บทที่ 31 การโจรกรรมบนท้องถนน 2
หลังจากพวกเขาออกจากประตูโรงเรียน ถงเล่ยหยิบไฟฉายอันเล็กออกจากกระเป๋านักเรียนของเธอ ทันใดนั้นก็มีแสงสว่างอยู่ตรงหน้าทั้งสอง ภายใต้แสงที่ไม่แรงจนเกินไปส่งผลให้ใบหน้าของถงเล่ยดูขาวนวลยิ่งขึ้น ติ่งหูที่สวยงามราวคริสตัล จี้เฟิงมองไล่ลงมายังร่างกายที่สวยงามของเธอ มันทำให้เขารู้สึกใจหวิวๆ เขารีบดึงสติกลับมา
“หัวหน้าชั้นให้ฉันช่วยถือกระเป๋านักเรียนกับไฟฉายของเธอนะ!” จี้เฟิงคว้ากระเป๋านักเรียนและไฟฉายจากมือของถงเล่ย โดยไม่รอคำตอบ
ถงเล่ยก็ไม่ได้ตอบอะไรเช่นกัน เธอเพียงแค่ยิ้มบางๆ เธอเคยเห็นความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ของจี้เฟิงมาบ้างแล้ว แต่ความสุภาพที่จริงใจและเป็นธรรมชาติของจี้เฟิง เธอเพิ่งเคยเห็นมันเป็นครั้งแรก ทันใดนั้นเธอก็รู้สึกอบอุ่นใจเล็กน้อย มีความหวานปรากฏขึ้นในความรู้สึกของเธอ และเธอยังรู้สึกว่า จี้เฟิงนั้นแตกต่างจากเด็กผู้ชายคนอื่นๆ
หลังจากที่เดินไปเรื่อยๆ ถงเล่ยก็พบว่าไม่ใช่แค่ความสุภาพเท่านั้นที่จี้เฟิงแตกต่างจากคนอื่น ๆ แต่เขายังมีการใส่ใจรายละเอียดเล็กๆน้อยๆ ที่ผู้ชายส่วนใหญ่ไม่มี
เนื่องจากไฟฉายของถงเล่ยแทบไม่ต่างจากไฟฉายของเล่น แสงของไฟจึงไม่แรงพอที่จะใช้งานได้อย่างเต็มที่ เมื่อส่องลงบนพื้นที่มีหมอกเล็กน้อยจึงทำให้มองเห็นได้ยาก
ในอดีตถงเล่ยใช้มันเพียงอย่างเดียวโดยไม่ได้สนใจอะไร แต่วันนี้เธอพบว่าแสงไฟฉายกลับดูแรงกว่าทุกครั้งและมันทำให้เธอมองเห็นพื้นได้อย่างชัดเจน!
เธออดไม่ได้ที่จะรู้สึกแปลกใจ เธอหันหน้าไปมองจี้เฟิง และทันใดนั้นเธอก็รู้สึกอบอุ่นหัวใจอย่างบอกไม่ถูก
จี้เฟิงที่ถือไฟฉาย เขาสามารถส่องแสงในที่ที่ถงเล่ยกำลังจะก้าวในขั้นถัดไป ไม่กว้างหรือแคบเกินไป ได้อย่างเหมาะสมกับการก้าวเดินของถงเล่ยพอดี ส่วนจี้เฟิงที่เดินอยู่ด้านข้างนั้น เขามองไปที่ถนนแทบไม่เห็นและต้องเดินด้วยความระมัดระวัง
ใครก็ตามที่เคยใช้ไฟฉายในเวลากลางคืนจะพอนึกภาพออกว่า หากคุณใช้เวลาอยู่ในที่มืดเป็นเวลานาน ดวงตาของคุณจะปรับตัวให้เข้ากับแสงยามค่ำคืนและยังสามารถมองเห็นถนนได้แบบลางๆ แต่เมื่อใช้ไฟฉายแล้วแสงไม่แรงพอ การไม่ใช้ไฟฉายเลยจะเป็นเรื่องที่ดีกว่า ยิ่งไม่ต้องพูดถึงหากมีการใช้ไฟฉายที่มีแสงสลัวอยู่ข้างๆ ยิ่งทำให้การมองเห็นแย่ยิ่งขึ้นไปอีก
นั่นหมายความว่าหัวใจของจี้เฟิงนั้นเต็มไปด้วยความอบอุ่นใส่ใจ จี้เฟิงฉายแสงไฟที่พอเหมาะพอดีให้กับถงเล่ย เพื่อให้เธอเดินได้อย่างสะดวก ในขณะที่ตัวเขาเองต้องเดินอย่างระมัดระวัง
“เด็กผู้ชายคนนี้เป็นคนที่ใส่ใจผู้อื่น!” ถงเล่ยคิดในใจ อายุสิบแปดสิบเก้าปีเป็นช่วงวัยที่คนส่วนมากจะมีความรักครั้งแรก แม้ว่าถงเล่ยจะไม่เคยคิดเรื่องการคบหาหรือตกหลุมรักใคร แต่การชื่นชมเพศตรงข้ามก็ถือเป็นเรื่องปกติสำหรับเด็กวัยนี้
ความรู้สึกรักชอบเป็นสิ่งที่ทุกคนมี แต่การที่ไม่ต้องการมีความรัก ไม่ได้หมายความว่าจะมองไม่เห็นสิ่งสวยงามในหัวใจของผู้อื่น!
“จี้เฟิง นายเป็นคนที่หัวไวนะแถมนายยังฉลาดและความจำดีมากอีกด้วย ถ้านายยังพยายามอย่างต่อเนื่อง นายจะต้องได้เข้ามหาวิทยาลัยที่ดีได้อย่างแน่นอน!”
จี้เฟิงส่ายหัวและพูดว่า “ความจำดีไม่ได้หมายความว่าจะเรียนเก่ง เธอก็เห็นว่าฉันขาดความเข้าใจในบทเรียน ฉันจำได้ก็จริงแต่ก็ไม่สามารถนำมันมาใช้ได้อย่างถูกต้อง หากฉันไม่สามารถเตรียมพร้อมได้ทันก่อนวันสอบเข้ามหาวิทยาลัย อย่าว่าแต่เข้ามหาวิทยาลัยดีๆเลย แม้แต่มหาวิทยาลัยระดับสาม ฉันก็คงไม่สามารถที่จะสอบผ่านได้!”
“มั่นใจในตัวเองหน่อย!” เมื่อเธอเห็นจี้เฟิงไม่เห็นคุณค่าของตัวเอง ถงเล่ยก็รู้สึกเป็นกังวล เธอไม่รู้จะทำอย่างไร จึงอดไม่ได้ที่จะพูดว่า “นายไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับการทำความเข้าใจในบทเรียน ฉันจะช่วยนายเอง ด้วยสมองระดับนายไม่มีปัญหาแน่นอน”
จี้เฟิงพยักหน้าและยิ้มแห้งๆ จะเรียกว่าสมองของฉันก็ไม่เชิงหรอกนะ เพราะสมองของเขาคงไม่ใกล้เคียงกับคำว่าอัจฉริยะเลยด้วยซ้ำ เพราะทั้งหมดนี้เป็นฝีมือของสมองหมายเลข 1
“จี้เฟิงฉันพูดจริงๆนะ นายต้องมีความมั่นใจในตัวเอง!” ถงเล่ยเห็นจี้เฟิงยังคงลังเล เธอก็อดไม่ได้ที่จะเป็นกังวล “จี้เฟิงทัศนคติที่ดี บางทีมันก็สำคัญกว่าความสามารถจริงๆเสียอีกนะ ถ้านายมีความมั่นใจเพิ่มขึ้นอีกหน่อย ฉันรับรองได้เลยว่าไม่มีนักเรียนคนไหนในโรงเรียนเก่งสู้นายได้!”
เมื่อมองไปที่แววตาที่เป็นกังวลบนใบหน้าสวยงามของถงเล่ย จี้เฟิงก็ตระหนักถึงบางสิ่งบางอย่างและความรู้สึกอบอุ่นก็ถาโถมเข้ามาในหัวใจของเขา
“ฉันมั่นใจมาก เธอไม่ต้องห่วง!” จี้เฟิงพูดด้วยน้ำเสียงที่แสดงความหนักแน่นและซาบซึ้ง
“นั่นมันธุระของนาย ทำไมฉันต้องเป็นห่วงนายด้วยล่ะ!” ถงเล่ยหน้าแดงอย่างกะทันหัน จากนั้นก็คิดได้ว่าการแสดงออกของเธอมันมากเกินไปหรือเปล่า มันอาจจะทำให้เขาเข้าใจผิด!
เกิดความเงียบขึ้นชั่วขณะ ทั้งสองได้แต่เดินไปข้างหน้าด้วยความเงียบ
จี้เฟิงที่เดินอยู่ข้างๆถงเล่ย ยังคงฉายไฟฉายไปบนถนนด้านหน้าในก้าวถัดไปของถงเล่ยอย่างพอดิบพอดี เหมือนกับว่าทุกการกระทำถูกคำนวณโดยคอมพิวเตอร์อย่างแม่นยำ
ในขณะนั้นเองจี้เฟิงก็กำลังพูดกับตัวเองว่า “อย่าคิดอะไรเกินตัว นายไม่มีคุณสมบัติพอที่จะทำให้ใครมาเป็นห่วงนายได้ ถ้านายต้องการให้เธอห่วงใย นายก็แค่ต้องขยันหมั่นเพียรให้มากพอ เพื่อให้ชีวิตมีอะไรที่ดีกว่านี้ จนกว่าจะเทียบเคียงกับเธอได้!”
“จี้เฟิงเราไปทางลัดกันเถอะ!” ถงเล่ยรู้สึกอายเล็กน้อย เธออยากยุติบรรยากาศแบบนี้โดยไวที่สุด จึงเสนอเส้นทางลัดสายหนึ่ง
“ทางลัด?” จี้เฟิงตกใจและพูดทันที “ทางลัดที่เธอพูดถึง ใช่เส้นทางเลียบคูเมืองหรือเปล่า? ทางนั้นมันไม่ค่อยปลอดภัยนะ!”
มีถนนหลายสายให้เดินจากโรงเรียนของพวกเขา ไปยังสถานที่ที่เรียกว่าเขตบ้านพักของคณะกรรมการประจำเขต ซึ่งหนึ่งในเส้นทางเหล่านั้นอยู่ริมคูเมือง อย่างไรก็ตามเนื่องจากมีต้นไม้ขึ้นรกเต็มข้างทางติดกับคูเมือง และไม่มีไฟถนนเลย จึงเป็นสถานที่ที่มีการปล้นและการทำร้ายร่างกายบ่อยครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้หญิงและนักเรียนไม่ควรใช้ถนนสายนี้ในเวลากลางคืน
หากเป็นเวลาปกติถงเล่ยคงไม่คิดจะใช้ถนนเส้นนี้แน่ หรือถึงแม้ว่าจางเล่นจะอยู่กับเธอเขาก็จะไม่ไป แต่สำหรับถงเล่ย ตอนนี้เธอรู้สึกอยากเปลี่ยนบรรยากาศที่น่าอึดอัดนี้ เธอจึงเสนอขึ้นมาเล่น ๆ
“จี้เฟิง นายกลัวเหรอ?” ถงเล่ยยิ้มอย่างยียวน
“มันก็น่ากลัวจริงๆแหละ!” สำหรับถงเล่ยเธอแค่ต้องการให้จี้เฟิงยอมรับอย่างตรงไปตรงมา
“อย่างไรก็ตามถ้าคุณผู้หญิงต้องการ ถึงฉันจะกลัวแต่ฉันจะไปเป็นเพื่อนเธอเอง เราไปกันเถอะ ฮะฮะ!”
ถงเล่ยตกใจ จากนั้นเธอก็พยักหน้าและหัวเราะคิกคัก “โอเค เราไปกันเถอะ!” ทั้งสองตัดสินใจและหันหน้าไปทางถนนเลียบคูเมือง
พอก้าวเข้าสู่ถนนสายนี้ ถงเล่ยยังคงรู้สึกเขินอาย เธอเดินนำหน้าจี้เฟิงเล็กน้อยและพูดว่า “จี้เฟิงนายเดินช้าจัง เร็วๆหน่อยสิ!”
จี้เฟิงยิ้มเล็กน้อย แม้ว่าถงเล่ยจะเดินนำอยู่ข้างหน้าแต่เขาก็รู้สึกไม่อยากยอมแพ้ โดยลืมคิดถึงความปลอดภัยของตัวเขาเองและถงเล่ย เขาพยักหน้าและพูดว่า “โอเคได้เลย!”
ทั้งสองคนวิ่งเหยาะๆ กันไปเรื่อยๆ จนมาถึงครึ่งทางภายในระยะเวลาไม่กี่นาที
“ดูเหมือนว่าวันนี้เราจะโชคดีที่ไม่เจอกับพวกคนเลวๆ!” จี้เฟิงกล่าวด้วยรอยยิ้มโล่งใจ
แต่ทันทีที่เขาพูดจบก่อนที่ถงเล่ยจะทันได้พูดอะไร จี้เฟิงก็คว้าตัวเธอไว้
“มีอะไรเหรอ?!” ถงเล่ยรู้สึกตกใจ
จี้เฟิงยิ้มฝืดๆ “ดูเหมือนว่าฉันจะปากไม่ค่อยดีเท่าไหร่ เพิ่งจะพูดเรื่องคนเลวไม่ทันไรดูเหมือนจะมาจริงๆ!” หลังจากนั้นเขาก็ชี้ไปที่ด้านหน้าและปิดไฟฉายลง
ตามทิศทางที่นิ้วของจี้เฟิงชี้ไป ถงเล่ยมองเห็นร่างสองร่างที่พร่ามัว สีหน้าถงเล่ยเปลี่ยนไปในทันที “จี้เฟิง เราจะทำยังไงกันดี?!”
……จบบทที่ 31~