บทที่ 3 ความจำระดับเทพ!!
“อะโธ่! ทำเป็นวางท่า!” จี้เฟิงสบถไล่หลังนางพยาบาลร่างอ้วนอย่างเย็นชา
“เฟิงเอ๋อ ลูกแม่โตขึ้นจริงๆนะเนี่ย!” เซียวซูเหม่ยมองไปที่ลูกชาย เขาสูงกว่าเธอไปเสียแล้วตอนนี้ เธอมองลูกชายด้วยสีหน้าอ่อนโยนพร้อมกับยิ้มภูมิใจ
ในตอนแรกเซียวซูเหม่ยกลัวว่าการขัดใจกับนางพยาบาลนั้น จะส่งผลร้ายต่อการรักษา นางพยาบาลอาจใช้อารมณ์ส่วนตัวและไม่เต็มใจรักษาลูกชายของเธอ และผลที่ตามมามันอาจจะร้ายแรงได้
แต่สิ่งที่เกิดขึ้น กลับทำให้เซียวซูเหม่ยพอใจมาก จี้เฟิงอดทนฟังที่นางพยาบาลร่างอ้วนดูถูกเหยียดหยามอย่างใจเย็น เขารอจังหวะสวนกลับนางพยาบาลอย่างมีสติ นั่นทำให้นางพยาบาลได้รับความอับอายกับสิ่งที่เธอทำเสียเอง มันเจ็บยิ่งกว่าถูกทำร้ายร่างกายเสียอีก
“แม่..ผมบอกแม่แล้วไงผมจะไม่ปล่อยให้คนอื่นต้องมาดูถูกพวกเราอีก!” จี้เฟิงกล่าวอย่างหนักแน่น
“จ้าๆ แม่เชื่อในตัวลูกนะ!” เซียวซูเหม่ยอมยิ้มและพยักหน้าอย่างพอใจ
จู่ๆจี้เฟิงก็นึกถึงที่นางพยาบาลอ้วนพูดขึ้นมาและถามแม่ว่า “แม่ผมนอนไม่ได้สติมาสามวันแล้วเหรอ?”
พอพูดถึงอาการของลูกชายเซียวซูเหม่ยก็เป็นกังวลขึ้นมาทันที เธอถามลูกชายอย่างร้อนรน “เฟิงเอ๋อแล้วตอนนี้ลูกอาการเป็นยังไงบ้าง? ไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า?”
หลังจบประโยคที่แม่ถามเขาด้วยความเป็นห่วง ความรู้สึกอบอุ่นถาโถมเข้ามาภายในใจของจี้เฟิง เขามองไปที่แม่ของเขาที่มีอายุเพียงสี่สิบปีแต่ใบหน้าของเธอนั้นเต็มไปด้วยริ้วรอยที่ทำให้ดูแก่กว่าอายุจริงของเธอมากนัก เขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเจ็บปวดหัวใจ เพื่อที่จะเลี้ยงดูเขาด้วยตัวเองเพียงลำพังแม่ต้องลำบากมามากขนาดไหน!
“แม่ไม่ต้องห่วง ผมสบายดี ดูนี่นะ!” จี้เฟิงลุกขึ้นขยับแขนขาอย่างกระฉับกระเฉง และทันใดนั้นเขารู้สึกราวกับว่าร่างกายเขาเต็มไปด้วยพละกำลังเขาอดไม่ได้ที่จะแปลกใจ แต่เขาก็รู้สึกมีความสุขมากเช่นกัน
เมื่อก่อนร่างกายของจี้เฟิงอ่อนแอ เนื่องจากโภชนาการที่เขาได้รับไม่เหมาะสมกับการเจริญเติบโตของเขา
แต่ในตอนนี้ถึงเขาจะรู้สึกแข็งแรงมากเขาก็ยังไม่สามารถปรับตัวได้ ความรู้สึกที่เต็มไปด้วยความแข็งแกร่งนี้มันไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน!
“หรือเป็นเพราะได้นอนพักที่โรงพยาบาลอย่างเต็มที่มาสองสามวัน!?” จี้เฟิงเดา
เซียวซูเหม่ยมองไปที่ลูกชาย เมื่อเห็นว่าลูกชายของเธอไม่ได้แกล้งทำเป็นแข็งแรงเพื่อให้เธอสบายใจ เธอก็รู้สึกโล่งใจ
จี้เฟิงพูดว่า “แม่เรากลับบ้านกันเถอะ ผมหายดีแล้วจริงๆ”
“ป่ะ กลับก็กลับ!” เซียวซูเหม่ยถอนหายใจเบาๆถ้าไม่ใช่เพราะเรื่องเงิน มีหรือที่เธอจะเต็มใจให้ลูกชายออกจากโรงพยาบาลในตอนนี้ เพราะลูกชายของเธอเพิ่งจะฟื้นจากอาการโคม่าและยังต้องการการพักผ่อนอีกมาก
ทันทีที่พวกเขาเดินออกจากห้องพวกเขาก็เห็นพยาบาลร่างอ้วนยืนอยู่ตรงทางเดินยังคงมองมาทางพวกเขาด้วยสายตาดูถูก
เมื่อเห็นสองแม่ลูกกำลังจะกลับ นางพยาบาลก็พึมพำอย่างเหยียดหยาม
“หึ! พวกคนจนที่น่าสมเพช เป็นฉันคงอายที่ต้องเข้าโรงพยาบาลทั้งๆที่ไม่มีเงิน!”
ใบหน้าของจี้เฟิงมืดมนลงทันใดเขาตะคอกกลับไปด้วยความโกรธ “เฮ้ยย..ย!!”
เซียวซูเหม่ยตบบ่าลูกชายเบาๆแล้วกระซิบว่า “เฟิงเอ๋อช่างเขาเถอะไม่ต้องไปสนใจ”
จี้เฟิงสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เขาพยักหน้าเล็กน้อยแล้วพูดว่า “แม่ไปกันเถอะ!”
เมื่อออกจากโรงพยาบาล จี้เฟิงก็อดไม่ได้ที่จะยืนสูดอากาศบริสุทธิ์ข้างนอก กลิ่นยาในโรงพยาบาลมันฉุนเสียจนทำให้เขารู้สึกอึดอัดมาก
“เฟิงเอ๋อเอาของวางบนรถ” เซียวซูเหม่ยขี่รถสามล้อคันเดียวในบ้านออกจากใต้โรงจอดรถที่อยู่ไม่ไกล
ทันใดนั้นจี้เฟิงก็ถามอย่างรู้สึกผิด “แม่ไม่ได้ไปขายของเพราะต้องมาดูแลผมใช่ไหม?”
“เจ้าเด็กโง่!” เซียวซูเหม่ยยิ้มพร้อมกับขยี้หัวของจี้เฟิง “ที่แม่ทำงานก็เพื่อลูก ถ้าลูกเป็นอะไรไป ไม่ว่าแม่จะหาเงินได้มากแค่ไหนมันก็ไม่มีประโยชน์!”
จี้เฟิงแตะหัวของเขาและยิ้ม เขาสัมผัสได้ว่าความรักที่แม่มีต่อเขามันมากมายเหลือเกิน
“ตอนนี้ยังเช้าอยู่ผมว่าผมยังไม่กลับบ้านดีกว่าขอไปโรงเรียนเลยนะแม่” จู่ๆจี้เฟิงก็นึกขึ้นได้และพูดว่า “ฉันพลาดการเรียนไปสามวันทั้งๆที่เพิ่งจะเปิดเทอมแท้ๆ”
เซียวซูเหม่ยไม่อยากให้ลูกชายไปโรงเรียนในตอนนี้ เธอจึงพูดเพื่อเกลี้ยกล่อมลูกชาย “เฟิงเอ๋อแม่ขอครูที่โรงเรียนให้แล้ว ดังนั้นวันนี้กลับบ้านก่อนหยุดพักอีกสักวัน แล้วพรุ่งนี้ค่อยไปโรงเรียนก็ได้”
จี้เฟิงส่ายหัวแล้วพูดว่า “ไม่ได้หรอกแม่ตอนนี้ผมอยู่มัธยมปลายปีสามแล้ว ผมต้องตั้งใจเรียนจริงๆจังๆได้แล้ว!”
เมื่อเห็นลูกชายตั้งใจแน่วแน่ที่จะไปโรงเรียนให้ได้ เซียวซูเหม่ยจึงไม่คิดที่จะรั้งอีก เธอได้แต่พยักหน้าและพูดว่า “งั้นตอนบ่ายแม่จะซื้อเนื้อดีๆมาไว้ทำรอลูกกลับจากโรงเรียนตอนเย็นแล้วกันนะ!”
จี้เฟิงยิ้มและพยักหน้ารับรู้ จากนั้นเขาได้แยกกับแม่และไปโรงเรียน
………
เซียวซูเหม่ยมองไปที่ด้านหลังของลูกชายรอยยิ้มของเธอก็ค่อยๆหุบลงกลายเป็นใบหน้าที่เศร้าหมองและพูดกับตัวเองเบาๆว่า “ลูกชายกำลังจะเข้ามหาวิทยาลัยแล้วหรือนี่ แต่เงินค่าเทอมนี่สิ…”
เธอกัดฟันและพูดกับตัวเองอย่างมุ่งมั่นว่า “ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นต่อให้ต้องทำงานหนักอีกร้อยเท่า เราก็จะหาเงินส่งเฟิงเอ๋อเรียนมหาวิทยาลัยให้ได้!!”
………
เมื่อก้าวเข้าสู่ประตูโรงเรียน จี้เฟิงรู้สึกเหมือนได้กลับมามีชีวิตใหม่อีกครั้ง สามวันที่ผ่านมาเขาพบกับความรักที่ไม่สมหวังเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นภายในโรงเรียนแห่งนี้
“ทุกอย่างมันจบลงแล้ว!” จี้เฟิงพูดกับตัวเองอย่างหนักแน่นว่า “จี้เฟิงนายไม่ได้อยู่ตัวคนเดียว นายยังมีแม่ที่ทำงานหนักนายจะต้องไม่ให้คนอื่นมาดูถูก นายจะปล่อยให้แม่นายต้องลำบากอีกไม่ได้!”
หลังจากจัดเสื้อผ้าให้เข้าที่เข้าทางเรียบร้อยแล้ว จี้เฟิงก็เดินไปที่ห้องเรียนอย่างสงบนิ่ง
ชั้นเรียนของจี้เฟิง เป็นชั้นมัธยมปลายปี 3 อยู่ที่ชั้น 2 ของอาคารสอน
ตอนนี้เป็นเวลา 10 โมงเช้าบรรยากาศภายในโรงเรียน ค่อนข้างเงียบเพราะเป็นเวลาเข้าเรียนแล้ว
จี้เฟิงมาถึงหน้าประตูห้องเรียน เขาพูดกับอาจารย์ที่กำลังสอน “ขอโทษที่มาสายครับ”
สายตาที่ดูอิดโรยแต่แฝงด้วยความใจดีของอาจารย์ผู้สอนวัยห้าสิบปี หันมามองจี้เฟิงแล้วพยักหน้า “เข้ามา!”
ทันทีที่จี้เฟิงก้าวเข้ามาในห้องเรียน สายตาของนักเรียนทุกคนในชั้นก็จับจ้องไปที่เขา สีหน้าและสายตาของคนในห้องแสดงให้เห็นถึงความสงสารเห็นอกเห็นใจที่มีต่อจี้เฟิง บางคนก็มองเขาอย่างดูถูกเหยียดหยาม
จี้เฟิงเดินไปยังที่นั่งของเขา เขานั่งลงอย่างสงบนิ่ง ทางด้านขวาของเขาเดิมทีเป็นที่นั่งของฮูซู่ฮุ่ยแต่ในตอนนี้เป็นเด็กหนุ่มคนหนึ่งนั่งอยู่
เด็กหนุ่มนี้มีชื่อว่า จางเล่ย ซึ่งเป็นเพื่อนร่วมชั้นกับจี้เฟิงตั้งแต่ม.ปลายปีหนึ่ง และยังเป็นเพียงคนเดียวที่จี้เฟิงเรียกได้เต็มปากเต็มคำว่าเพื่อน
อย่างไรก็ตามไม่ว่าจี้เฟิงจะอ่านหนังสือมากแค่ไหนแต่ผลการเรียนของเขาก็อยู่ในระดับปานกลาง ไม่ได้โดดเด่นอะไร แต่นั่นไม่ใช่กับจางเล่ย เขาดูเป็นเด็กผู้ชายที่ไม่ค่อยจะสนใจเรียนนักและแน่นอนเขาไม่เคยอ่านหนังสือเพื่อทบทวนบทเรียนเลย แต่ทุกครั้งที่มีการสอบ ผลลัพธ์ที่ออกมาจะต้องมีชื่อ “จางเล่ย” ติดหนึ่งในสิบของระดับชั้น และหนึ่งในสามของห้องเสมอ!!
และผู้ที่เป็นอับดับหนึ่งคือหัวหน้าชั้นของม.ปลายปี 3 “ถงเล่ย” ยังมี “ซูหม่า” ที่เป็นรองหัวหน้าชั้นรวมถึงจางเล่ย พวกเขาสามคนได้รับฉายาว่าสามหัวหอกแห่งคลาสหก นั่นแสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพของจางเล่ยเป็นอย่างดี!
อย่างไรก็ตามถ้ามองจากภายนอกคงไม่มีใครคิดว่า จางเล่ย จะเป็นนักเรียนที่ดีได้ ด้วยผมสีเหลืองทอง เสื้อคลุมที่เปิดโล่งดูโปร่งสบาย นี่คือชุดที่เป็นสัญลักษณ์ของจางเล่ย
ทันทีที่จี้เฟิงนั่งลงจางเล่ยก็ทุบหลังของเขาและกระซิบ “ไงเจ้าบ้า เป็นไงบ้าง โอเคยัง?”
จี้เฟิงส่ายหัวและกระซิบตอบ “ไม่ได้เป็นอะไรมากฉันแค่เป็นลมแดดน่ะ!”
จางเล่ยแสยะยิ้มที่มุมปาก เห็นได้ชัดว่าเขาไม่เชื่อคำพูดของจี้เฟิง “ฉันได้ยินเรื่องเกี่ยวกับนายและยัยฮูซู่ฮุ่ยจอมหยิ่งหัวสูงนั่น แต่นายไม่ต้องเศร้าไป เดี๋ยวตอนเลิกเรียนฉันจะพานายไปเลี้ยงอาหารทะเลแก้เครียดเอง สนใจไหม?”
จี้เฟิงอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา ความรู้สึกอบอุ่นหัวใจหลั่งไหลออกมาเป็นรอยยิ้ม เขารู้ดีว่าในห้องเรียนมีนักเรียนมากกว่าสี่สิบคนแต่คนที่ปลอบใจเขาได้นั้นมีเพียงจางเล่ย เพื่อนเพียงคนเดียวของเขา!!
“เอ้า!! มาเรียนกันต่อ” อาจารย์ยังคงบรรยายบนโพเดียมที่หน้าห้อง จี้เฟิงหยิบหนังสือออกมาจากใต้โต๊ะและเตรียมทำการบ้านที่เขาได้หยุดเรียนไป
ในสามวันแรกของการเรียน อาจารย์ไม่ได้สอนอะไรมาก จี้เฟิงดูเหมือนจะโล่งใจ ดังนั้นเมื่อหมดชั่วโมงเรียนเขากะว่าจะพยายามนั่งอ่านหนังสือในส่วนที่เขาหยุดไปให้ทัน
กริ๊งง…งงงงง~~~!!
หลังจากกริ่งดังขึ้น จี้เฟิงก็อ่านเนื้อหาในหนังสือเกือบทั้งหมด
“เห้ยไอ้บ้า! นายโอเคนะ?” จางเล่ยที่อยู่ข้างๆ เขายิ้มและหรี่ตามองไปที่หนังสือของจี้เฟิง
“เราอยู่ในชั้นเรียนฟิสิกส์แต่นายอ่านภาษาอังกฤษ?”
ปึงงง..!
จี้เฟิงปิดหนังสือและเหลือบมองไปที่จางเล่ย “นายคิดว่าทุกคนเป็นเหมือนายกันหมดหรือไง ฉันหยุดเรียนไปตั้งสามวันถ้าฉันไม่ตั้งใจในตอนนี้ แล้วจะเข้ามหาวิทยาลัยได้ยังไง แล้วนายก็เลิกเรียนฉันว่าไอ้บ้าได้แล้ว!”
จางเล่ยหัวเราะและไม่สนใจคำบ่นของจี้เฟิง “ก็นายมันบ้า!”
“นายยย!!” จี้เฟิงส่ายหัวและพูดด้วยรอยยิ้ม
ขณะที่ทั้งสองคุยกันและหัวเราะ จี้เฟิงก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกสบายใจขึ้น เขารู้ว่าจางเล่ยกำลังปลอบเขาด้วยวิธีของจางเล่ยเอง เฉพาะต่อหน้าเพื่อนเท่านั้นแหละที่เขาจะสามารถผ่อนคลายเป็นตัวของตัวเองได้จริงๆ
จี้เฟิงส่ายหัวและยิ้ม เขากำลังจะหยิบหนังสือเรียนที่เคยอ่านมาก่อนหน้านี้และจำได้ว่ามีปัญหาอยู่สองสามข้อที่เขาไม่เข้าใจและเขาต้องการจะถามจางเล่ย
ทันใดนั้น จี้เฟิงก็สะดุ้ง
จี้เฟิงพบว่าเมื่อเขานึกถึงปัญหาสองสามข้อ ที่เขาเคยอ่านมาและไม่เข้าใจ จู่ๆเขาก็รู้สึกเหมือนกับมีภาพยนตร์มาฉายชัดในหัวของเขา
“นี่มัน….ภาพอะไรกันเนี่ย ทำไมอยู่ดีๆก็จำได้ทั้งหมด!?” จี้เฟิงตกใจและจมอยู่ในความคิดกับสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้น