นี่เลือกประกาศสงครามแล้ว!
สำนักกุ่ยกู๋นี่เยี่ยมยอดจริง ๆ!
ไม่เสียแรงที่เป็นถึงผู้นำของสำนักใหญ่ทั้งห้าสำนัก มีท่าทีเป็นกลาง แต่เกรงว่าจะปลอม!
สำนักกุ่ยกู๋อาจจะสมคบคิดกับเพลิงเสวนนานแล้วก็ได้!
ทั้งหมดนี่เป็นการใช้อำนาจข่มขู่ของสำนักกุ่ยกู๋ ช่างยิ่งใหญ่อะไรอย่างนี้!
“จอมพลโผ้จวินครับ ดูท่าทางพวกเราคงจะไม่ราบรื่นแล้วล่ะครับ ตอนนี้ผมเหมือนเข้าใจอะไรขึ้นมาแล้ว ที่หลงเซี่ยวเทียนสองพ่อลูกตกอยู่ในอันตรายท่าทางจะเกี่ยวข้องกับสำนักกุ่ยกู๋จริง ๆ! ดูท่าทางยัยนางมารนั่นพูดไม่ผิดเลย นี่อาจเป็นครั้งสุดท้ายที่พวกเขาได้เผชิญหน้ากับเสวียนเจิ้น!”
ฟางเหยียนจ้องมองเทียนขุยด้วยความประหลาดใจ : “เทียนขุย นายก้าวหน้าไปเร็วมาก สามารถมองถึงแก่นแท้ของเรื่องนี้ได้อย่างรวดเร็ว!”
เทียนขุยหัวเราะแหะแหะ : “ก็ต้องสิว่าผมอยู่กับใคร ถ้าไม่ใช่สมองเลย กลัวว่าจอมพลโผ้จวินจะโยกย้ายไอ้เทียนฝู่นั่นมาแทน ยังไงซะเจ้านั่นก็เฉลียวฉลาดมากแผนการ พบเจอเรื่องอะไรก็สุขุมนุ่มลึก ค่อนข้างมีสมอง ถ้าหากผมไม่ก้าวหน้าเลย คงจะถูกจอมพลโผ้จวิน……”
ประจบประแจงได้ดีจริง ๆ!
ฟางเหยียนถึงกับไม่สามารถตอบโต้ได้!
“อย่างน้อยตอนนี้พวกเราก็ได้รู้ท่าทีของสำนักกุ่ยกู๋แล้ว แบบนี้ก็ดี จะได้ไม่ต้องสงสัยไปเรื่อยอย่างนี้! แต่ที่ทำให้ฉันคิดไม่ตกก็คือ ตกลงสำนักกุ่ยกู๋กับเพลิงเสวนมีความสัมพันธ์กันหรือเปล่า? เรื่องนี้ฉันคิดยังไงก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี”
“จอมพลโผ้จวินครับ ที่จริงถ้าให้ผมพูด ไม่จำเป็นต้องหมกมุ่นกับเรื่องพวกนี้ การกระทำที่พวกมันทำต่อพวกเรา ก็เห็น ๆ กันอยู่แล้ว นี่มันตัดสินใจเปิดศึกกับพวกเราแล้ว ในเมื่อเป็นอย่างนี้ พวกเราก็ไม่ควรปล่อยให้ศัตรูเพ้อฝันในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ ลงมือไปเลย จะได้ไม่ต้องคิดว่าสามารถรังแกพวกเราได้ง่าย ๆ ผมจะเป็นผู้นำรบ บุกจัดการพวกมันเอง!”
ฟางเหยียนไม่ใช่คนโหดเหี้ยม ไม่ใช่คนที่ไม่มีเหตุผล และไม่ใช่คนเผด็จการบ้าอำนาจที่หากมีผู้คล้อยตามฉันก็จะอยู่รอด หากหักหลังฉันก็จะต้องตาย แต่ถ้าถูกคนรังแกแล้ว ยังไม่ทำอะไรอีก งั้นฟางเหยียนก็คงรู้สึกผิดที่เกิดมาเป็นผู้ชาย อาจารย์ของเขาเคยตักเตือนเขาว่า อย่าก่อเรื่องและอย่าเกรงกลัว หากมีตัวเองถูกรังแก ก็ไม่มีเหตุผลที่จะต้องยอม!
สำนักกุ่ยกู๋ตกลงคิดอะไรอยู่กันแน่ เรื่องพวกนี้เขาไม่อยากคิดเล็กคิดน้อย!
แต่ตัวเองเกือบถูกค่ายกลนั่นฆ่าตาย ถือว่าเป็นมูลเหตุในการเปิดศึกแล้ว!
ในเมื่อเป็นอย่างนี้ ฟางเหยียนก็ไม่มีอะไรต้องกังวลอีก!
“เทียนขุย เดินต่อไปเถอะ” ฟางเหยียนครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ก็เอ่ยพูดขึ้น : “ไม่ว่าสำนักกุ่ยกู๋มีจุดประสงค์อะไร แต่มันได้แตะขีดจำกัดของพวกเราแล้ว ฉะนั้นต่อไปอาจเกิดศึกนองเลือดขึ้นได้!”
“จอมพลโผ้จวินครับ คุณมีจิตใจเมตตา มีความกล้าหาญและชาญฉลาด อีกทั้งยังถ่อมตัว เป็นจอมพลที่ทำเพื่อประชาชน แต่คนมากมายกลับไม่คิดอย่างนี้ คิดว่าตัวเองเก่งกาจกันมาก มักหวังจะกระโดดไปเรื่อย จะหาเรื่องตายก็ไม่หาให้ถูกคน ถูกเวลา ผมว่านะครับ ฆ่าไอ้ตั๊กแตนหลังฤดูใบไม้ร่วงพวกนี้ทิ้งให้หมดเถอะครับ เราเชือดไก่ให้ลิงดู พวกมันจะได้ไม่อวดดีอีก!”
เทียนขุยโมโหจริง ๆ แล้ว ทหารรักษาชายแดนมีไว้ทำไม? มีไว้เพื่อรักษาสันติสุขให้ประเทศชาติและประชาชน เพื่อให้ผู้คนเต็มไปด้วยรอยยิ้มไม่ใช่เหรอ? ชีวิตเต็มไปด้วยดรรชนีความสุขไม่ใช่หรือไง? ตอนที่พวกเขายอมเสียสละเลือดเนื้อเพื่อศรัทธา บางคนกลับไม่จดจำความดีของพวกเขา ซ้ำยังพูดจาให้ร้ายลับหลัง ประเทศหวามีความมั่นคงและสงบสุขได้ เพราะการเสียสละของเหล่าทหาร แต่ภายใต้ความมั่นคงและสงบสุขนี้ กลับมีเนื้อร้ายก้อนโตซ่อนอยู่!
นอกจากเพลิงเสวนที่เป็นเนื้อร้ายก้อนโตที่สุดแล้ว ที่ใหญ่ไปกว่านั้นคือคนพวกนี้ที่คิดว่าตัวเองคือชนชั้นสูง พวกสำนักต่าง ๆ รวมถึงพวกตระกูลขุนนาง มีเงินหน่อยก็ลืมเรื่องที่ควรทำ กดขี่ข่มเหงประชาชน ไร้ซึ่งความยุติธรรม นิสัยชั่วอย่างนี้ ไม่ทำให้เหล่าทหารปวดใจหรอกเหรอ? พวกเขาคอยปกป้องคุ้มครองข้าราชการและประชาชน สิ่งที่ต้องการคือความเท่าเทียมของคนทุกคน การได้รับความยุติธรรม แต่ตอนนี้ทั้งหมดนี่เป็นเหมือนภาพลวงตาฉากหนึ่ง ที่อยู่ไกลเกินเอื้อม!
ทหารรักษาชายแดน พวกเขาอายุยี่สิบกว่าปีก็ต้องเสียสละชีวิตอันแสนมีค่า ทุ่มเทใจเพื่อความสงบสุขของประเทศหวา แต่สิ่งที่ได้กลับมาคืออะไร? ไม่ต้องพูดอะไรให้มากหรอก แค่พูดถึงสหายคนหนึ่งของเทียนขุย ซึ่งเป็นคนที่เฉลียวฉลาดมากคนหนึ่ง เข้าสู่สนามรบด้วยวัยเพียงสิบเก้าปี แต่เพื่อปฏิบัติภารกิจที่เป็นความลับเรื่องหนึ่ง เมื่อพลาดก็ถูกศัตรูจับตัวไป ถูกซ้อมจนสะบักสะบอมเอาเกือบตาย เพื่อจะแย่งเอาแผนการครั้งนี้ของสำนักเจ็ดพิฆาตไป
แต่เขาก็ยอมกัดฟันทนไม่ได้เปิดเผยแผนการที่แท้จริงของสำนักเจ็ดพิฆาต เพื่อให้เวลาอันมีค่าแก่สำนักเจ็ดพิฆาตได้บุกไปโจมตีสำนักงานใหญ่ของหวงหลงให้แตกกระเจิง แต่ตอนที่นักรบของสำนักเจ็ดพิฆาตมาช่วยเขานั้น สหายคนนี้ได้ตายอย่างน่าเวทนามาก เลือดออกทางทวารทั้งเจ็ดจนตาย ทั่วทั้งร่างกายถูกทรมานหนักหนาสาหัสอย่างไร้มนุษยธรรม! การเสียสละชีวิตของวีรบุรุษ คือนักรบผู้กล้าหาญอย่างแท้จริง
ตอนที่นำร่างและดวงวิญญาณของนักรบผู้กล้าหาญกลับคืนสู่มาตุภูมิ แต่เจอกับการรื้อถอนบ้านพอดี แม้เป็นการปฏิบัติอย่างมีมารยาท แต่ก็ไม่สามารถหยุดยั้งท่าทีที่จองหองอวดดีของคนรื้อถอนได้ ไม่เห็นเกียรติของทหารผู้เสียสละเลย มุ่งมั่นที่จะทำการรื้อถอนให้ได้ เหตุนี้จึงทำให้เกิดความขัดแย้งกันกับขบวนทหารส่งศพ
ไม่นานเรื่องนี้ก็ถึงหูฟางเหยียน ทุกคนต่างคิดว่าฟางเหยียนจะลงโทษอย่างหนักแก่ทหารที่เป็นแกนนำในการทะเลาะวิวาทครั้งนี้ แต่กลับคิดไม่ถึงว่าเขาจะใช้อำนาจข่มขู่ผู้ว่าราชการมณฑลคนหนึ่งในตอนนั้น ด้วยคำพูดเพียงไม่กี่คำ
“คนตายไป เจ็บปวดใจ คุณรู้ไหมว่าคุณผิดตรงไหน!”
ผู้ว่าราชการมณฑลในตอนนั้นตกใจไม่น้อย อีกทั้งยังต้องรายงานทีละขั้น เส้นสายแต่ละชั้น เรื่องนี้ถึงยุติลงได้
แต่เรื่องนี้ได้เป็นการปลูกฝังความภาคภูมิใจไว้ในใจของทหารทุกคน ทำให้พวกเขาได้สัมผัสถึงเกียรติยศของการเป็นทหาร และทำให้พวกเขาเข้าใจถึงความรู้สึกมีเกียรติและความรู้สึกเหนือชั้นที่ได้รับใช้แผ่นดินมาตุภูมิ
เป็นฟางเหยียนที่พยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อให้ทุกคนได้รับความเท่าเทียมกัน แต่มักจะมีคนบางจำพวกที่คิดว่าตัวเองมีเงินอยู่ในมือ จะยโสโอหังยังไงก็ได้ ตรงกับคำพูดที่ว่า ใครคนใดคนหนึ่งได้ดี ญาติพี่น้องเพื่อนฝูงก็พลอยได้ดิบได้ดีได้ผลบุญไปด้วย เลยทำให้สังคมเกิดความเหลื่อมล้ำมากมาย
ชนชั้นสูงที่เหล่าทหารเรียกต่อหน้าเหล่านั้น นอกจากความเคารพแล้ว ก็ไม่มีความเหนือชั้นกว่าอะไรเลย!
สิ่งเหล่านี้ล้วนได้มาจากความใจกล้าของฟางเหยียน แต่มักจะมีคนบางจำพวกตาบอดมองไม่เห็นสิ่งเหล่านี้!
สำนักกุ่ยกู๋ที่อยู่ตรงหน้าก็เป็นแบบนี้เหมือนกัน กล้ารังแกฟางเหยียน!
หากไม่กำจัดสำนักกุ่ยกู๋ เหมือนรู้สึกมีอะไรติดค้างอยู่ในใจ!
“จอมพลโผ้จวิน ให้ผมเป็นคนยิงนัดแรกเถอะครับ!” เทียนขุยเอ่ยพูดด้วยเสียงเย็นชา แล้วออกไปยิงก่อนทันที
แต่กลับไม่มีใครเลยสักคน เหมือนเป็นเมืองร้างเมืองหนึ่ง
เมื่อเดินขึ้นไปด้านบน นอกจากโครงสร้างไม้ที่เห็นทั้งหมดแล้ว ก็แทบไม่มีสิ่งมีชีวิตเลยสักคน น่าประหลาดมากจริง ๆ
“เทียนขุย ระวังหน่อย” ฟางเหยียนเอ่ยเตือน
“เล่นหลอกผีอะไรอย่างนี้ จอมพลโผ้จวินไม่ต้องสนใจหรอกครับ แม้แต่เรื่องเทพมังกรและปกป้องเกล็ดหัวใจองค์ชายน้อยผมก็รู้หมดแล้ว ฉีเหมินตุ้นเจี่ยของสำนักกุ่ยกู๋ก็แค่นั้นเอง ก็แค่กลบางอย่างเท่านั้น ทำลายทิ้งก็หมดเรื่อง!”
สาเหตุที่เทียนขุยฮึกเหิมขนาดนี้ นอกจากเพราะเขาไม่แคร์อะไรสักอย่างแล้ว ยังเป็นเพราะต้องการระบายความโกรธแค้นที่อัดอั้นอยู่ในใจ!
สิ่งที่ฟางเหยียนถูกกระทำ ทำให้เขาโกรธจนยับยั้งอารมณ์ไว้ไม่อยู่ เขาไม่สามารถอดกลั้นเอาไว้ได้!
ฟางเหยียนทั้งจนใจและอยากหัวเราะ การกระทำของเทียนขุย ล้วนทำเพื่อเขาทั้งนั้น มีคำพูดหนึ่งกล่าวไว้ได้ดี เราจะพบมิตรแท้ในยามยากลำบาก! เขารู้ดีอยู่แล้ว ว่าเทียนขุยเป็นคนที่ไม่อินังขังขอบ ฉะนั้นจึงคอยอยู่ด้านหลังของเทียนขุยเสมอ คอยดูแลเขาด้วยความระมัดระวังอย่างเงียบ ๆ
สมแล้วที่สำนักกุ่ยกู๋เป็นถึงผู้นำของสำนักใหญ่ทั้งห้าสำนัก ยิ่งเดินเข้าไปด้านใจ ความรู้สึกกดดันก็ยิ่งมีมากขึ้น เดินขึ้นบันไดไม้ ผ่านไปสามนาที ทั้งสองคนก็มาถึงลานไม้แห่งหนึ่ง และฝั่งตรงข้ามของลานไม้ ก็คืออาคารโบราณที่เป็นเหมือนศาลเจ้าหลังหนึ่ง และทางเข้าศาลเจ้า มีคนอยู่เพียงห้าคน ซึ่งล้วนเป็นคนชราทั้งนั้น สวมชุดฉางซาน ท่าทางอายุมากจนเดินเหินไม่สะดวกแล้ว แค่ดูก็รู้ว่าไม่ใช่คนธรรมดา
เทียนขุยแสยะยิ้มแล้วเอ่ยพูด : “ในที่สุดก็เจอคนสักที จอมพลโผ้จวินครับ ผมเข้าไปก่อนแล้วกัน!”
ฟางเหยียนดึงเขาเอาไว้ แล้วพูดอย่างเย็นชา : “อย่าบุ่มบ่าม สำรวจให้ดีก่อนแล้วค่อยว่ากัน!”
ฟางเหยียนมองออกไป ในบรรดาคนชราเหล่านี้ไม่มีชายชราตาบอดที่ให้มีดเขาในตอนนั้น
เทียนขุยอยากสะบัดมือของฟางเหยียนออก ใจร้อนจนอยากลองปรี่เข้าไปหาทันที แต่มือของฟางเหยียนเป็นเหมือนคีม ที่ทำให้เขาไม่สามารถสลัดหนีได้ เมื่อไม่มีทางเลือก เขาจึงได้แต่พูดว่า : “จอมพลโผ้จวินครับ กว่าจะได้เจอคนตัวเป็น ๆ ให้ผมได้ออกแรงหน่อยเถอะ เรื่องอื่นค่อยว่ากัน”
ฟางเหยียนส่ายหน้าเล็กน้อย : “ห้าคนนี้น่าจะเป็นคนระดับสูงของสำนักกุ่ยกู๋ และจากที่ฉันดูท่าทางพวกเขาไม่เป็นมิตร เดี๋ยวนายได้มีเรื่องสนุกให้ทำแน่”
เทียนขุยจึงได้แต่ปล่อยไป แต่สายตากลับเปลี่ยนแปลงไปมาก โดยเฉพาะดวงตาแดงก่ำคู่นั้น มองออกว่าเขาโกรธแค้นมากจริง ๆ!
“สามารถบุกฝ่าค่ายกลพิฆาตได้ แสดงว่ามีความสามารถใช้ได้เลยนี่!”