“สำนักกุ่ยกู๋ เทพมังกรเห็นหัวไม่เห็นหางมาแต่ไหนแต่ไร ลึกลับขีดสุด เกรงว่าไม่ใช่ผู้ที่จะสามารถเจอได้ง่ายๆ หลงเซี่ยวเทียนได้รับปากที่จะช่วยเหลือพวกเราติดต่อกับสำนักกุ่ยกู๋แล้ว งั้นพวกเราก็ไม่ต้องเป็นกังวลมากมายแล้ว จะใช้คนก็อย่าระแวง หากระแวงใครก็อย่าใช้เขา เข้าใจไหม?”
เทียนขุยพยักหน้า “งั้นโผ้จวิน ตอนนี้พวกเราควรจะทำยังไงกันต่อ? คุณนายจนถึงตอนนี้ยังไม่รู้เป็นตายร้ายดียังไง หรือว่าพวกเราจะต้องเป็นฝ่ายถูกกระทำอยู่ตลอดแบบนี้เหรอ?”
“เสวียนเย่บอกว่ายังไง?”
“ชิงตี้ส่งข่าวมาบอกว่า พวกเขาตามหาที่อยู่ของคุณนายอยู่ตลอด เสวียนเจิ้นไม่ได้นำตัวคุณนายกลับสำนักกลาง แต่เจ้าเปี๊ยกเสวียนเย่นั่นได้สืบเสาะหาที่อยู่ของคุณนายอยู่ตลอดเวลา ถ้ามีข่าวสาร ก็จะบอกต่อกับพวกเรา”
ฟางเหยียนเงียบไป เสวียนเย่ทำเรื่องนี้ทำให้เขาไม่พอใจเป็นอย่างยิ่ง เสวียนเจิ้นทำเรื่องใหญ่มากมายลับหลังเขายังไม่พอ เขายังไม่รับรู้ได้แม้แต่น้อยอีก เรื่องทุกอย่างล้วนรับรู้ได้ทีหลัง เรื่องเกิดขึ้นแล้วจึงรับทราบ สำหรับเสวียนเย่ เขาผิดหวังในตัวเขาเป็นที่สุด ทว่าตอนนี้กลับไม่สามารถที่จะไม่พึ่งพาเสวียนเย่ได้
“โผ้จวิน ผมรู้ว่าตอนนี้คุณคิดยังไง เสวียนเย่เจ้าหมอนั่นทำล้มเหลว พวกเราก็ลำบากเต็มทน โดยเฉพาะพวกสหายทั้งหลาย ทุกคนต่างก็กักเก็บโทสะไว้เต็มท้อง ไม่มีที่ให้ระบายออก แต่ตอนนี้ พวกเราจึงทำได้เพียงเดินหน้าไปแล้วดูไปเท่านั้น อย่างน้อยก่อนที่เพลิงเสวนยังไม่มีความเคลื่อนไหวอันใด พวกเราก็ทำอะไรไม่ได้”
ฟางเหยียนมองเทียนขุยอย่างลังเลใจแวบหนึ่ง สายตาที่มองมานี้มีความคุ้นเคยและแปลกหน้าเล็กน้อย เจ้าหมอนี่เริ่มมีสติปัญญาแล้ว? กลับกลายเป็นว่าสั่งสอนเขาแล้ว!
เทียนขุยยิ้มแห้ง: “โผ้จวิน ผมก็ไม่ได้แย่ขนาดนั้น ในเรื่องของคุณนาย พวกเราล้วนมีหน้าที่ที่ไม่อาจปัดทิ้งได้ ใช่ ผมอยากจะฆ่าเสวียนเย่มาก คิดอย่างนั้นมาตลอด แต่ตอนนี้พวกเราจะต้องพึ่งพาเสวียนเย่ในการเข้าถึงเพลิงเสวน ดังนั้นผมสามารถวางความเคียดแค้นได้ แต่เพลิงเสวนจะต้องล่มสลาย!”
“เทียนขุย นายอยู่กับฉันมาตั้งนานขนาดนี้แล้ว กลับมีความสามารถซ่อนเร้นขึ้นมาแล้ว!”
เทียนขุยยิ้มแห้ง ไม่ได้เอ่ยอันใด
——
ท้องฟ้า มืดมิดเพียงนี้ ลึกเพียงนี้
ณ สถานที่แห่งหนึ่ง หลงเซี่ยวเทียนและลูกชาย ถือโอกาสมายังภูเขาสูงแห่งหนึ่งในยามค่ำคืน ภูเขาสูงตระหง่าน ช่างน่าอัศจรรย์
“พ่อ นี่น่ะเหรอที่ตั้งของสำนักกุ่ยกู๋? พ่อมาผิดที่หรือเปล่า? ด้านหน้าเป็นหน้าผานะ”
หลงเซี่ยวเทียนควักกล่องโบราณอันหนึ่งออกมา มองไปยังรอบด้านที่มืดสนิท “สำนักกุ่ยกู๋ชำนาญในฉีเหมินตุ้นเจี่ย ทางออกทุกทางก็ไม่เหมือนกัน บางครั้งทางออกของพวกเขาก็อยู่ที่ก้นทะเลสาบ บางครั้งทางออกของพวกเขาก็อยู่ที่ป่าช้า บางครั้งทางออกของพวกเขาก็อยู่ที่เขตแดน แต่ไม่ว่าทางออกของพวกเขาอยู่ที่ไหน ที่นี่ก็คือรังเก่าของพวกเขา นี่เป็นตำแหน่งที่เก็บไว้ก่อนล่วงหน้าก่อนที่จะสร้างห้าสำนักนินจาที่ยิ่งใหญ่ตามลำดับขึ้นมา ระดับความน่าเชื่อถือน่าจะไม่น้อย”
“ว่าแต่ พวกเราจะลงไปยังไงเหรอ?”
กล่องโบราณได้จัดบันทึกตำแหน่งที่ถูกต้องของสำนักกุ่ยกู๋ไว้แล้ว ทว่าไม่ได้จดบันทึกว่าจะเข้าสำนักกุ่ยกู๋ได้อย่างไร
ชั่วขณะหนึ่ง หลงเซี่ยวเทียนก็รู้สึกว่าตนเองสะเพร่าเล็กน้อย
ทว่าเรื่องนี้เขารับประกันให้ฟางเหยียนแล้ว หากทำไม่สำเร็จ นี่ก็เป็นการตบเข้าที่หน้าอย่างแรงไม่ใช่หรืออย่างไร?
และในขณะที่ทั้งสองคนพ่อลูกไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดีนั้น อยู่ๆ ด้านหลังก็มีเสียงดังขึ้นมา
“ทั้งสองคน มาชมปรากฏการณ์ทางท้องฟ้ายามค่ำคืนไร้คนที่นี่เหรอ?”
ทั้งสองคนตกใจทันที รีบหันหน้าไป ที่ตกใจก่อนคือหลงเซี่ยวเทียน เขามีความสามารถโดดเด่น ทว่าไม่รับรู้เลยว่าคนด้านหลังปรากฏออกมาได้อย่างไร เมื่อเห็นคนด้านหลังชัดเจนแล้ว เขาก็ยิ่งประหลาดใจเข้าไปใหญ่ ไหล่สองข้างไม่เท่ากัน เอียงร่างกาย แค่มองก็รู้ว่าเป็นคนพิการ!
คนพิการ!
เดินไม่มีเสียง? ปรากฏอยู่หลังพวกเขาทั้งสองคนอย่างไร้เสียง นี่มันลึกลับมากเพียงใด?
ไม่ถูกสิ!
ไม่น่าจะเป็นคนพิการ หลงเซี่ยวเทียนมองสำรวจอย่างละเอียดแล้วจึงพบว่าดวงตาของคนผู้นั้นปิดอยู่ เป็นคนตาบอด!
ภายในใจของหลงเซี่ยวเทียนสับสนขึ้นมาทันที คนแก่ตาบอด แถมยังพิการเดินกะเผลก ทว่าเขากลับมองไม่ออกถึงร่องรอยพลังบนตัวของคนผู้นี้เลยแม้แต่น้อย มีความเป็นไปได้สองอย่าง ไม่ก็คนตาบอดผู้นี้มีความสามารถที่ลึกไม่อาจมองออก ไม่ก็คนแก่ตาบอดผู้นี้ก็เป็นแค่คนธรรมดา ลึกๆ แล้วเขาเอนเอียงไปทางแบบแรกมากกว่า
สามารถปรากฏอยู่หลังของสองคนนี้ได้อย่างไร้เสียง จะเป็นคนธรรมดาได้ด้วยหรือ?
ลูกชายของหลงเซี่ยวเทียนต้องการที่จะเอ่ยสอบถาม กลับถูกเขาส่ายหน้าห้ามปรามเอาไว้
“ดูท่าทั้งสองท่านไม่ได้มาชมปรากฏการณ์ทางท้องฟ้ายามค่ำคืน งั้นก็มีธุระเลยมาที่นี่ใช่หรือไม่” ชายชราตาบอดเดินหน้าสองสามก้าวอย่างกะเผลกๆ จากนั้นก็ควักมีดทำอาหารออกมาสองด้าม ราวกับใช้วิชาพรางตา ทั้งสองคนจึงระมัดระวังขึ้นมาตามสัญชาตญาณ จ้องมองชายชราตาบอดที่เดินเข้ามาอย่างเตรียมพร้อมรับมือ
“หึหึหึ…” ชายชราตาบอดราวกับคาดเดาได้แล้วว่าพวกเขาจะมีปฏิกิริยาตอบสนองอย่างไร จึงยิ้มพร้อมเอ่ยขึ้นว่า: “ไม่ต้องห่วงนะ คนตาบอดพิการอย่างฉันไม่มีทางที่จะฆ่าปล้นทรัพย์แน่นอน ผู้ที่มาคือแขก ในเมื่อมีวาสนา ก็จะต้องผูกสัมพันธ์ไว้ ดังนั้นไม่ต้องมองฉันอย่างตื่นตระหนกขนาดนั้นหรอก”
“คนตาบอดมองเห็นด้วยเหรอ?” ลูกชายของหลงเซี่ยวเทียนเอ่ยพึมพำเสียงเบา
ทันใดนั้นก็ถูกหลงเซี่ยวเทียนมองขลึงตาใส่อย่างรุนแรง จึงเอ่ยเสียงเบา: “อย่าไม่รู้จักผู้ใหญ่คนเล็ก การศึกษาหลายปีมานี้หายไปไหนหมดแล้ว?”
“พ่อ ก็ผมสงสัยนี่ ผมเองก็รู้ว่าละลาบละล้วงชายชราไป แต่ว่าพ่อดูเขาสิ เดินก้าวเท้ามั่นคง ราวกับเป็นพื้นที่ไร้คน นี่เป็นคนตาบอดที่ไหนกัน นี่เป็นคนสูงส่งนะ ผมว่าเขาไม่ได้ตาบอดใจบอด แต่เป็นคนสูงส่งที่แท้จริงต่างหาก”
“ถูกต้อง มีสายตาเฉียบแหลมมาก อย่างน้อยก็ไม่ได้มีท่าทางที่เย่อหยิ่ง สูงส่งมองดูถูกคนน้อย คนสูงส่งบางคนมักจะไม่สงบเสงี่ยมเจียมตัว สำหรับพวกเขาแกต้องเคารพนอบน้อมด้วยร้อยเปอร์เซ็นต์เท่านั้น แต่ไม่สามารถที่จะคาดเดาคนอื่นโดยไม่รู้เรื่องเพียงเพราะความเย่อหยิ่งและความไร้มารยาทของตัวเองได้ นี่เป็นการกระทำที่น่าเวทนาน่าขำและไร้เดียงสามาก เข้าใจไหม?”
“ลูกเข้าใจแล้ว”
ทั้งสองคนพูดจาพึมพำด้วยกันไป ชายชราตาบอดก็เดินมาอยู่เบื้องหน้าของทั้งสองคนเรียบร้อย ทั้งสองมือถือมีดทำอาหาร ชี้ไปยังทั้งสองคน
หลงเซี่ยวเทียนยิ้ม มองดูมีดทำอาหาร และในที่สุดเขาก็เข้าใจอะไรขึ้นมาได้ จึงได้ยกมือขึ้นมาทำความเคารพ: “กระผมคือหลงเซี่ยวเทียน เจ้าสำนักแก๊งเก้ามังกรในตอนนี้ ไม่ทราบว่าท่านใต้เท้าเป็นเจ้าค้างมีดท่านใดในสำนักกุ่ยกู๋?”
ชายชราตาบอดราวกับไม่ได้ยิน เอ่ยพึมพำขึ้นมา: “กระผมได้เจอกับทั้งสองท่านเป็นโชคชะตาฟ้าลิขิต อยากจะค้างมีดสักสองเล่ม”
หลงเซี่ยวเทียนยิ้มค้างอยู่อย่างนั้น สีหน้ามีความไม่เป็นธรรมชาติ ได้แสดงตัวตนออกมาอีกครั้ง ทว่าชายชราตาบอดผู้นั้นยังคงตัดสินที่จะค้างมีดให้ทั้งสองคนอยู่เช่นเคย อีกทั้งยิ่งพูดไปช่วงหลังๆ น้ำเสียงก็ยิ่งเร่งรีบถี่ขึ้นเรื่อยๆ มีท่าทีรีบร้อนจนกระทั่งเกรี้ยวกราดขึ้นมาอยู่ลึกๆ
ลูกชายของหลงเซี่ยวเทียนทนไม่ได้ขึ้นมาทันที จึงได้เอ่ยเสียงเบา: “ศิษย์พี่ นี่ท่านบังคับให้ซื้อขายแถมยังเกรี้ยวกราดอีกเหรอ?”
“ห้ามเสียมารยาท” หลงเซี่ยวเทียนเอ่ยตำหนิเสียงเบา จากนั้นก็หันหน้ามายิ้มแห้งเอ่ยว่า: “ท่านใต้เท้า พวกเรามารบกวนยามวิกาล เพราะว่ามีเรื่องสำคัญที่จะต้องเจรจาจริงๆ อีกทั้งเรื่องนี้สำหรับสำนักกุ่ยกู๋ ก็เป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่เหมือนกัน คงต้องรบกวนให้ท่านใต้เท้านำทางไป หลงเซี่ยวเทียนคนนี้ต้องขอบคุณอย่างยิ่ง”
ชายชราตาบอดเพิกเฉยการแสดงความเคารพของหลงเซี่ยวเทียนทันที จึงได้เอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า: “วันนี้มีวาสนาต่อกัน ค้างมีดกันสักสองเล่มหน่อย”
เสียงนี้เย็นชามาก ทำให้หลงเซี่ยวเทียนสองพ่อลูกอดไม่ได้ที่จะสะดุ้ง ทำให้ค่ำคืนที่เดิมทีก็เย็นยะเยือกอยู่แล้วราวกับมีน้ำค้างแข้งปกคลุมหนึ่งชั้น
หนาวเหน็บเข้ากระดูก!
ไม่ต้องคิดก็เข้าใจแล้ว ว่าชายชราตาบอดได้เกรี้ยวกราดเรียบร้อยแล้ว!
ไม่ก็ต้องรับการค้างดาบ ไม่งั้นก็รับมือกับความเกรี้ยวกราดของเขา!
หลงเซี่ยวเทียนกำลังครุ่นคิดหนักว่าควรจะทำอย่างไรกับชายชราตาบอดคนนี้ดี ลูกชายของเขากลับอดไม่ได้ขึ้นมา จึงเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา: “ศิษย์พี่ อย่าอาศัยว่าตัวเองอายุมาก เที่ยวดูถูกคนอื่นแบบนี้สิ พวกเราเคารพท่าน เรียกท่านว่าศิษย์พี่แล้ว แต่ว่าท่านดูท่านสิ ทำเรื่องที่คนเขาทำกันหรือไง? บังคับขายให้ซื้องั้นเหรอ? มีข้อตกลงที่ป่าเถื่อนแบบนี้ด้วยเหรอ? ผมบอกท่านละกันนะ ถ้าเอาแต่พูดว่าค้างมีดอยู่เรื่อย ต่อให้ท่านให้ฟรีผมก็ไม่เอาหรอก ไม่เพียงแค่ผมนะ พ่อของผมก็ด้วย ผมไม่ค้างหรอกจะทำอะไรได้! ฮะ!”
คำตะคอกนี้ ก็เป็นการแสดงถึงความเกรี้ยวกราดและความทนไม่ไหวของเขาเช่นกัน ปฏิบัติต่อเขาอย่างเจตนาดี แต่สิ่งที่ได้กลับมาคืออะไร? ยิ่งมากเข้าไปใหญ่ ยิ่งคิดว่าพวกเขารังแกได้ง่าย? แก๊งเก้ามังกรไม่ใช่คนธรรมดานะ ต่อให้คนผู้นี้จะเป็นสำนักกุ่ยกู๋ แล้วจะอย่างไร?
ไม่ยอมก็ลงมือ ใครกลัวใครกัน!
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ ชายชราตาบอดก็ยิ้มเยือกเย็นที่คาดเดายากขึ้นม กลับเป็นหลงเซี่ยวเทียนที่ขมวดคิ้วแน่น เขาทราบว่าสถานการณ์ย่ำแย่แล้ว! ขณะที่ต้องการจะเกลี้ยกล่อมอธิบาย กลับพบว่าชายชราตาบอดเริ่มจะลงไม้ลงมือแล้ว เพียงแค่กวาดมือขึ้น มีดทำกับข้าวก็เล็งมายังลูกชายของตัวเอง ราวกับมีชีวิตอย่างไรอย่างนั้น!
ดูเหมือนกับเป็นมีดปกติธรรมดา กลับทำให้หลงเซี่ยวเทียนใจหายวูบ!
จะเกิดเรื่องใหญ่แล้ว!