บทที่ 8 ถงเล่ย
กริ๊งง….งง~~!!
เมื่อเสียงกริ่งดังขึ้นเวลาสี่สิบนาทีของอ่านการหนังสือในตอนเช้าก็สิ้นสุดลง
“ปึง…งง!!!”
จางเล่ยโยนหนังสือเรียนวิชาภาษาอังกฤษลงบนโต๊ะอย่างแรง เขาส่ายหัวและพูดว่า
“เอาจริงๆนะ ฉันไม่รู้ว่าทำไมฉันถึงต้องเรียนไอ้ภาษานี่ตลอดทั้งวัน ในเมื่อฉันก็ไม่ได้วางแผนที่จะไปต่างประเทศในอนาคตสักหน่อย! อีกอย่างถ้าทุกคนเชี่ยวชาญภาษาอังกฤษกันหมด มันจะไม่เท่ากับว่าเป็นการทำลายงานของนักแปลหรอกเหรอ?”
แม้ว่าจี้เฟิงจะได้ยินคำบ่นของจางเล่ยมามากกว่าหนึ่งครั้ง เขาก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มและพูดว่า “มันไม่เป็นแบบนั้นหรอกหน่า การที่เรารู้อีกภาษาหนึ่ง มันก็ไม่ใช่เรื่องแย่นี่นา”
“ว่าแต่นายเถอะกำลังทำอะไรอยู่ ตั้งใจเรียนภาษาต่างประเทศขนาดนี้ จะปลอมตัวเป็นสายลับไปต่างประเทศหรือไง พูดได้สักคำหรือยังหล่ะ?” จางเล่ยพูดอย่างประชดประชัน
จี้เฟิงยิ้มและส่ายหัว การที่จางเล่ยไม่ชอบเรียนภาษาอื่นๆ ไม่ทำให้เขาแปลกใจ “ในอนาคตนายอาจต้องใช้มัน และมันอาจจะช่วยนายให้รอดพ้นจากสถานการณ์แย่ๆได้!” จี้เฟิงยิ้ม “แต่ตอนนี้ฉันขอตั้งใจเรียนภาษาอังกฤษก่อนนะ ไม่อย่างนั้น แม้แต่จะสอบเข้ามหาวิทยาลัยก็คงทำไม่ได้ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องไปเป็นสายลับอะไรนั่นหรอก!”
ตอนที่จี้เฟิงหาข้อมูลเกี่ยวกับการสอบเข้ามหาวิทยาลัยนั้น เขาได้ยินมาว่ามหาวิทยาลัยหลายแห่งมีข้อกำหนดที่เข้มงวดเกี่ยวกับคะแนนภาษาอังกฤษแม้ว่าคะแนนโดยรวมจะเพียงพอ แต่ถ้าคะแนนภาษาอังกฤษไม่ถึงเกณฑ์ ก็จะไม่สามารถเข้าเรียนมหาวิทยาลัยนั้นๆได้
จี้เฟิงในตอนนี้เขาต้องการที่จะก้าวไปข้างหน้า แม้ว่าเขาจะเกลียดภาษาอังกฤษมากแค่ไหนเขาก็จะตั้งใจเรียนอย่างจริงจังเพราะถ้าหากเขาเข้าไปเรียนในมหาวิทยาลัยได้เขาจะเข้าถึงโลกที่กว้างขึ้นได้!
เมื่อได้ยินเช่นนี้จางเล่ยก็ตะลึงและพูดด้วยน้ำเสียงที่หดหู่ “คิดว่ามันง่ายนักรึไง! ต่อให้ตั้งใจเรียนแค่ไหน เดี๋ยวซักพักก็ลืมอยู่ดี”
จี้เฟิงมองไปที่จางเล่ย เขาส่ายหัวและอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา “เป็นไงเป็นกัน เจ้าบ้า!” ไม่รู้จางเล่ยคิดอะไรอยู่ จู่ๆเขาก็ฮึกเหิมแววตาเป็นประกาย
“เผื่อถงเล่ยจะมองฉันบ้าง ถ้าฉันตั้งใจอ่านหนังสือแบบนาย ว่าแต่นายจะมีลูกกับเธอเมื่อไหร่ดี?” (กวนตีนจังวะจางเล่ย -_-)
“อะไรของนายฟร๊ะเนี่ย!!!” โชคดีที่จี้เฟิงได้ยินคำพูดแปลกๆของจางเล่ยจนชิน ไม่เช่นนั้นเขาคงเป็นบ้าไปจริงๆ
เขาตอบกลับจางเล่ยอย่างโกรธๆ “ถ้านายมาอ่านหนังสือตอนเช้าสาย รับรองว่าเธอจ้องนายตาไม่กระพริบแน่นอน!!”
อันที่จริงจี้เฟิงก็สังเกตเห็นได้เช่นกัน ในการอ่านหนังสือตอนเช้า ถงเล่ยซึ่งนั่งอยู่แถวที่สอง เธอมองจี้เฟิงอยู่หลายครั้ง ดูเหมือนว่าจี้เฟิงคงไม่รอดพ้นจากการโดนตำหนิอย่างแน่นอน
จางเล่ยยิ้มและพูดว่า “ฉันจะบอกอะไรให้นะเจ้าบ้า ฉันก็เคยมาสายนายก็รู้ แต่ไม่เห็นถงเล่ยจะมองฉัน เหมือนที่มองไอ้บ้าแบบนายเลย นายจะอธิบายเรื่องนี้ยังไง?”
จี้เฟิงส่ายหัวและยิ้มอย่างขมขื่น “นั่นอาจเป็นเพราะใครๆก็รู้ ว่าฉันเพิ่งโดนฮูซู่ฮุ่ยทิ้ง ก็คงจะมองด้วยความสงสัยล่ะมั้ง?”
“เออว่ะ! เป็นไปได้!!” จางเล่ยกอดอกพยักหน้าอย่างเห็นด้วยเป็นที่สุด
จี้เฟิงอดไม่ได้ที่จะกลอกตา “นายนี่มัน..เป็นคนตรงไปตรงมาจริงๆ!”
จางเล่ยกล่าวอย่างเคร่งขรึม “นี่แหละคือจุดแข็งของฉัน!”
ทั้งสองคนหัวเราะพร้อมกัน จางเล่ยอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ “เฮ้อ..อ ดูท่าไอ้เจ้าบ้าคนนี้จะลืมฮูซู่ฮุ่ยแล้วจริงๆ”
จี้เฟิงพยักหน้าและยิ้ม “ใช่มันจบแล้ว!!”
จางเล่ยกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ในเมื่อหายดีจากความรักครั้งแรกแล้ว นายไม่อยากลองมีฤดูใบไม้ผลิครั้งที่สองหรอ?”
“อะไรคือฤดูใบไม้ผลิครั้งที่สอง?” จี้เฟิงถาม
“แน่นอนก็ดอกไม้ประจำโรงเรียนของเราไงหละ จางเล่ยพูดด้วยความตื่นเต้น เธอเป็นลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนของเลขาธิการพรรคเขตเลยนะ ถ้านายตั้งใจเรียนต่อสู้ไล่ตามจีบเธอ อีกซักสองสามปี….” ความตื่นเต้นบนใบหน้าของจางเล่ยแข็งค้างก่อนที่เขาจะพูดจบ เขาจ้องไปที่ด้านหลังของจี้เฟิงด้วยความตกใจปนเขินอาย
“นายก็พูดเพ้อเจ้อไปเรื่อย!” จี้เฟิงไม่ทันได้สังเกตสีหน้าที่เริ่มเปลี่ยนไปของจางเล่ย
เขาส่ายหัวและกล่าวว่า “เกิดเป็นลูกผู้ชายถ้าจะต้องมีเป้าหมายในชีวิต มันไม่จำเป็นที่จะต้องมีเป้าหมายเป็นสาวสวยเสมอไป! โดยเฉพาะผู้หญิงแบบ ถงเล่ย เธอสวยและฉลาด ไหนจะเรื่องสถานะทางครอบครัวของฉับกับเธออีกเทียบกันไม่ได้เลย ด้วยเหตุนี้ ถ้าฉันอยากจะคู่กับเธออย่างน้อยก็ต้องเป็นคนที่มีพรสวรรค์หรือเป็นคนที่มาจากครอบครัวที่มีชื่อเสียงทัดเทียมกับเธอ แล้วฉันที่ไม่มีอะไรแบบนั้นสักอย่าง หน้าตาก็ไม่ดีแถมยังจน ฉันคงไม่กล้าแม้แต่จะจีบเธอ!”
ใบหน้าของจางเล่ยเริ่มแปลกไป ดูเหมือนจะยิ้มแต่ก็กลั้นไว้และถามว่า “จากที่ฟังดูเหมือนนายก็สนใจถงเล่ยอยู่พอสมควรเลยสินะ?”
“โธ่เจ้าเพื่อนยาก ใครบ้างล่ะจะไม่ชอบสิ่งสวยๆงามๆ!” หลังจากใช้เวลากับจางเล่ยมานาน จี้เฟิงก็อดไม่ได้ที่จะแกล้งเขา “ถงเล่ยสวยมากทำไมฉันถึงชอบเธอไม่ได้? นอกจากนี้ความชอบไม่ได้หมายความว่าจะต้องแสดงออกมาให้เห็นเสมอไป นายซะอีก ถ้านายไม่ได้สนใจอะไรถงเล่ยและมองเธออยู่ตลอด นายจะรู้ได้ยังไงว่าเธอมองฉันกี่ครั้ง? นายนี่มันเป็นโจรที่ตะโกนจับโจรชัดๆ!”
“อะ…แฮ่ม!”
จางเล่ยไอเล็กน้อยและพูดอย่างติดๆขัดๆ “นั่นมันก็… เอ่อ..เออใช่! ก็หัวหน้าชั้นของเราเธอเก่งมาก นายก็เห็นว่าเธอเรียนเก่งแค่ไหน ฉันก็เลยสนใจว่าเธอมีวิธีเรียนรู้ยังไง”
“ไปตายซะ! นายนี่มันหาข้ออ้างไปเรื่อยจริงๆ!” จี้เฟิงมองเพื่อนอย่างเย้ยหยันและหัวเราะ
เขาหัวเราะได้ไม่นานเสียงของเขาก็ค่อยๆเบาลงๆเขามีความรู้สึกได้ถึงไอเย็นที่แผ่มาจากด้านหลัง
“พวกนายอยากรู้เหรอว่าฉันมีวิธีเรียนรู้ยังไง ว่าแต่จางเล่ยเพื่อนร่วมชั้นของเราชอบที่จะเรียนรู้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?!”
มันเป็นเสียงที่ชัดเจน แค่ได้ยินก็ทำให้เคลิ้มราวกับเสียงของนางฟ้าจากสวรรค์ ด้วยริมฝีปากสีเชอร์รี่ของเธอ แต่น้ำเสียงของคำพูดเหล่านี้ค่อนข้างเย็นชา
หัวใจของจี้เฟิงหล่นไปที่ตาตุ่ม หลังจากที่ได้ยินเสียง เขาก็รู้ได้ทันทีว่าคนที่กำลังพูดอยู่ข้างหลังเขาไม่ใช่ใครอื่นแต่เป็นคนที่เขาและจางเล่ยกำลังพูดถึงอยู่ในตอนนี้ ถงเล่ย!
ซวยล่ะ!!
ใจของจี้เฟิงเต็มไปด้วยความอึดอัดลำบากใจ มันเป็นครั้งแรกที่เขาพูดถึงคนอื่นลับหลังแต่คนที่เขาพูดถึงกลับได้ยินทั้งหมด มันทำให้เขาอยากหายตัวไปจากตรงนี้
“หัวหน้าชั้นถง…ฉันขอโทษ!” จี้เฟิงรู้สึกอับอายเขาจึงรีบขอโทษ “มันเป็นสิ่งที่แย่มาก เราไม่ควรพูดถึงเธอลับหลัง ได้โปรดยกโทษให้พวกเราด้วย!”
ในเวลานี้ใบหน้าที่สวยงามของถงเล่ยเหมือนถูกปกคลุมไปด้วยน้ำแข็ง ดูเหมือนเธอโกรธจนไม่ได้ยินคำพูดของจี้เฟิง เธอจ้องพวกเขาทั้งสองและพูดอย่างเย็นชา “พวกนายสองคนออกมากับฉัน!”
หลังจากพูดจบ เธอหันหลังและเดินออกจากห้องไปอย่างรวดเร็ว
“เจ้าวายร้ายนายรู้ว่าถงเล่ยยืนอยู่ข้างหลังฉัน” จี้เฟิงจ้องไปที่จางเล่ย เขากัดฟันจนทำให้มุมปากเขากระตุก หลังจากคิดได้ว่า เจ้าเพื่อนตัวร้ายคนนี้ต้องตั้งใจทำแบบนี้แน่ๆ “นายกล้ามากนะที่แกล้งฉัน นายไม่ได้ตายดีแน่!”
จางเล่ยยิ้มทันที “ไอ้บ้า ฉันไม่ได้แกล้งนาย แต่นี่เป็นการสร้างโอกาสให้นายต่างหาก ถ้าฉันบอกนายว่าถงเล่ยยืนอยู่ข้างหลัง นายจะกล้าพูดไหมว่านายชอบเธอ?”
จี้เฟิง “……”