เสียงคำรามบนท้องฟ้าดังอยู่เนืองๆ ม่านฟ้าค่อยๆ มืดครึ้ม ยามค่ำวันนี้คงจะฝนตกเป็นแน่
“ตอนกลางคืนถึงจะตก” เฉิงเจียวเหนียงพูดขึ้น มองดูสาวใช้ที่กำลังเอ่ยลา
“ข้าเสียงดังรบกวนนายหญิงเองเจ้าค่ะ” สาวใช้เอ่ยแล้วก้มหน้าลง พร้อมกับความรู้สึกผิดอยู่เต็มประดาในหัวใจ
สาวใช้อีกคนก็รู้สึกผิดเช่นเดียวกัน มีเพียงปั้นฉินเท่านั้นที่กลั้นยิ้มไม่อยู่
“ถึงได้บอกว่าคนน่ะ ทำให้คนตกใจกันเองมากที่สุดแล้ว” นางยิ้มพลางยกแขนขึ้นมาปิดปาก “ปกติข้าไม่ตกใจเสียงฟ้าร้องหรอก”
“ตอนนั้นข้าตื่นแล้ว” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย “ไม่ถือว่ารบกวนหรอก”
สาวน้อยยิ้มอย่างเก้อเขิน ก่อนจะขอตัวลา
“ข้าไปส่ง” สาวใช้เอ่ย
แต่ก่อนเรื่องนี้ล้วนแต่เป็นหน้าที่ของนาง ปั้นฉินชะงักฝีเท้า มองสาวใช้ที่เดินลงบันได
“นายหญิงจะเขียนหนังสือหรือเจ้าคะ” นางหันหลังกลับไปถาม “ข้าเก็บกวาดห้องหนังสือเรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ”
เฉิงเจียวเหนียงพยักหน้า นายและบ่าวพากันเดินไปยังห้องหนังสือ
ส่วนสาวใช้อีกคนก็เดินตามสาวน้อยออกประตูไป
“ท่านพี่ไม่ต้องไปส่งหรอก รีบกลับไปเถิด” สาวน้อยยิ้มพลางเอ่ย
สาวใช้ยื่นมือไปรั้งนางไว้ด้วยสีหน้ายากจะอธิบาย
“จะไปที่อื่นหลายวันจริงๆ หรือ” นางถาม
ถามเรื่องนี้อีกแล้ว สาวน้อยมองนางด้วยสีหน้าจริงจัง
“ท่านพี่มีเรื่องอะไรกันแน่” นางถาม
สาวใช้ก้มหน้ามองพื้น
“เปล่า” นางส่ายหัวอีกครั้ง ก่อนจะเงยหน้ายิ้ม “ข้าคิดว่าหากนายใหญ่อยู่ที่เมืองหลวง นายหญิงจะมีที่พึ่ง ในเมื่อกิจการของตระกูลใหญ่ขึ้นไปทุกวัน ญาติพี่น้องก็พึ่งพาไม่ได้อีก”
สาวน้อยมองนางแล้วยิ้ม
ญาติพี่น้องพึ่งพาไม่ได้แล้วอย่างไรเล่า
บำเพ็ญพรตด้วยตัวคนเดียวนั้นอันตรายแล้วอย่างไรเล่า
“ไม่ต้องกลัว” นางเอ่ยพลางยื่นมือไปตบไหล่สาวใช้ “ฟังคำของนายหญิงไว้ ไม่ต้องกลัวอะไรทั้งนั้น” สาวใช้มองนาง
“ท่านพี่” นางลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ย “ท่าน… เคยเห็นคนตายใช่ไหม”
นางไม่ใช่เด็กไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมเสียหน่อย เพียงแค่เสียงฟ้าร้อง เหตุใดถึงตกใจกลัวเสียขนาดนั้น
คนต่างหาก ที่ทำให้คนตกใจกันเองมากที่สุด
สาวน้อยมองนางพลางเม้มปากยิ้ม
“ข้าเคยเห็นแต่คนทำบาป สวรรค์ไม่ให้อภัย” นางเอ่ย
หยาดฝนโปรยปรายลงมายามตะวันตกดินตามคาด ฝูงชนที่แน่นขนัดอยู่ตามท้องถนนต่างแยกย้ายราวกับมดแตกรัง
ชายหนุ่มรีบวิ่งฝ่าฝนเข้าไปในเรือนหลังหนึ่ง ก่อนจะดึงงอบและเสื้อกันฝนที่ทำจากฟางออก
“จูอู่” ชายหนุ่มสีห้าคนที่อยู่ด้านในห้องตะโกนออกมา น้ำเสียงดุดัน “หากยังไม่เอาเงินมาให้อีก พวกข้าจะต้องแห่ขบวนศพแล้วนะ”
ชายหนุ่มที่ถูกเรียกว่าจูอู่หัวเราะ นำเงินโยนลงบนพื้นเกิดเสียงเหรียญกระทบกัน ท่าทางคงจะมีจำนวนไม่น้อยเลยทีเดียว
สีหน้าของบรรดาชายหนุ่มในห้องผ่อนคลายลง
“ข้าคิดไม่รอบคอบเอง คิดไม่ถึงว่าที่นั่นจะเลี้ยงคนฝีมือดีเอาไว้ ทำให้ทุกท่านขวัญเสียแล้ว” จูอู่เอ่ยพลางอมยิ้ม “เงินพวกนี้เป็นเงินปลอบขวัญพวกท่าน”
แม้คำพูดจะเป็นการพูดด้วยความเกรงใจ ทว่าคนฟังกลับรู้สึกระคายหู
“ถุย ฝีมือดีอะไรกัน พวกเราแค่ประมาทไปเท่านั้น” ชายหัวโจกถ่มน้ำลายก่อนจะเอ่ย ผ้าขาวพันรอบหัวและปิดจมูกเขา มองดูแล้วน่าขันนัก พอพูดจบก็เจ็บแผลเข้าไปอีก เขากัดฟันพาลเดือดดาลอยู่ภายในใจ “ข้าจะทำให้เจ้าพวกนั้นได้เห็นดีแน่ เช่นนั้นแล้วข้าไม่ขออยู่ในเมืองหลวงอีกต่อไป!”
“หวังต้า อย่างไรเสียก็พลาดท่าไปแล้ว” จูอู่ยิ้มพลางเอ่ย “อย่าคิดมากไปเลย”
คำพูดนี้ทำให้เขารู้สึกขายหน้าอย่างไม่ต้องสงสัย เหล่าอันธพาลลุกพรวดขึ้นมาก่นด่า
“จูอู่ เจ้าอย่ามาใช้วาจาถากถางให้ผู้อื่นรู้สึกอับอายเช่นนี้” หวังต้าส่งเสียงเฮอะ ก่อนจะเอ่ยต่อ “ข้าเสียหน้า ย่อมต้องไปกู้หน้าคืนมาอยู่แล้ว แต่ไม่เกี่ยวกับการรับหรือไม่รับเงินของเจ้าหรอกนะ”
หากไม่รับเงินแล้วคนกระจอกอย่างพวกเจ้าจะยอมทำงานอย่างเปล่าประโยชน์หรือ หน้าตาหรือ นักเลงหัวไม้อย่างพวกเจ้าคิดว่าตัวเองเป็นวีรบุรุษหรืออย่างไร
จูอู่เหน็บแนมอยู่ในใจ แต่ยังคงอมยิ้ม
“หวังต้า เจ้าเข้าใจผิดแล้ว ข้าไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น ข้าจะบอกว่า อยากระบายอารมณ์ก็ต้องออกหมัดสิ” เขาเอ่ย
หวังต้าส่งเสียงเอะใจ พลางมองจูอู่
“แล้วจะให้ทำอย่างไรเล่า” เขาถาม
“มีทางการอยู่อย่างไรเล่า” จูอู่ยิ้ม
หวังต้าผงะ ก่อนจะคิดอะไรออกในทันใด
เมื่อส่งจูอู่กลับไปแล้ว ชายหนุ่มภายในห้องอดใจไม่ไหว เปิดกระเป๋าเงินเทเงินก้อนโตลงบนพื้น เหล่าชายหนุ่มดวงตาเป็นประกาย
“ท่าทางเรือนไท่ผิงนี้คงขวางหูขวางตาไม่น้อย ถึงได้มีคนออกเงินมากเพียงนี้เพื่อเล่นงาน” อันธพาลคนหนึ่งเอ่ย
“ดูเหมือนว่าจะไม่ใช่แค่เล่นงานเสียแล้วล่ะ” หวังต้าเอ่ยพลางลูบแผลที่จมูก ก่อนจะเผยยิ้มร้ายออกมา “เช่นนี้เรียกว่าถอนรากถอนโคนแล้วล่ะ”
ก่อเรื่องจนถึงหูทางการ จากนั้นก็ถูกส่งเข้าคุก สถานที่เช่นคุกนั้น หากจะเข้าไปนั้นแสนง่ายดาย ทว่าจะออกมานั้นยากเหลือหลาย
“เอาล่ะ เก็บของแล้วไปเรียกคนมาให้ข้า ไปตามล้างแค้นกับข้า!” เขาหยิบเงินขึ้นมาจากพื้นกำหนึ่ง เหล่าชายหนุ่มโหวกเหวกโวยวายพากันแย่งชิง
หลังจากฝนห่าใหญ่สิ้นสุดลง บนถนนเต็มไปด้วยร่องรอยดินโคลน ทว่าไม่อาจขัดขวางหวังต้าและพรรคพวกให้ไปถึงเรือนไท่ผิงได้ทันเวลาอาหาร
“ไม่จริงน่า เหตุใดถึงไม่มีคนเลยเล่า”
มองเห็นประตูอันเงียบสงัด พรรคพวกจึงพากันหยุดเดินแล้วเอ่ยขึ้น
หวังต้าก็ลงจากม้ามาเช่นกัน เขามองไปรอบๆ
เพลงที่เหล่านางโลมมักจะร้องกันแต่ก่อนว่าอย่างไรแล้วนะ หน้าประตูเงียบเหงา รถม้าบางตา…
ราวกับได้ยินเสียงเคลื่อนไหว บนชั้นสองก็มีคนยื่นหน้าออกมา
“พวกเรามีธุระจึงปิดร้าน ท่านลูกค้าไปหาร้านอื่นเถิด”
มีธุระจึงปิดร้านหรืออย่างนั้นหรือ
หวังต้าเงยหน้ามองชั้นสอง เห็นคนงานคนหนึ่ง
ครั้นคนงานผู้นั้นเห็นหน้าพวกเขาชัดเจนแล้ว ก็ตกใจจนส่งเสียงร้องขึ้นมาโดยพลัน ก่อนจะผลุบหัวกลับเข้าไป
เสียงนั่นเป็นเสียงส่งสัญญาณอย่างไม่ต้องสงสัย
ทัพศัตรูหดหัวหนีไปแล้ว ยังไม่รีบตามไปเปิดศึกอีก
เหล่านักเลงไม่รอให้หวังต้าสั่งการ ประสบการณ์หลายปีทำให้พวกเขาวิ่งกรูเข้าไปหน้าประตูร้านอาหาร ก่อนจะพากันส่งเสียงโวยวาย
“เปิดประตู…”
“ทำร้ายคนอื่นแล้วจะหลบหนีอย่างนั้นหรือ”
“มีคนทำผิดกฎบ้านเมือง จะไม่มีผู้ใดมาจัดการเลยหรือ”
บานประตูถูกทุบตีจนเสียงดังกระหึ่ม ผู้คนบนถนนต่างมองมา ทว่ากลับไม่มีใครกล้าเข้าไปถาม
หวังต้ายืนอยู่หน้าประตู ศีรษะที่ถูกผ้าพันไว้ราวกับหัวหมูเงยขึ้น เห็นหน้าต่างบานหนึ่งเปิดอยู่
“ต่อยตีคนอื่น คิดว่ากลัวแล้วเรื่องจะจบหรือ พวกเจ้าไม่สนบาดแผลของข้าแล้วหรืออย่างไร” เขาตะโกนเสียงดัง “บอกให้เถ้าแก่ของพวกเจ้าออกมา!”
ชั้นบนมีคนยื่นหัวออกมา ท่าทางดูตกใจกับเหตุการณ์ข้างนอกจึงหดหัวกลับไปอีกครั้ง
คราวนี้ต่อให้สบถด่าอย่างไร ก็ไม่มีใครออกมาแล้ว
“ท่านพี่ พวกมันหลบเข้าไปแล้ว ไม่ปะทะกับพวกเราแล้ว ล้อมประตูโวยวายเช่นนี้ก็ไม่มีประโยชน์อะไรนะขอรับ” อันธพาลคนหนึ่งเดินไปข้างหน้าหวังต้า ก่อนจะเอ่ยเสียงแผ่วเบา “คนของทางการมาก็ไม่มีประโยชน์อะไรอยู่ดี”
หวังต้ามองร้านอาหารตรงหน้าอย่างแค้นเคือง ก่อนจะถ่มน้ำลายลงพื้น
“พังประตูแล้วบุกเข้าไป!” เขาเอ่ย
เหล่าอันธพาลร้องตะโกน ขานรับแล้วตะบึงหน้าไปยังประตู ทั้งยังมีคนอีกกลุ่มหนึ่งบุกเข้าไปยังประตูหลัง
เสียงกระทบประตูดังโครมคราม
“ใช้ไหวพริบกันด้วย อย่าฆ่าพวกมันจนตาย หักแขนหักขาหรืออะไรก็ได้ แล้วก็หาโอกาสล้มตัวลงให้ทันเวลาก็แล้วกัน…” หวังต้ากำชับ
“ท่านพี่ วางใจเถิด นี่ไม่ใช่ครั้งแรกเสียหน่อย” เหล่านักเลงเอ่ยพลางยิ้ม
หลังจากเสียงขานรับ หน้าประตูก็เกิดเสียงดังโครม บานประตูถูกพังลง
“โธ่โว้ย…”
อันธพาลสองสามคนสบถด่าพลางบุกเข้าไป พูดยังไม่ทันขาดคำ ก็ได้ยินเสียงร้องโหยหวน หัวโจกสามคนหงายหลัง ล้มลงบนร่างกายของคนที่ยืนอยู่ด้านหลัง กองระเนระนาดอยู่หน้าประตู
เหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นภายในชั่วพริบตา คนที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างวุ่นวายเต็มไปหมด บางคนกรีดร้อง ก่นด่า บางคนตะโกน บ้างก็หัวเราะชอบใจ จนกระทั่งเสียงแหลมแผดดังขึ้น
“มีคนตาย…”
มีคนตายอย่างนั้นหรือ
หวังต้าที่กำลังมองดูเหตุการณ์เบื้องหน้าอย่างลำพองใจก็ผงะไปในทันที
“โธ่โว้ย บอกให้เบาๆ มือหน่อยไม่ใช่หรือ…” เขาถ่มน้ำลายพลางด่าอย่างหยาบคาย ยกเท้าย่างไปทางต้นเสียง พอเดินเข้าไปใกล้ก็ต้องชะงักลงในทันใด สีหน้าของเขาตื่นตะลึง ราวกับไม่อยากเชื่อ
ลูกน้องเจ็ดแปดคนพากันถอยห่าง เพื่อให้เขาเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้าประตูได้อย่างชัดเจน
อันธพาลสามคนที่คลานอยู่บนพื้นเงยหน้าขึ้น ดวงตาเบิกโพลง ปากอ้าค้าง ลูกธนูยาวพาดผ่านลำคอ ก่อนจะตายไปอย่างฉับพลัน
คนสามคนเดินออกมาจากประตูอย่างเชื่องช้า พวกเขาถือคันธนูล่าสัตว์ไว้ในมือ ลูกธนูงานหยาบไม่ผ่านการขัดสีถูกเล็งไปที่หวังต้า
หวังต้าจำได้ว่าชายที่อยู่ตรงกลางนั้นคือคนที่ทำให้จมูกของตนหักด้วยหมัดเดียว
ในตอนนี้เขายังคงสวมเสื้อคลุมสีเขียวไข่กาตัวเก่าตัวเดียวกันกับในวันนั้น ท่าทางดูสงบนิ่ง ไม่ทุกข์ไม่ร้อน ชายหนุ่มค่อยๆ เดินเข้ามาทีละก้าว
“พะ… พวกเจ้าคิดจะทำอะไร” หวังต้าตะโกน หัวแทบระเบิด
เกิดอะไรขึ้นหรือ เกิดอะไรขึ้น
พวกเขามาหาเรื่องถึงที่ ทั้งยังอุตส่าห์ย้ำนักย้ำหนาว่าอย่าฆ่าคน แล้วเหตุใดคนของตัวเองถึงถูกธนูยิงตายได้เล่า
“เจ้ากล้าฆ่าคนตอนกลางวันแสกๆ!” อันธพาลข้างกายหวังต้าตัวสั่นระริกพลางร้องตะโกน
สวีเม่าซิวมองเขาพลางยิ้มบาง
ธนูล่าสัตว์แสนเรียบง่าย ถูกยิงออกไปด้วยพละกำลังของสองแขนอย่างเดือดดาล ก่อนจะพุ่งปักร่างกายในทันที อันธพาลที่ยืนอยู่ข้างหลังเห็นลูกธนูอาบเลือดและชิ้นเนื้อติดออกมาจากเสื้อผ้าอย่างชัดเจน
อันธพาลร้องกระอักออกมา ล้มลงพลางร้องโอดครวญแดดิ้นอยู่กับพื้น
หวังต้าพูดไม่ออก เขาคิดว่าตัวเองกำลังฝันไป เป็นฝันร้ายที่น่ากลัวที่สุดตั้งแต่เกิดมา
นี่มันเรื่องอะไรกัน ทั้งๆ ที่เป็นเรื่องง่ายๆ แค่นี้ เหตุใดถึงได้กลายมาเป็นเช่นนี้
ก็แค่หาเรื่องไม่ใช่หรือ ไม่เห็นต้องต้องเล่นแรงเช่นนี้เลย…
เจ้าคนบ้านนอกพวกนี้ ไม่รู้จักกฎหมายกันหรืออย่างไร!
“ฆ่าคน…พวกเจ้ากล้าฆ่าคน…พวกเจ้ากล้าฆ่าคน…” เขาพูดประโยคนั้นซ้ำไปมา ดวงตาใต้ผ้าพันแผลเต็มไปด้วยความหวาดหวั่น
“พวกเจ้าก็ไม่ควรค่าแก่การเป็นคน พวกเจ้ามันเป็นโจร!” สวีเม่าซิวตะโกน พร้อมกับดึงคันธนูออกมาเล็งหวังต้า ก่อนจะเดินไปข้างหน้าอย่างน่าเกรงขาม “พูดมา ใครใช้ให้เจ้ามา…ขโมยเคล็ดลับของตระกูลข้า!”
ในตอนแรกน้ำเสียงของเขาดูนิ่มนวล แต่ยามเมื่อพูดว่าใครใช้ให้เจ้ามา เขากลับตะเบ็งเสียงออกมาอย่างเหี้ยมโหด เสียงนั้นสั่นสะเทือนไปทั้งหูของหวังต้าและคนอื่นๆ นอกจากประโยคนั้นแล้ว พวกเขาก็ไม่ได้ยินสิ่งใดอีกเลย
หวังต้าและคนอื่นๆ มองชายทั้งสามตรงหน้า สิ่งที่พวกเขาถืออยู่นั้นดูหยาบกระด้างและดิบเถื่อนเหลือเกิน ดูเหมือนจะเป็นคันธนูล่าสัตว์ที่ทำด้วยความรีบร้อน หนึ่งในนั้นมีลูกธนูที่ไม่มีหัวลูกธนูเหล็กด้วยซ้ำ แต่เมื่อมองไปรอบๆ ร่างอันธพาลทั้งสี่ที่นอนกองกับพื้น ก็ไม่มีใครสงสัยเลยว่า ต่อให้มันจะเป็นเพียงกิ่งไม้
แต่คนเหล่านี้ก็สามารถเอาชีวิตพวกเขาไปได้
ไม่ใช่แค่ฝีมือดีอย่างเดียว แต่ยังต้องมีจิตใจอำมหิตอีกต่างหาก
หากรู้เช่นนี้ตั้งแต่แรก เขาไม่มีทางเห็นแก่เงินแล้วมาทำงานเช่นนี้หรอก!
เมื่อเห็นว่าเหล่าอันธพาลหวาดหวั่นขวัญแขวนจนเสียสติไปแล้ว สวีเม่าซิวจึงเดินไปใกล้อีกครั้ง
“บอกมา ใคร!” เขาตะโกน
“จูอู่!” หวังต้าตะโกนลั่น
ทันทีที่สิ้นเสียง ลูกศรในมือของสวีเม่าก็ออกจากคันธนูด้วยเสียงอันอื้ออึง ลูกศรยาวเจาะทะลุเข้าไปในลำคอของหวังต้าอย่างแม่นยำจากระยะใกล้
หวังต้ายื่นมือออกมาตรงหน้า เขาพยายามไขว่คว้า ดวงตาเบิกโพลงด้วยความโกรธจนสิ้นใจ
……………………………………………………