คนเป็นภรรยาเงยหน้าขึ้นด้วยความประหลาดใจ
“ยังมีอีกแผ่นหรือ” นางเอ่ยถามเพราะเพิ่งเห็นว่าในมือของชายหนุ่มมีหนังสืออยู่สองฉบับ “นั่นคือ…”
“จะเอาไปให้ผู้มีพระคุณน่ะ” หลี่ต้าเสาตอบ
ผู้เป็นภรรยาตกใจยิ่งกว่าเดิม
“ผู้มีพระคุณหรือ” นางถาม
“เดิมทีก็เป็นของข้าอยู่หรอก” หลี่ต้าเสาวางกระดาษลงบนโต๊ะเตี้ยก่อนจะนั่งขัดสมาธิกับพื้น “แต่ว่าข้าตั้งใจจะมอบให้ท่านผู้มีพระคุณ”
ผู้เป็นภรรยาเบิกตาโพลงแล้ววางเข็มในมือลง
“เรื่องมันเป็นแบบนี้ นายท่านบอกว่าพวกเขาลงเงินทั้งหมดไปกับการต่อเติมร้านแล้ว ดังนั้นช่วงเดือนแรกหากจะต้องจ่ายค่าจ้างข้าคงลำบาก” หลี่ต้าเสาพูด
ภรรยาเองก็นิ่งไปชั่วขณะ
“จะไม่จ่ายค่าจ้างอย่างนั้นหรือ” นางไม่รู้ว่าควรพูดอย่างไรดี “ละ…แล้ว”
“พวกเขาก็เลยจะแบ่งหุ้นของร้านให้ข้าเป็นการชดเชย” หลี่ต้าเสาพูดต่อ “ครึ่งปีหลังจากนี้ถึงจะจ่ายค่าจ้างให้ข้า แต่ว่าช่วงนี้ให้เอาของจากที่ร้านมากินได้”
ภรรยาร้องออกมาด้วยความประหลาดใจ สีหน้ามึนงง
“แบ่งหุ้นให้กันง่ายๆ เลยหรือ” นายเอ่ยถามก่อนจะถอนหายใจ “เดิมทีท่านชายโต้วชีก็ให้หุ้นท่านเหมือนกัน แต่ก็ทำแบบหลบๆ ซ่อนๆ สุดท้ายกลับถูกหลานของท่านชายไล่ออกมา หากไม่ใช่เพราะเขา พวกเราคงไม่ต้องเป็นเหมือนทุกวันนี้”
“ข้าก็บอกไปแล้ว นายท่านก็หัวเราะแล้วบอกว่าพวกเขาแค่ร้านเล็กๆ ไม่ได้มีกำไรมากมาย ขอแค่ทุกคนมีข้าวกิน ใช้ชีวิตในแต่ละวันอย่างสงบสุขก็พอ” หลี่ต้าเสากล่าว “ถึงจะแบ่งหุ้นให้ก็เถอะ ไม่แน่ว่าเงินค่าจ้างอาจจะเยอะกว่าด้วยซ้ำ”
ภรรยาพยักหน้ารับ เป็นคนต่างถิ่นแถมยังไม่ใช่คนทำการค้า มาเปิดร้านอาหารแบบนี้ จะขายดีสักแค่ไหนก็พอจะเดาออก จะไปสู้หอจุ้ยเฟิ่งได้อย่างไร
“แล้วเกี่ยวอะไรกับท่านผู้มีพระคุณเล่า” นางถามต่อในทันใด
“ข้าพูดคุยกับนายท่านของข้า คุยไปคุยมาก็เล่าถึงเรื่องของพวกเขาในอดีต เล่าถึงว่าตอนอยู่แถบตะวันตกเฉียงเหนือนั้นลำบากเพียงใด เหมือนกับเคยป่วยเจียนตายแต่ได้คนที่ผ่านมาช่วยเหลือไว้ พอได้ฟังเรื่องของเราบ้างพวกเขาก็เข้าใจ คนที่ได้รับการช่วยเหลือเช่นพวกเราก็อยากจะตอบแทนผู้มีพระคุณอย่างเต็มที่” หลี่ต้าเสาพูดจบก็ทอดถอนใจ “นายท่านเลยบอกว่า พวกเขาต้องขอให้ข้ามาเป็นพ่อครัวให้ได้ เพื่อตอบแทนบุญคุณ แต่ข้าว่ามันคนละเรื่องกัน”
เขายิ้มพล่างส่ายหัวไปมา
“ชายหนุ่มจากตะวันตกเฉียงเหนือพวกนี้ ช่าง…” เขาเอ่ย
“ชายเป็นคนตรงไปตรงมาเสียจริง” นางพูดต่อ
“พอนายท่านตบบ่าข้าแล้วถอนหายใจอย่างโล่งอก แล้วบอกว่าการได้ตอบแทนบุณคุณนั้นคือความสุขที่ยิ่งใหญ่ ตอนนั้นข้าจึงคิดขึ้นได้” หลี่ต้าเสาพูดพลางมองหนังสือสัญญาในมือ
จะว่าไปแล้วตอนนั้นมีคนแนะนำเขา เรื่องราวเป็นอย่างไรเขาเองก็จำได้ไม่ชัดนัก แต่ว่าเขานั้นตั้งมั่นแล้ว
“ถึงข้าจะมอบหุ้นนี้ให้กับท่านชายหันผู้มีพระคุณ แต่อีกไม่กี่เดือนข้าก็ได้ค่าจ้างอยู่ดี หากไม่มีท่านชายหัน ข้าก็ไม่มีทางได้หุ้นนี้มาหรอก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องค่าจ้าง หากจะให้ข้าให้ท่านชายหันทั้งหมดยังได้เลย เป็นลูกผู้ชาย ต้องทดแทนบุญคุณให้เท่ากับที่ได้รับมา”
ยามพูดประโยคนี้ออกมา ก็หวนนึกถึงตอนที่พูดกับผู้ดูแลร้าน นึกถึงทีไรก็รู้สึกสุขใจทุกที
ภรรยามองชายหนุ่มด้วยความประหลาดใจ
หลี่ต้าเสาหันไปมองภรรยา ก่อนจะถอนหายใจแล้วนั่งลงอีกครั้ง
“เจ้าคิดว่าไม่ควรใช่หรือไม่” เขาเอ่ยถาม
ภรรยาส่ายหน้าแล้วส่งยิ้มให้
“ชายใหญ่ ข้าคิดว่าท่านเป็นคนดีเหลือเกิน ตอนที่ท่านพูดเมื่อกี้นี้ท่านดูสดใส ข้าไม่เคยเห็นท่านมีชีวิตชีวาเช่นนี้มาก่อน” นางเอ่ยพลางมองดูแววตาอ่อนโยนดุจสายน้ำของชายหนุ่มด้วยความนับถือ “ท่านทำแบบนี้ดีแล้ว ถึงพวกเราจะจน แต่หากมีโอกาสก็ย่อมตอบแทนบุญคุณเขาอย่างแน่นอน”
หลี่ต้าเสาพยักหน้า
“นายท่านล้วนแต่เป็นคนตรงไปตรงมาทั้งนั้น ทั้งยังมุ่งมั่นเพื่อร้าน ข้าตั้งใจจะไปพร้อมกับพวกเขา” เขาเอ่ยขึ้นก่อนจะกุมมือหยาบกระด้างเพราะทำงานหนักของภรรยา “ข้าทำให้เจ้าต้องลำบาก”
ภรรยาก้มหน้าที่กำลังร้องไห้พร้อมส่ายหัวไปมา
“ไม่ลำบาก ชายใหญ่ดีกับข้าเหลือเกิน” นางเอ่ย
สองสามีภรรยากอดกันกลมทำให้หน้าหนาวนี้ช่างดูอบอุ่นยิ่งนัก
ฮูหยินโจวนั่งลงได้ไม่นานก็เห็นเฉิงเจียวเหนียงเดินออกมา
“เจียวเจียวร์ ดีขึ้นบ้างหรือยัง” นางรีบถามในทันใดพลางสังเกตสีหน้าของเฉิงเจียวเหนียง “สีหน้าดีดูขึ้นเยอะแล้วนะ”
ที่จริงแล้วหญิงผู้นี้สีหน้าดีขึ้นหรือไม่นางเองก็ดูไม่ออก เพราะสีหน้าเหมือนเดิมอยู่ตลอดเวลา
เฉิงเจียวเหนียงขานรับ ก่อนจะพยักเล็กน้อยเพื่อขอบคุณแล้วจึงนั่งลง
“อยากจะลองเปลี่ยนหมอดูไหม หรือจัดยาใหม่ เจียวเจียวร์อยากกินอะไรหรือเปล่า” ฮูหยินโจวถามไม่หยุด
คำถามมากมายแต่เฉิงเจียวเหนียงตอบเพียงแค่อืม
“เรื่องเงินไม่ต้องห่วง ตระกูลโจวของพวกเราไม่มีเหมือนที่อื่น กินใช้จับจ่ายตามสบาย ไม่เหมือนท่านพ่อเจ้า ดูแลเจ้าไม่ดีแถมยังเกาะเจ้ากินอีก ตอนพี่ชายเจ้าเล่าให้ฟัง ท่านลุงเจ้าโกรธจนอยากจะไปต่อว่าท่านพ่อเจ้าให้รู้แล้วรู้รอด” ฮูหยินโจวพูดพลางพ่นลมหายใจออกมา น้ำตาคลอเบ้า “เจียวเจียวร์เอ๋ย พวกเขากินอยู่จากสินเดิมของแม่เจ้า ดูแลเจ้าไม่ดี หากรู้ว่าเป็นเช่นนี้พวกเราคงไม่นับญาติกับพวกนั้น แล้วรับเจ้ากลับมาทันที”
เฉิงเจียวเหนียงยกแขนเสื้อขึ้นมาเพื่อปิดปากหาว
“พอพูดถึงเรื่องนี้ ข้าก็วางใจได้ ของของแม่เจ้านั้นเป็นของเจ้า ไม่มีใครแย่งไปได้ รอเจ้าออกเรือน พวกข้าจะเพิ่มให้อีก” ฮูหยินโจวพูดขึ้นก่อนจะเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “เงินของเจ้าข้าจะดูแลให้ จะฝากไว้ก็ได้ หรือจะเอาไปเพิ่มทุนที่ร้านก็ได้นะเจียวเจียวร์ ลุงกับป้าจะเลี้ยงดูเจ้าให้อิ่มหนำไม่ให้ขาดเหลือ”
เฉิงเจียวเหนียงโค้งหัวคำนับบอกลา
“เช่นนั้นเอาม้วนเงินที่ตระกูลต่งให้ออกมาสิ เงินเก็บไว้แบบนั้นน่าเสียดายจะตายไป เงินบ้านเราเก็บกันเองไม่เป็นไรหรอก” ฮูหยินโจวเอ่ยพลางยิ้ม
เฉิงเจียวเหนียงเงยหน้าขึ้น
“ไม่เป็นไร” นางตอบ
“เจียวเจียวร์ ใช่ว่าข้าอยากได้เงินของเจ้า เจ้าไม่ต้องกลัว เจ้ายังเด็กนัก เก็บเงินไว้กับตัวมันไม่ดี ข้าช่วยเจ้าเก็บเอง ไม่มีทางไม่คืนเจ้าแน่” นางพยายามเค้นรอยยิ้มออกมาโน้มน้าว “เจ้าเก็บไว้นิดหน่อยก็พอ หากต้องการใช้อะไรเพิ่ม ลุงกับป้าก็ให้เจ้า เอาเงินไปต่อเงิน วันหน้าล้วนแต่เป็นของเจ้าทั้งนั้น”
“ไม่เป็นไร” เฉิงเจียวเหนียงย้ำคำเดิม
เด็กคนนี้เหตุใดถึงได้ดื้อด้านเพียงนี้ ฮูหยินโจวสูดหายใจลึก
“ฮูหยินเจ้าคะ” สาวใช้พูดต่อพลางขมวดคิ้ว “นายหญิงของข้าบอกแล้วว่าไม่เป็นไร ไม่เป็นไร อย่าได้ถามอีกเลยเจ้าค่ะ เดี๋ยวนางจะร้องไห้เอา คนอื่นจะหัวเราะเยาะเอาได้”
นังสาวใช้คนนี้! ฮูหยินโมโหแต่ก็ต้องเย็นลงในทันใด
“เจียวเจียวร์ ข้าหวังดีกับเจ้า เจ้าไม่ต้องการหรือ” นางเอ่ยถาม
“ไม่ต้องการ” เฉิงเจียวเหนียวตอบพลางมองฮูหยินโจว “ข้าหิว”
หิวอย่างนั้นรึ
ข้าหิวอย่างนั้นรึ
นี่มันกี่โมงกี่ยาม เหตุใดถึงหิวได้ แล้วเหตุใดจู่ๆ ถึงพูดออกมา
ฮูหยินโจวนิ่งไปชั่วครู่ก่อนจะเหมือนว่านึกอะไรขึ้นได้บางอย่าง นางมองเฉิงเจียวเหนียง
จู่ๆ เสียงของท่านชายโจวหกก็ดังขึ้นในหู เป็นคำบอกเล่าที่ลูกชายได้ยินมาหลังจากกลับมาจากเจียงโจว
“นางเจอข้าแล้วพูดสองคำนี้ออกมา คำที่ทำให้คนทั้งตระกูลเฉิงโกลาหลวุ่นวายจนต้องทิ้งนาง ท่านพ่อ ท่านแม่ ลองทายดูสิขอรับว่าอะไร”
“นางพูดว่าข้าหิว”
ข้าหิว…
นางจะพูดสองคำนี้ในเวลาที่เหมาะกับคนที่ควรเท่านั้น
ฮูหยินโจวมองหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้า เรียวคิ้วที่อยู่ใต้ม่านผมสีดำขลับ ดวงตาแข็งทื่อที่ไม่ว่าจะพินิจอย่างไรก็ยากจะคาดเดาได้ มีแต่จะทำให้คนมองรู้สึกอึดอัดไปทั้งตัว
………………………………………………………