปถึงคุณจะได้รับการสนับสนุนเพิ่มเติมจากรัฐบาล ในขณะที่คนอื่นๆนั้น กลับถูกลืมทิ้งไป
แน่นอนคนที่อยู่เหนือกว่าไม่มีปัญหาอะไรกับสิ่งนี้ ขณะที่เลเวลล่างๆนั้นยอมทำทุกอย่าง เพราะเพียงต้องการที่จะได้รับทักษะใหม่ๆ พวกนี้หวังว่าสักวันตัวเองจะเพิ่มเลเวลขึ้นไปได้ และใครก็ตามที่พยายามจะทำลายห่วงโซนี้ ก็จะถูกปิดปากไปอย่างรวดเร็ว
มันเป็นเหตุผลเดียวว่าทำไมกลุ่ม ‘ผู้บริสุทธิ์’ ถึงได้มีอยู่ตั้งแต่แรก เพื่อยืนหยัดต่อสู้กับระบบห่วงโซ่นี้ นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้พวกเขาได้รับการปฏิบัติราวกับเป็นผู้ก่อการร้าย
เดลได้เริ่มการบรรยายของเขาซึ่งเกี่ยวกับโรงเรียนและสงครามใหญ่
“เมื่อเราได้พ่ายแพ้ในสงครามครั้งยิ่งใหญ่กับเผ่าพันธุ์ดัลกิ นั่นทำให้พวกเขาออกโรงมายืดหยัดต่อสู้ เราเรียกคนกลุ่มนี้ว่า ‘ผู้มีทักษะโดยกำเนิด’ นี่จึงถือเป็นครั้งแรกที่ทั้งโลกได้รู้จักกับทักษะพิเศษ โดยที่ไม่รู้มาก่อน ว่าพวกเขารักษาขุมพลังและความสามารถเหล่านี้เอาไว้มานานนับหลายร้อยปี เพื่อสืบทอดให้กับสมาชิกเฉพาะในครอบครัว
ต้องขอบคุณคนเหล่านี้ ที่แบ่งปันทักษะของพวกเขาให้กับผู้คน เพื่อให้เผ่าพันธ์มนุษย์ได้คงอยู่ แต่ไม่ใช่พวกเขาทั้งหมด แน่นอนเมื่อเราพูดคุยเกี่ยวกับ ‘ผู้มีทักษะโดยกำเนิด’ เราก็กำลังพูดถึงผู้ที่ค้นพบพลังและความสามารถ หรืออาจจะเป็นกลุ่มที่ตัดสินใจไม่แบ่งปันทักษะใดๆให้กับโลกเลย”
ทันใดนั้นเดลก็ทำสีหน้าจริงจังขึ้นมา
“เพราะเรากำลังอยู่ในช่วงเวลาที่ไม่มีใครรู้ว่าสงครามจะเกิดขึ้นอีกครั้งเมื่อไหร่ นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมพวกคุณถึงอยู่ที่นี่”
คาบเรียนได้จบลงและถึงเวลาที่นักเรียนได้หยุดพัก วอร์เด็น ควินน์และปีเตอร์ได้มุ่งหน้าออกไปข้างนอกเพื่อทานของว่าง ทันทีที่ควินน์ก้าวออกข้างนอกนั้น ข้อความแจ้งเตือนก็ได้ปรากฏขึ้น
[ค่าสถานะนะทั้งหมดลดลงครึ่งหนึ่ง]
ทั้งสามคนนั่งลงที่ม้านั่งใกล้ๆ และควินน์ได้อ่อนแอลงอีกครั้ง
“เฮ้ นายโอเคมั้ย ไม่สบายอีกแล้วเหรอ?” วอร์เด็นถามขึ้น “เหงื่อของนายออกเยอะเป็นบ้าเลย”
“ใช่.. ฉันแค่ขี้ร้อนน่ะ”ควินน์ตอบ
พวกเขาทั้งสามคนได้พูดคุยเกี่ยวกับเรื่องที่ไร้สาระรวมไปถึงประสบการณ์ในโรงเรียนที่ผ่านมา จนกระทั่งทันใดนั้นเอง ได้มีนักเรียนชาย 6 คนปรากฏตัวต่อเขาทั้งสาม พวกเขาแต่ละคนนั้นสวมปลอกแขนสีดำซึ่งระบุว่าเป็นนักเรียนชั้นปีที่ 2
“ดูเหมือนข่าวลือจะเป็นความจริง” หนึ่งในนักเรียนชั้นปีที่ 2 พูดขึ้น
“พวกเรามีเรื่องสำคัญบางอย่างที่อยากจะคุยกับพวกนายทั้งสามคน จะว่าอะไรไหม ถ้านายจะมากับพวกเรา?”