ครั้งแรกที่มีการค้นพบเครื่องวาร์ป พวกเขากำหนดให้อุปกรณ์เหล่านี้ พาพวกเขาไปได้ทุกที่อย่างที่ใจนึก กระทั่งในที่สุดความคิดที่จะตั้งอาณานิคมบนดาวอังคารก็เป็นความฝันที่กลายเป็นจริง
ยานอวกาศได้ถูกประดิษฐ์ขึ้นมา แต่ไม่สามารถเดินทางด้วยความเร็วแสงได้ อย่างไรก็ตาม พวกเขาก็สามารถสร้างประตูมิติขนาดใหญ่ที่ช่วยให้เดินทางไปยังดาวเคราะห์อื่นๆได้อย่างสะดวก
แต่ความฝันมันสั้นนัก ประตูมิติจะสามารถกำหนดได้เฉพาะตำแหน่งที่ถูกกำหนดเอาไว้แล้ว ซึ่งเป็นสถานที่ๆพวกเขาไม่รู้จักในจักรวาล บางที่มันอาจจะเป็นมิติที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงเลยก็ได้
ไม่มีใครรู้ความจริงเรื่องนี้ และนักวิทยาศาสตร์มีเพียงทฤษฏีของตำแหน่งที่ประตูมิติจะพาไปเท่านั้น ทว่าสิ่งที่พวกเขาพบคือดาวเคราะห์แต่ละดวงมีสัตว์อสูรต่างๆที่อันตรายมากมาย และสัตว์อสูรพวกนี้คือสิ่งมีชีวิตที่ไม่เคยพบเห็นมาก่อน
ในตอนนั้น หลังจากที่สัตว์อสูรตัวแรกถูกฆ่าและเก็บข้อมูลเพื่อทำการวิจัย ผลึกคริสตัลในร่างกายของสัตว์อสูรก็ถูกค้นพบ และภายในคริสตัลนั้นมีพลังอันมหาศาลเกินกว่าที่มนุษย์จะสามารถจินตนาการได้
ถึงแม้ผู้คนมากมายจะพูดเอาไว้ว่า พวกเราประสบความสำเร็จในการป้องกันเผ่าพันธ์ดัลกิได้ เพราะเหล่า ‘ผู้มีทักษะโดยกำเนิด’ แต่นั่นไม่ใช่เรื่องจริงเลย
ทักษะพิเศษต่างๆของพวกเขาไปไกลสุดแค่ในสงครามเท่านั้น เพราะมีทักษะพิเศษที่แข็งแกร่งไม่มากพอจะสู้กับเผ่าพันธุ์ดัลกิได้
เทคโนโลยีของพวกมันก้าวหน้าเกินไปเมื่อเทียบกับเผ่าพันธ์มนุษย์ อาวุธนิวเคลียร์ก็ถูกส่งไปที่ไหนสักแห่งก่อนที่จะชนกับเรือรบของพวกมันด้วยซ้ำ และกระสุนก็ไม่ส่งผลอันตรายใดๆต่อผิวหนังของดัลกิ
แต่แล้ว การค้นพบครั้งใหม่ก็เกิดขึ้นพร้อมกับคริสตัลของสัตว์อสูร ต้องขอบคุณ ริชาร์ด เอโน อีกครั้งสำหรับวิธีการสร้างอาวุธอสูรขึ้นมาทั้งหมด การใช้ทักษะพิเศษต่างๆกับอาวุธพวกนี้ กลายเป็นจุดเปลี่ยนที่แท้จริงในสงครามระหว่างเผ่าพันธุ์ แต่ไม่ค่อยมีใครจำข้อเท็จจริงนี้ได้ เนื่องจากพวกเขาหลงใหลที่ได้พบทักษะพิเศษต่างๆมากจนเกินไป ในช่วงเวลานั้น
ขณะที่วอร์เด็นกระโดดเข้าไปในประตูมิติสีแดง เขารู้สึกชาไปทั่วทั้งร่างกายของเขา โลกรอบๆตัวเขาเริ่มบิดเบี้ยวและเคลื่อนที่ไป โดยที่จิตใจของเขารู้สึกราวกับมันกำลังหลอมละลาย
มันไม่ใช่ความรู้สึกที่น่ากลัวจนเกินไป ที่จริงมันเป็นความรู้สึกที่ได้รับผ่านเครื่องวาร์ป ส่งผลให้จิตใจล่องลอยไปราวกับคนติดยา
ไม่กี่อึดใจต่อมา วอร์เด็นก็ถึงที่หมาย เขาลืมตาขึ้นและสิ่งแรกที่เขาสังเกตเห็นก็คือสถานที่ตรงหน้านั้นมืดมิดอย่างไม่น่าเชื่อ
ทั่วทั้งท้องฟ้าเป็นสีดำ และแสงที่ส่องสว่างเพียงอย่างเดียวคือดวงจันทร์สองดวงบนฝากฟ้าอันไกลโพ้น รอบๆตัวเขาคือเศษซากของอาคารที่พังทลายราวกับเป็นโครงสร้างจากยุดสมัยที่เคยมีอยู่ ณ ช่วงเวลาหนึ่ง
วอร์เด็นยังคงเอามือกุมศีรษะ แต่เมื่อเขาพยายามลืมตามองสิ่งที่อยู่เบื้องหน้า ความทรมาณก็เริ่มหายไปและสภาพจิตใจเขาก็ปลอดโปร่งขึ้น
“ดูเหมือนเจ้าตัวเล็กจะสงบลงแล้วนะ” วอร์เด็นกล่าว “อีกไม่นานหรอก เขาอาจจะออกมาทำอะไรสักอย่างก็ได้”
‘แล้วนั่นมันสำคัญนักรึไง’ ราเทนเถียงขึ้นมา ‘แกรู้ไหมว่าพวกเราอยู่ที่ไหน แกกระโดดเข้ามาในประตูมิติสีแดงเนี่ยนะ!’
วอร์เด็นจึงเริ่มมองไปที่สภาพแวดล้อมต่างๆ มันแปลกมากที่เห็นเศษซากอาคารที่พังทลายเหล่านี้ เพราะอาคารส่วนใหญ่คือสัญลักษณ์ที่มีชาวโลกอาศัยอยู่ หรืออาจจะเป็นอารยธรรมขั้นสูงที่เคยมี ซึ่งจนถึงปัจจุบันนี้ การค้นพบดาวเคราะห์ดวงอื่น ก็ไม่มีสัญญานว่าจะเจอเศษซากอารยธรรมเช่นนี้เลย
เมื่อมีการก่อสร้างก็มักจะเป็นสิ่งปลูกสร้างของเผ่าพันธุ์ดัลกิ แต่เห็นได้ชัดว่านี่ไม่ใช่ฝีมือของพวกมัน
“ประตูมิติสีแดงหมายถึงดาวเคราะห์ที่ไม่มีที่อยู่อาศัยไม่ใช่เหรอ? แต่ที่นี่ดูเหมือนมีจะเศษซากที่พังทลายของที่อยู่อาศัยเลย”
‘ฉันคิดว่าแกคงจะลืมอะไรบางอย่าง’ ราเทนกล่าว ‘แม้ว่าสีส้มจะมีหมายความว่าอยู่ในระหว่างการยึดครองและสร้างที่อยู่อาศัยต่างๆก็จริง แต่ประตูมิติสีแดงอาจจะหมายถึง มันอันตรายมากเกินไปที่จะสร้างที่อยู่อาศัยได้ตั้งแต่แรก ซึ่งตามหลักการแล้ว แกกำลังพาพวกเรามาตาย’
“นายหมายความว่ายังไง” วอร์เด็นสวน
‘แกนี่มันโง่จริงๆใช่ไหม แน่นอน เราอาจจะวิ่งผ่านประตูมิติมาได้ เพราะงั้น มันก็คงไม่ฆ่าเพื่อนของแกหรอก แต่จะเป็นยังไงถ้าเราดันตายที่นี่แทน ทักษะเดียวที่เรามีในตอนนี้คือทักษะธาตุดินกระจอกๆเลเวลหนึ่ง ถ้าหากไปเจอกับสัตว์อสูรเข้าเมื่อไหร่ เราก็ถึงคราวซวยเมื่อนั้น’
นี่ไม่ใช่ปัญหาเดียว เพราะสถานที่แห่งนี้ไม่มีความเจริญรุ่งเรืองด้วยฝีมือมนุษย์ ซึ่งที่ผ่านมา มีคนจำนวนไม่น้อยที่มีสิทธิเข้าถึงเครื่องวาร์ปพวกนี้ โดยมีเพียงประตูมิติสีเขียวที่สามารถใช้งานได้อย่างสาธารณะ และพวกเขาจะต้องถูกตรวจสอบอย่างเคร่งครัด จากบริษัทที่เป็นเจ้าของอีกด้วย
หมายความว่ามีมนุษย์กลุ่มเดียวที่จะอยู่ที่นี่ได้ นั่นก็คือกลุ่ม ‘นักเดินทาง’ ไม่มีผู้คนอยู่แถวนี้และมีเพียงสัตว์อสูรเท่านั้น วอร์เด็นกำลังติดแหงกอยู่กับทักษะพิเศษรูปแบบเดียว ซึ่งมันจะอยู่กับเขาแค่ 24 ชั่วโมงจากนี้ไป
ในตอนนั้นเอง ก็มีบางอย่างผุดขึ้นมาในความคิดของวอร์เด็น ประตูมิติจะทำการส่งควินน์ไปยังตำแหน่งที่ถูกกำหนดเอาไว้อยู่แล้ว ทว่ามันอาจจะทำให้เขาอยู่ในบริเวณใกล้เคียงได้อย่างน้อยก็คงสักประมาณสิบไมล์ของกันละกัน ถึงกระนั้น สิบไมล์ก็เป็นระยะทางที่ไกลสุดๆ และมีโอกาสที่จะถูกสัตว์อสูรโจมตีได้จากทุกซอกทุกมุม มันจึงเป็นเรื่องยากจริงๆที่จะหาควินน์ให้เจอ
สำหรับตอนนี้ วอร์เด็นจะต้องมองหาประตูมิติเพื่อกลับไปที่โรงเรียนเตรียมทหารให้ได้ ขณะที่ตามหาควินน์ไปด้วย
****
ควินน์อยู่ที่ไหนสักแห่งบนดาวเคราะห์ดวงเดียวกัน หัวใจของเขาเต้นเร็วมาก ดูเหมือนจะเป็นครั้งแรกที่เขาได้รับประสบการณ์แบบนี้
‘ปีเตอร์! นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน!’ ควินน์คิดในใจ ‘ให้ตายเถอะ เขาผลักฉันเข้ามาในประตูมิติได้ยังไง และตอนนี้ฉันอยู่ที่ไหนกันเนี่ย?!’
เมื่อควินน์มองไปรอบๆตัว เขาเห็นสิ่งปลูกสร้างที่คล้ายๆกันเต็มไปหมด มันพังยับเยินและล้มลงระเนระนาด สถานที่แห่งนี้นั้นราวกับมันถูกทิ้งไว้นานนับหลายปี อย่างไรก็ตาม ถือว่าช่วยชีวิตเขาได้มากเลย เพราะตอนนี้ ดาวเคราะห์ที่เขาอยู่คือช่วงเวลากลางคืน
หมายความว่า ควินน์จะไม่รู้สึกอ่อนแอและมีโอกาสรอดชีวิตมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ก่อนที่ควินน์จะเดินออกไปจากจุดเดิมที่เคยยืน เขาก็สังเกตได้ถึงบางสิ่งบางอย่างที่หางตาของเขา
เขายืนอยู่กลางถนนที่ล้อมรอบไปด้วยเศษซากของอาคารที่พังทลายทั้งสองด้าน ทว่า กลับมีอะไรบางอย่างที่กำลังเคลื่อนที่ไปมาด้วยความเร็ว และใช้ซากปรักหักพังเป็นที่กำบังของมัน
ควินน์พยายามมองตามให้ทันด้วยสายตาของเขา แต่ทว่ามันเคลื่อนที่ไปมาตลอด จนกระทั่งในที่สุด มันก็หยุดอยู่ใต้ซากหินของอาคารหลังหนึ่ง
‘ถ้าเป็นในหนัง มักจะมีคนๆหนึ่งเดินเข้าไปเช็ค’ ควินน์คิดในใจ แต่ไม่มีทางเด็ดขาดที่เขาจะทำแบบนั้น เขาอยู่บนโลกที่ไม่มีใครรู้จัก และอยู่อย่างลำพัง ไม่ว่ามันจะเป็นตัวอะไร เห็นได้ชัดว่ามันไม่อยากให้เขาเจอตัว
ควินน์ถอยออกมาให้ห่าง เพื่อให้แน่ใจว่าจะจับตามองตำแหน่งสุดท้ายที่เขาเห็นร่างของมัน จากนั้น เมื่อเขาเดินออกมาในระยะที่ปลอดภัยเพียงพอ ในที่สุดเขาจะหันกลับไป
ทันใดนั้น เมื่อได้ยินเสียงจากด้านหลัง ควินน์หันกลับไปอย่างฉับพลัน พร้อมกับเห็นร่างกายที่น่าสะพรึงกลัวพุ่งตรงเข้ามาหาเขา เห็นได้ชัดว่ามันไม่ใช่สัตว์ธรรมดาๆ แต่มันคือสิ่งที่เขาเห็นจากในหนังสือและทีวีมาโดยตลอด มันคือสัตว์อสูร