บทที่ 14 ตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลง
เมื่อมองไปยังทิศทางที่จี้เฟิงหายตัวไป ซูหม่าและเฉินจ้าวที่อยู่ในรถ BMW ก็เบิกตากว้างมองหน้ากันด้วยความรู้สึกเหลือเชื่อ
“เอื้อก! เขาทำอะไรแบบนี้ได้ยังไง?” ซูหม่ากลืนน้ำลายอย่างยากลำบากด้วยสีหน้าตื่นตะลึง
ชายหัวโล้นมีสีหน้าที่มืดลงอย่างเห็นได้ชัด ปกติแล้วลูกน้องของเขาทั้งหกคน เป็นนักเลงที่ช่วยดูแลความปลอดภัยของธุรกิจโรงอาบน้ำของเขา พวกเขาคุ้นเคยกับการต่อสู้ทุกรูปแบบ ทักษะของพวกเขาก็ดีมากจนสามารถพูดได้เลยว่า หากเป็นชายร่างใหญ่ในจำนวนเท่าๆกันก็ไม่อาจสู้พวกเขาได้
ถึงชายหัวโล้นจะไม่ได้คาดหวังว่าลูกน้องทั้งหกคนของเขาจะซ้อมจี้เฟิงได้เพียงฝ่ายเดียวโดยที่จี้เฟิงไม่สามารถสู้กลับได้ แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมันเหนือความคาดหมายของเขาไปมาก
คุณซูหม่าครั้งนี้เป็นความผิดพลาดที่ไม่คาดคิด แต่ไม่ต้องห่วงคราวหน้าผมจะพาคนมาอีกสองสามคน ไม่ว่ามันจะเก่งแค่ไหน มันก็จะได้กลับไปด้วยสภาพที่ไม่สมประกอบอย่างแน่นอน!” เฉินจ้าวรู้สึกเสียหน้าเป็นอย่างมาก เขากัดฟันพูดด้วยอารมณ์ขุ่นเคือง
โรงอาบน้ำของเฉินจ้าวอยู่ได้ด้วยบารมีตระกูลของซูหม่า หากทำให้ซูหม่าไม่พอใจ เขาอาจจะเป็นคนที่ลำบากเองได้
“แม่งเอ้ย! ฉันก็ไม่คิดว่ามันจะแข็งแกร่งขนาดนี้!”
ซูหม่าถอนหายใจเขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาส่ายหัวและพูดว่า “พี่จ้าว เนื่องจากพี่ไม่สามารถทำอะไรมันได้ในครั้งนี้ รอบหน้าพี่ต้องไม่พลาดอีก และมันจะไม่ง่ายเลย เพราะจี้เฟิงมันต้องระวังตัวมากขึ้นอย่างแน่นอน!”
“เอางี้เราตามมันไปที่บ้าน เดี๋ยวผมโทรตามพี่น้องอีกสองสามคน เราจัดการมันพร้อมพ่อแม่มันเลยทีเดียว!” เฉินจ้าวพูดพร้อมกัดฟัน
ซูหม่าส่ายหัวทันทีและพูดว่า “ตอนนี้ยังก่อน ตงไค่เต๋อ กำลังหาโอกาสที่จะจัดการกับพ่อของฉันอยู่ ถ้าเรื่องมันบานปลายมันจะยิ่งยุ่งยาก ซึ่งไม่ส่งผลดีกับเราอย่างแน่นอน!”
เหมือนซูหม่าจะคิดอะไรได้ “นึกออกแล้ว ฉันว่าฉันคิดวิธีดีๆที่จะจัดการกับคนอย่างจี้เฟิงได้แล้ว! เป็นอะไรที่ถูกกฎหมายด้วย และไม่เดือดร้อนพวกเราด้วย!”
“วิธีดีๆที่ไม่เดือดร้อน?” เฉินจ้าวงุนงง
ซูหม่ายิ้มอย่างมีเลศนัยและพูดว่า “ใช่ วิธีที่ถูกกฎหมาย เราจะใช้กฎหมายให้เป็นประโยชน์
ลูกน้องของพี่ทั้งหกคน เขาบาดเจ็บด้วยฝีมือของจี้เฟิงไม่ใช่เหรอ?”
เมื่อมองไปที่รอยยิ้มของซูหม่า เฉินจ้าวก็เข้าใจในทันที เขาพูดว่า “คุณจะให้พวกเขาไปแจ้งตำรวจหรือ?”
“หึหึ..!!” ซูหม่าตอบด้วยการหัวเราะ “การทำร้ายร่างกายผู้อื่นจนได้รับบาดเจ็บสาหัส นอกจากเขาจะโดนไล่ออกจากโรงเรียนแล้ว เขาต้องโดนตำรวจจับติดคุกไปอีกนานแสนนานอย่างแน่นอน!”
เฉินจ้าวพยักหน้าด้วยสีหน้าที่ดีขึ้น เขายิ้มและพูดว่า “ใช่เลย นี่เป็นความคิดที่ดีมาก คุณซูหม่านี่สุดยอดจริงๆ! ถึงจี้เฟิงมันจะเก่งแค่ไหนก็ไม่สามารถที่จะหลุดพ้นจากกฎหมายไปได้”
ซูหม่ายิ้มหยัน “ในเมื่อมันกล้าท้าทายฉันโดยการมายุ่งกับผู้หญิงของฉัน เพราะฉะนั้นก็อย่าได้อยู่อย่างสงบสุขเลย!” เขาหยุดคิดก่อนที่จะพูดต่อว่า “พี่จ้าวแล้วพี่จะมีปัญหากับน้องๆที่พี่เรียกมาวันนี้หรือเปล่า?”
เฉินจ้าวพูดทันที “คุณซูหม่าไม่ต้องกังวลไป หากได้ค่าชดเชยจากจี้เฟิงซักคนละ 100,000 หยวน แลกกับการเจ็บขาข้างหนึ่ง ดีไม่ดีพวกนั้นจะรีบวิ่งไปให้มันหักขาอีกคนละข้าง!”
ซูหม่านิ่งคิดและส่ายหัวเขากล่าวว่า “ฉันว่าอย่าไปทั้งหมดจะดีกว่า ให้ไปแค่คนเดียวก็พอ ไม่เช่นนั้นคงไม่มีใครเชื่อว่าผู้ชายหกคนจะถูกจี้เฟิงคนเดียวจัดการได้!”
“คุณซูหม่าคิดรอบคอบดีแล้ว งั้นเราควรไปหาตำรวจทันที!” เฉินจ้าวรีบพยักหน้า
ซูหม่ามองไปยังทิศทางที่จี้เฟิงหายตัวไป เขาหัวเราะอย่างมีชัย “จี้เฟิงฉันจะทำให้นายได้รู้ว่าอะไรคือจุดจบของการที่นายต่อต้านฉัน”
…………
ตลอดทางจี้เฟิงไม่ได้หยุดเดินเลย เขารีบไปที่สถานีตำรวจที่ใกล้ที่สุด!
สถานการณ์ที่พบในระหว่างเดินทางกลับบ้านทำให้เขาจมอยู่กับความคิดจนมาถึงสถานีตำรวจโดยไม่รู้ตัว แต่ก็ยังถือว่าช้ากว่าใจของเขาที่อยากจะให้ถึงไวกว่านี้มากนัก
โชคดีที่ฉันมีสมองหมายเลข 1 ช่วยโดยไม่คาดคิด ไม่งั้นฉันนึกภาพไม่ออกเลยว่าจะโดนชายหกคนนั้นซ้อมหนักขนาดไหน
“ซูหม่านายมันชั่วได้ใจจริงๆ!” จี้เฟิงก่นด่าซูหม่าในใจ เขาเคยคิดว่าการมีปัญหากับเพื่อนนักเรียนอย่างมากก็แก้ไขด้วยวิธีของนักเรียนเท่านั้น แต่ดูจากเหตุการณ์ที่เขาเจอมาในวันนี้แล้วนั้น เห็นได้ชัดว่าซูหม่าไม่ใช่ผู้ชายที่ดีอย่างแน่นอน ขนาดพ่อของเขาที่เป็นถึงรองผู้บริหารเขต ผู้ที่เป็นลูกของข้าราชการแท้ๆ แต่ซูหม่าเป็นคนที่โหดร้ายกว่าที่คิด เพียงแค่ขัดใจกันเรื่องเล็กน้อยถึงกับต้องใช้คนถึงหกคนมาจัดการเขา!
“ถ้าหากร่ำรวยและมีอำนาจ มันจะทำให้คนเรากล้าทำเรื่องพวกนี้ได้จริงๆสินะ? เหอะๆ!” จี้เฟิงหัวเราะอย่างเย้ยหยัน เขาอยากจะรู้นักว่าซูหม่าจะอาละวาดได้นานแค่ไหน?
เขามองไปที่ห้องปฏิบัติหน้าที่ของตำรวจที่ยังคงเปิดไฟอยู่ จี้เฟิงจึงเดินเข้าไป
จี้เฟิงไม่ได้โง่ เขารู้อยู่แก่ใจว่าซูหม่าเป็นคนที่อยากจัดการเขา และซูหม่าจะไม่หยุดแค่นี้ แต่ซูหม่าก็ฉลาดพอที่จะไม่ทำมันด้วยตัวเอง เขาใช้คนทั้งหกคนนั้นมาเป็นเครื่องมือ
ดังนั้นจี้เฟิงจึงไม่ได้กลับบ้านหลังจากที่วิ่งหนีออกมา แต่เลือกที่จะตรงไปที่สถานีตำรวจเพื่อแจ้งความ
ในเวลานี้มีตำรวจวัยกลางคนกำลังปฏิบัติหน้าที่นั่งประจำอยู่ที่ตำแหน่งรับแจ้งความ เมื่อตำรวจเห็นจี้เฟิง เขาก็ถามทันที “พ่อหนุ่ม มีอะไรให้ช่วยหรือเปล่า?”
จี้เฟิงพูดทันที “คุณตำรวจ ผมต้องการแจ้งความครับ วันนี้เมื่อตอนโรงเรียนเลิก ผมโดนดักปล้น!”
ตำรวจวัยกลางคนตกใจ ลุกขึ้นยืนทันที “เหตุเกิดที่ไหน!?”
“ผมพาคุณไปที่นั่นได้”
“โอเคฉันจะตามเจ้าหน้าที่คนอื่นไปด้วยทันที!”
จากนั้นตำรวจวัยกลางคนก็กดกริ่งเตือน ภายในเวลาไม่กี่นาทีเจ้าหน้าที่ตำรวจกลุ่มหนึ่งก็รีบออกจากสถานีตำรวจ ตำรวจนายหนึ่งมีรูปร่างกำยำ อายุประมาณสามสิบปี เขามาที่ห้องปฏิบัติหน้าที่และถามทันที “จ่ามีอะไรเหรอ?”
นายตำรวจวัยกลางคนกล่าวว่า “พ่อหนุ่มคนนี้มาแจ้งความว่าถูกปล้นคับผู้กอง”
ตำรวจที่ถูกเรียกว่าผู้กองหันไปมองที่จี้เฟิงและถามว่า “การปล้นเกิดขึ้นที่ไหน? นำไปที่จุดเกิดเหตุทันที!”
ด้วยคำพูดของตำรวจที่ดูทำงานอย่างว่องไว จนทำให้จี้เฟิงไม่มีโอกาสที่จะอธิบายรายละเอียด เขาได้ถูกพาเข้าไปนั่งในรถตำรวจที่จอดอยู่ด้านนอก และยังมีตำรวจอีกหลายสิบนายขึ้นรถตำรวจอีกหลายคันและเปิดไซเรนขับออกจากสถานีตำรวจ
เมื่อรถตำรวจออกจากสถานีตำรวจ จี้เฟิงก็พูดทันทีว่า “คุณตำรวจ มันใช้ประโยชน์จากที่โรงเรียนผมเลิกเรียนค่ำ และรอจนมืดแล้วพวกเขาก็เข้ามาปล้นผม!”
“หืมม? คนที่ถูกปล้นคือคุณเหรอ?” ตำรวจที่อยู่ในรถมองไปที่จี้เฟิงและถามด้วยความประหลาดใจ “แล้วคุณมาแจ้งความที่สถานีตำรวจได้ยังไง?”
จี้เฟิงเกาหัวของเขาอย่างขัดเขินแล้วตอบว่า “ผมก็ไม่รู้ ตอนที่พวกเขากำลังจะเข้ามารุมทำร้ายผม ผมกลัวมาก แต่เหมือนผมจะเผลอไปกระแทกคางพวกเขาจนล้มลง ผมก็เลยวิ่งหนีมาที่สถานีตำรวจเพื่อแจ้งความนี่แหละ”
ผู้กองหยานได้เรียนรู้วิธีต่อสู้จากสถาบันตำรวจ เขารู้ว่าโดยปกติแล้วตรงขากรรไกรของมนุษย์นั้น จะมีเส้นประสาทที่สามารถทำให้มึนงงอยู่ เมื่อถูกกระแทกที่ตรงนั้นไม่ว่าจะแรงแค่ไหน ก็จะสามารถทำให้หมดสติได้ในทันที ดังนั้นเขาจึงไม่ได้ติดใจสงสัยอะไร เขาคิดว่าจี้เฟิงคงบังเอิญทำไปด้วยความตื่นตระหนก!
“พวกเขามีทั้งหมดกี่คน” ผู้กองหยานถามอีกครั้ง
จี้เฟิงคิดสักพักก่อนที่จะแสร้งทำเป็นลังเลและพูดว่า “ดูเหมือนจะหกคน ผมไม่แน่ใจ เพราะตอนนั้นผมกลัวมาก!”
ผู้กองหยานมองไปที่จี้เฟิงและพยักหน้าเล็กน้อย ในความคิดของเขาจี้เฟิงยังเป็นเพียงแค่เด็ก ไม่แปลกที่จะตื่นตกใจเวลาพบการโจรกรรม
………
“ให้ตายเถอะ! พวกนายมันไร้ประโยชน์ กับแค่นักเรียนคนเดียว พวกนายยังไม่สามารถเอาชนะได้ เลี้ยงเสียข้าวสุกจริงๆ!” ชายหัวโล้นนามว่าเฉินจ้าว มองไปที่ชายทั้งหกคนที่อยู่บนพื้น เขาอดไม่ได้ที่จะตะโกนด่าด้วยความโมโห
ซูหม่าที่ยืนอยู่ข้างๆเขาพูดว่า “พี่ชาย ทิ้งคนอื่นๆไว้ที่นี่ก่อน แล้วพาไปหนึ่งคนเพื่อไปแจ้งความ บอกไปว่า พวกพี่ไม่รู้จักกัน พี่เป็นเพียงแค่คนที่เดินผ่านมาและเห็นเหตุการณ์ ให้พี่อธิบายลักษณะของจี้เฟิงไปอย่างละเอียด ตำรวจต้องตามหาเขาเจออย่างแน่นอน!”
เฉินจ้าวพยักหน้าทันที ในขณะที่เขากำลังคุยกัน ก็ได้ยินเสียงไซเรนของรถตำรวจอยู่ไม่ไกล
ใบหน้าของซูหม่าและเฉินจ้าว เปลี่ยนไปในเวลาเดียวกัน เฉินจ้าวพูดทันทีว่า “ไม่นะ! เราจะให้ตำรวจพบเราตอนนี้ไม่ได้ ไม่งั้นเรื่องที่เราจะเป็นคนไปแจ้งตำรวจคงเป็นไปไม่ได้!”