บทที่ 9 เป็นเพื่อนกับดอกไม้ประจำโรงเรียน
มีเวลาพัก 20 นาทีหลังจบคาบการอ่านในตอนเช้า ถงเล่ยก็พาจี้เฟิงและจางเล่ย ไปที่โรงอาหารที่อยู่ด้านหลังอาคารเรียน
พูดตรงๆว่า จี้เฟิงเคยชอบถงเล่ย เด็กสาวที่มีเสน่ห์จิตใจเด็ดเดี่ยวแต่ก็แฝงไปด้วยความเย็นชาคงมีเด็กผู้ชายไม่น้อยในโรงเรียนที่ไม่กล้าแม้แต่จะมองหน้าเธอ
อย่างไรก็ตาม จี้เฟิงรู้ดีว่าระหว่างเขาและถงเล่ยนั้นแตกต่างกันขนาดไหน พวกเขาเหมือนอยู่กันคนละโลก ยิ่งไปกว่านั้นความงามของถงเล่ยที่เปรียบได้กับนางฟ้านางสวรรค์นั่นยิ่งทำให้เธอดูเข้าถึงยากเหมือนมีออร่าแห่งความเย็นชารอบๆตัวเธอ แม้ว่าเขาจะชอบเธอ แต่ก็กลัวที่จะถูกดูหมิ่นถึงความไม่เจียมตัว
ดังนั้นจี้เฟิงซึ่งมีปมด้อยอยู่แล้วจึงขับไล่ความคิดของเขาเรื่องถงเล่ยออกไปอย่างเด็ดขาด
จนกระทั่งในเวลาต่อมา เขาก็ค่อยๆพัฒนาความรู้สึกที่มีต่อ ฮูซู่ฮุ่ย เขาหลงรักฮูซู่ฮุ่ยจนลืมความเป็นตัวของตัวเอง เหตุผลส่วนหนึ่งก็เพราะเขารู้ว่า ถงเล่ยอยู่ห่างจากเขามากเกินไปมันยากยิ่งกว่าฝันที่เขาจะคบกับถงเล่ย เขาจึงเลือกฮูซู่ฮุ่ย คนที่เขาสามารถคบหาได้อย่างสบายใจในชีวิตจริง
แต่ไม่ว่ายังไงในตอนนี้จี้เฟิงได้ตระหนักแล้วว่าความคิดก่อนหน้านี้ของเขามันผิดมหันต์ หญิงสาวตัวจริงที่แสนดีของเขานั้น มันก็เป็นแค่ภาพลวงตา ที่ภายในลึกๆนั้นมีแต่ความเห็นแก่เงิน หยิ่งยโส ไม่จริงใจ
เมื่อมองไปยังถงเล่ยที่เดินนำอยู่ข้างหน้า จี้เฟิงก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกถึงความหวั่นไหวในใจของเขา แม้จะเป็นเพียงแค่ด้านหลัง ถงเล่ยก็ยังคงสวยงามมาก
ผมที่มัดเป็นหางม้าที่ด้านหลังศีรษะ เสื้อเชิ้ตแขนสั้นลายสก็อตสีชมพู กระโปรงยีนส์และรองเท้าผ้าใบสีขาว การแต่งกายที่ดูเรียบง่ายสวยงามทำให้เธอดูอ่อนเยาว์แต่ก็มีรสนิยมที่ดูเป็นผู้ใหญ่
ที่สำคัญไปกว่านั้น ชุดนี้แสดงให้เห็นถึงรูปร่างที่น่าหลงใหลของเธอได้อย่างสมบูรณ์แบบ
เสื้อเชิ้ตสีชมพูเอวลอยตัวนี้ ทำให้มองเห็นเอวเล็กคอดที่น่าทะนุถนอม สะโพกภายใต้กระโปรงยีนส์นั้นกลมกลึงสวยได้รูป โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรียวขาขาวเนียน ทุกสัดส่วนของเธอนั้นหากใครได้มองก็ยากที่จะละสายตาออกไปจากเธอได้
“หัวหน้าชั้นของเราน่ารักมั้ย?” จางเล่ยโน้มตัวมาพูดพร้อมยิ้มเยาะ
จี้เฟิงที่กำลังจ้องมองไปที่ถงเล่ยตกใจสะดุ้ง เขาแสร้งทำเป็นมองไปทางอื่น ราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“เมื่อไหร่นายจะเลิกล้อเล่นซักที?” จี้เฟิงพูดอย่างหงุดหงิด แต่ในใจของเขารู้สึกอายและรู้สึกผิดเล็กน้อย ฉันเพิ่งเลิกกับฮูซู่ฮุ่ยแต่ตอนนี้ฉันกลับแอบมองถงเล่ย มันไม่ใช่เวลาที่ควรทำแบบนี้เลยมันไม่ดีกับถงเล่ย
จี้เฟิงนั้นไม่รู้ตัวว่าทำไมเขาถึงเป็นแบบนี้ แต่ในความเป็นจริงแล้วมันเป็นเรื่องปกติของเด็กวัยรุ่นอายุ 18 ปี เป็นวัยที่เมื่อเจอสาวสวยก็จะมีแรงกระตุ้นตามธรรมชาติ
ในขณะเดียวกันมันก็เป็นเพราะว่า เขาได้หลุดพ้นจากความรู้สึกที่มีต่อฮูซู่ฮุ่ยโดยสิ้นเชิง เขาจึงสามารถปล่อยหัวใจของเขาได้อย่างอิสระ
“เฮ้! เจ้าบ้า คิดว่าฉันไม่เห็นนายจ้องเธอเหรอ ลูกผู้ชายกล้าทำก็กล้ารับหน่อยซี่!” จางเล่ยหัวเราะและพูดต่อ “ถ้านายอยากจะไล่ตามจีบดอกไม้ของโรงเรียนจริงๆ ฉันจะช่วยนายเองฉันจะไปสืบให้ว่าเธอมีงานอดิเรกอะไร นิสัยส่วนตัวเป็นยังไงรวมถึงข้อมูลอื่นๆทั้งหมดเป็นไง ฉันเป็นพี่ชายที่แสนดีใช่ไหมล่ะ?”
จี้เฟิงมองเพื่อนด้วยความประหลาดใจและถามว่า “ทำไมนายถึงอยากให้ฉันจีบเธอนัก ถ้านายชอบเธอขนาดนั้นทำไมนายไม่จีบเธอเองล่ะ?”
“ให้ฉันตามจีบเธอ?” ใบหน้าของจางเล่ยบิดเบี้ยวและปากของเขาพึมพำอย่างคลุมเครือฟังไม่ได้ศัพท์
จี้เฟิงมองไปที่จางเล่ยและสงสัยว่าสิ่งที่จางเล่ยพูดหมายถึงอะไร
“นายสองคนมาตรงนี้” เมื่อเธอเห็นทั้งสองยังคุยกัน เธอจึงดึงแขนพวกเขา และจ้องพวกเขาด้วยสีหน้าที่เย็นชา เมื่อโดนสัมผัสจี้เฟิงรู้สึกตื่นเต้นอย่างบอกไม่ถูก เกิดการเปลี่ยนแปลงบางอย่างในตัวเขา แต่เขาไม่ได้แสดงความรู้สึกอะไรออกมามากนัก เขาได้แต่ก้มหน้าไม่กล้ามองไปที่ถงเล่ย
จางเล่ยยิ้มแล้วถามอย่างใสซื่อว่า “หัวหน้าชั้นเธอพาพวกเรามาที่โรงอาหาร เธออยากชวนพวกเรากินอาหารเช้าด้วยกันเหรอ?”
ถงเล่ยเหลือบมองเขาทันที เมื่อเห็นถงเล่ยเริ่มมีสีหน้าไม่พอใจ จางเล่ยจึงกล่าวว่า “หยอกเล่นนะคุณหัวหน้าชั้น แต่ตอนนี้ฉันหิวมากจริงๆ จะเป็นไปได้ไหมถ้าเราค่อยคุยกันตอนเย็น ตอนนี้ฉันขอไปหาอะไรกินก่อน โอเคนะ?”
ใบหน้าของถงเล่ยผ่อนคลายลง เธอพยักหน้าเล็กน้อยแล้วกล่าวว่า “ถ้าอย่างนั้น นายก็ไปกินข้าวก่อนเถอะ!”
“เฮ้! เจ้าบ้า ถ้านายมาที่นี่เพื่อที่จะคุยกับดอกไม้ของโรงเรียน งั้นฉันขอไปกินข้าวก่อนล่ะนะ” จางเล่ยกระซิบข้างหูจี้เฟิง และวิ่งไปยังร้านข้าวพร้อมรอยยิ้มสะใจที่ได้แหย่เพื่อน
จี้เฟิงรู้สึกเขินอายเล็กน้อยเมื่อเขาต้องเผชิญหน้ากับเด็กสาวแสนสวยเพียงลำพัง เขาอดไม่ได้ที่จะประหม่า
“งั้นเราเข้าไปหาที่นั่งข้างในกันก่อนเถอะ” จี้เฟิงบอกกับถงเล่ย ถงเล่ยพยักหน้าเล็กน้อยและเดินเข้าไปในโรงอาหาร
เนื่องจากเวลานี้มีนักเรียนหลายคนในโรงอาหารกำลังทานอาหารเช้ากันอยู่ ทำให้พวกเขาใช้เวลานานพอสมควรในการหาที่นั่ง จนในที่สุดพวกเขาก็พบโต๊ะที่ยังว่างอยู่ด้านใน จี้เฟิงนั่งลงอย่างเกร็งๆ ใบหน้าที่สวยงามและมีเสน่ห์น่าหลงใหล ทำให้เขาประหม่ากระวนกระวายใจจนไม่กล้ามองหน้าของถงเล่ย เขาได้แต่มองไปรอบๆ เพื่อกลบเกลื่อนความตื่นเต้น
“จี้เฟิงฉันน่ากลัวขนาดนั้นเลยเหรอ?” เมื่อเห็นอาการของจี้เฟิง ถงเล่ยก็อดไม่ได้ที่จะมองไปที่เขาและถามด้วยความรู้สึกไม่ค่อยพอใจ
“ไม่ใช่แบบนั้น!” จี้เฟิงตอบอย่างรวดเร็ว “เธอสวยขนาดนี้จะน่ากลัวได้ยังไง”
“แล้วทำไมนายไม่มองหน้าฉันเลยล่ะ?” จี้เฟิงยิ้มเล็กน้อยและกล่าวว่า “ฉันจะกล้ามองหน้าเธอได้ยังไง เธอเพิ่งได้ยินที่ฉันบอกว่าฉันชอบเธอ ถ้าตอนนี้ฉันยังจ้องมองเธออีก ฉันกลัวเธอจะเข้าใจผิดไปกันใหญ่” ตอนนี้ในใจของจี้เฟิงอยากให้จางเล่ยกลับมาไวๆ ถึงบรรยากาศโดยรอบจะคึกคัก แต่บรรยากาศตรงหน้าเขานั้นมันเงียบแปลกๆ จี้เฟิงไม่รู้จะพูดอะไรต่อดี
“จี้เฟิง…สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเราตอนนี้คือการเรียน ยิ่งผลการเรียนของนายตอนนี้มันไม่ค่อยดีเท่าไหร่ แต่ก็ยังมีเวลาอีก 1 ปีนะ ถ้านายตั้งใจมากพอนายต้องได้รับผลลัพธ์ที่ดีแน่นอน”
ดวงตากลมโตเป็นประกายกระพริบช้าๆ เธอพูดเบาๆกับจี้เฟิงว่า “ก่อนที่นายจะเข้ามหาวิทยาลัย นายอย่าเพิ่งคิดอะไรฟุ้งซ่าน มันจะทำให้นายเสียเวลาเรียนไปเปล่าๆ” จี้เฟิงรู้สึกอับอายในทันทีเห็นได้ชัดว่า แม้ว่าถงเล่ยจะกล่าวคำพูดเหล่านั้นด้วยความสุภาพแต่ก็มีชั้นเชิง ทำให้รับรู้ได้เลยว่าเธอกำลังเตือนไม่ให้จี้เฟิงคิดอะไรเพ้อเจ้อ
“ฉันรู้ขอบคุณหัวหน้าชั้นมากสำหรับคำแนะนำ” จี้เฟิงยิ้มอย่างเจื่อนๆ หลังจากที่พบเจอเรื่องราวของ ฮูซู่ฮุ่ย เขารู้ตัวว่าตอนนี้เขาควรทำอะไร นอกจากนี้ ถึงแม้เขาจะพูดว่าเขาชอบถงเล่ย แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาต้องแสดงออกให้เธอรับรู้หรือต้องการคบกับเธอ
การแอบชอบใครซักคนอย่างเงียบๆก็เพียงพอแล้ว!
บางครั้งการที่เรามีคนที่แอบชอบก็เป็นเรื่องที่ดีที่ทำให้เรามีความสุข แต่ถ้าเราทำอะไรบางอย่างมากกว่าการแอบชอบ มันอาจจะเป็นการทำให้คนที่ถูกชอบลำบากใจได้
จี้เฟิงตระหนักถึงเหตุผลนี้เสมอ เมื่อเห็นท่าทางของจี้เฟิงแล้ว ถงเล่ยก็รู้สึกว่าคำพูดของเธออาจจะรุนแรงเกินไป แม้ว่าเธอจะมาจากตระกูลที่ใหญ่โตและครอบครัวที่ดี แต่เธอก็ไม่ได้เป็นคนที่หยิ่ง เธอไม่เคยรู้สึกว่าคนที่ยากจนต้องด้อยกว่าคนอื่นเสมอไป อย่างไรก็ตามถงเล่ยไม่ได้คิดอะไรกับจี้เฟิงมากกว่าคำว่าเพื่อนร่วมชั้น และครอบครัวเธอก็คงจะไม่เห็นด้วยหากทั้งสองคนได้คบกันจริงๆ ดังนั้นถงเล่ยจึงไม่ได้คิดอะไรนอกเหนือจากนี้
“จี้เฟิงนายอย่าเพิ่งเข้าใจฉันผิด ฉันไม่ได้ดูถูกอะไรนาย ฉันหมายความว่าเราทุกคนยังเป็นนักเรียน การเรียนหนังสือจึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในตอนนี้ พอเวลาผ่านไปซักสองสามปีแล้วนายมองย้อนกลับมา นายจะพบว่าเวลาในตอนนี้มันสนุกมาก”
“ฉันเข้าใจ!” จี้เฟิงยิ้ม เนื่องจากถงเล่ยพูดอย่างเป็นกันเอง จึงทำให้จี้เฟิงสงบลง เขาพูดด้วยน้ำเสียงเรียบง่าย “ฉันเข้าใจว่าเธอหมายถึงอะไร ที่จริงฉันยังคิดว่าการเรียนเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในตอนนี้ ฉันยังนึกเสียใจอยู่เลยที่ปีก่อนๆฉันไม่ตั้งใจเรียนมากพอ!”
ถงเล่ยยิ้มและพูดว่า “ดีมากเลยที่นายคิดได้แบบนี้ ถึงเมื่อก่อนเราจะไม่ค่อยได้คุยกัน แต่ต่อจากนี้ถ้านายสงสัยอะไรเรื่องเรียน นายถามฉันได้เลยนะ เรามาเป็นเพื่อนกันดีไหม!”
“เป็นเกียรติมากขอรับ!” จี้เฟิงยิ้มรับ ถงเล่ยหัวเราะคิกคักทันที ความงดงามเปล่งประกายของเธอเปรียบได้ดั่งดอกไม้แรกแย้มกำลังผลิใบ จี้เฟิงก็หัวเราะเช่นกัน ดวงตาของเขาแวววาวล้ำลึกราวกับดวงดาวบนท้องฟ้า
หัวใจของถงเล่ยสั่นเล็กน้อยเมื่อเห็นรอยยิ้มไร้เดียงสาและดวงตาที่ลึกล้ำดั่งดวงดาวบนท้องฟ้าของจี้เฟิง…