บทที่ 25 เหตุผลคือเธอ 2
“ไหน! ลองอธิบายมา?” จี้เฟิงตะคอก “ถ้าไม่ใช่เพราะถงเล่ยฉันคงไม่มีวันรู้ว่านายเป็นพี่ชายของเธอ นายนี่มันแย่มาก!”
จางเล่ยยิ้มอย่างขมขื่น: “ที่ฉันต้องซ่อนตัวตนของฉันมันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เจ้าบ้านายไม่เข้าใจสถานการณ์ในครอบครัวฉัน พ่อของเรายึดมั่นในคำพูดที่ว่า ‘ลูกชายยากจน ลูกสาวร่ำรวย’ ฉันจึงมีความจำเป็นที่จะต้องปกปิดตัวตน”
“ถ้าอย่างนั้น นายก็ถือว่าเป็นคนที่โชคร้ายจริงๆ!” จี้เฟิงหัวเราะ นอกจากนี้เขายังเข้าใจในประโยคที่บอกว่า “ลูกชายยากจน ลูกสาวร่ำรวย”
ประชาชนของหมางซือมีคำพูดที่เรียกว่า “ลูกชายยากจน ลูกสาวร่ำรวย” ‘ลูกชายยากจน’ หมายความว่าในการเลี้ยงดูลูกชาย จำเป็นต้องเลี้ยงดูอย่างเคร่งครัดก่อนที่ลูกชายจะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ ไม่ควรปล่อยให้เขามีชีวิตที่ร่ำรวยสุขสบายเกินไปมิฉะนั้นจะทำให้ติดเป็นนิสัยและทำให้นิสัยเสียได้
ยิ่งไปกว่านั้นดอกไม้ที่เติบโตในเรือนกระจกจะไม่สามารถสัมผัสกับฝนที่ตกลงมาจากภายนอกได้ ในอนาคตหากพวกเขาแยกตัวไปเป็นอิสระ พวกเขาจะไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ ดังนั้นลูกชายที่ถูกตามใจจะมีแนวโน้มว่าชีวิตอาจจะลำบากในภายภาคหน้า
ส่วนความหมายของคำว่า ‘ลูกสาวร่ำรวย’ หมายความว่าหากมีลูกสาวควรเลี้ยงดูโดยให้สิ่งดีๆกับเธอ อย่าปล่อยให้เธออดอยากขาดแคลน ให้เธอเติบโตมาในสภาพแวดล้อมที่อบอุ่นร่ำรวย เผื่อในภายภาคหน้าลูกสาวของเธอโตขึ้นและออกไปอยู่ในโลกภายนอกเธอจะไม่ถูกล่อลวงจากโลกที่เต็มไปด้วยสีสัน
แต่ก็มีเด็กผู้หญิงจำนวนมาก เกิดมาในบ้านที่ไม่ได้มีฐานะร่ำรวย แต่กระตือรือร้นที่ใช้ชีวิตอย่างหรูหราเกินกว่าที่สิ่งที่ครอบครัวมี ชีวิตของพวกเธอส่วนใหญ่จบลงไม่ดีนัก อาจกลายเป็นผู้หญิงไร้ยางอาย หรือบางคนอาจต้องจบลงด้วยการไปเป็นโจร
แต่ก็มีเด็กผู้หญิงจำนวนมาก เกิดมาในบ้านที่ไม่ได้มีฐานะร่ำรวยอะไรนัก แต่ถูกเลี้ยงดูด้วยการตามใจ ใช้ชีวิตอย่างหรูหรา พวกเธอมีความหยิ่งยโส ใช้ของแบรนด์เนมที่เกินตัว เมื่อออกมาสู่โลกภายนอกจึงเป็นเรื่องยากที่พวกเธอจะสามารถใช้ชีวิตแบบติดดินได้ ส่วนใหญ่จึงจำเป็นที่จะต้องหาผู้ชายที่ร่ำรวยมาเป็นสามีหรืออาจอยู่ในเส้นทางแห่งอาชญากรรม
นี่คือคำกล่าวที่ว่า ‘ลูกชายยากจน ลูกสาวร่ำรวย’ มันสืบทอดมาจากบรรพบุรุษและได้รับความนิยมอย่างมากในหมางซือเป็นเวลาหลายปี
อย่างไรก็ตามแม้ว่าจะได้รับความนิยมมาก แต่ก็มีคนไม่น้อยที่ต้องการทำตามคำกล่าวนี้แต่ไม่สามารถทำให้สำเร็จได้จริงๆ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับ ลูกชาย มีเพียงไม่กี่ครอบครัวที่สามารถทำตามคำกล่าว ‘ลูกชายยากจน’ ได้ ครอบครัวส่วนใหญ่เมื่อพวกเขาได้ลูกชายพวกเขาจะดูแลและเอาใจราวกับเป็นแก้วล้ำค่าอันแสนบอบบางที่พร้อมจะแตกสลายได้ทุกเมื่อ
ส่วนลูกสาวร่ำรวย เป็นที่นิยมมาก ตราบใดที่ครอบครับไม่ยากจนเกินไปพ่อแม่ก็จะไม่มีทางปล่อยให้ลูกทุกข์!
อย่างไรก็ตามพ่อของจางเล่ยในฐานะผู้มีตำแหน่งสูงในหมางซือ จางเล่ยจึงถูกเปรียบได้กับเจ้าชายในกลุ่มคนระดับเดียวกัน แต่เขาก็สามารถเลี้ยงลูกชายของเขาได้อย่างเคร่งครัด จางเล่ยไม่ได้รับอนุญาตให้เปิดเผยตัวตน ก็เพื่อโอกาสอันดีในอนาคตของเขา
ด้วยความเข้าใจในคำกล่าวนี้ จี้เฟิงจึงเคารพ ถงไค่เต๋อ เลขาธิการคณะกรรมการพรรคประจำเขตทันที ด้วยตำแหน่งนี้ไม่ว่าเขาจะทำอะไรก็ต้องได้รับการอำนวยความสะดวกสบายให้กับเขาและลูกชายของเขาอย่างแน่นอน แต่เขากลับเลี้ยงลูกของเขาได้อย่างดี เขาเป็นพ่อที่มีคุณสมบัติและเป็นคนที่ดี
“พ่อของนายเจ๋งสุดๆ” จี้เฟิงกล่าวด้วยความชื่นชมพร้อมยกนิ้วให้
จางเล่ยเบะปากใส่จี้เฟิงและพูดว่า “ไปตายซะเจ้าบ้า! ฉันเพิ่งพูดอยู่ว่าชีวิตฉันมันแย่ขนาดไหน ที่บ้านฉันดีแต่กับน้องสาว ไม่ว่าเธอจะขออะไร เธอมักเป็นคนที่ได้ทุกอย่างรวมถึงความรักของคนที่บ้าน ทำอะไรก็ดีไปเสียหมด แต่สำหรับฉันที่ทำอะไรก็ไม่เคยดีในสายตาของพ่อเลย แม้แต่จะทักทายกันในฐานะคนรู้จักยังทำไม่ได้ เพราะกลัวคนอื่นจะรู้ว่าฉันเป็นลูกชาย ฉันเลยต้องมาใช้นามสกุลของแม่!
“คุณชาย อย่ามัวแต่บ่นอยู่เลย” จี้เฟิงพูดพร้อมยิ้มน้อยๆ ภายในใจเขารู้สึกเศร้าเล็กน้อยไม่ว่าพ่อของคนอื่นจะดีหรือไม่ดี แต่อย่างน้อยเขาก็ยังมีพ่อ
ตัวฉันเอง ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพ่อหน้าตาเป็นยังไง ไม่มีแม้แต่รูปถ่ายของพ่อ เคยได้ยินเรื่องของพ่อแค่นิดๆหน่อยๆเมื่อตอนที่ยังเด็ก หลายปีแล้วที่ฉันไม่เคยได้ยินแม่พูดถึงพ่ออีกอีกเลย แม่ที่ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับชีวิต ไม่ว่าจะลำบากแค่ไหน ก็ไม่เคยแสดงความเหนื่อยล้าเศร้าหมองออกมา แต่ทุกครั้งที่ถามเรื่องเกี่ยวกับพ่อ แม่จะดูเศร้าจนบางครั้งเธอก็ดูอารมณ์ไม่ดีขึ้นมา
ด้วยสถานการณ์แบบนี้ จี้เฟิงจึงไม่กล้าถามแม่เรื่องที่เกี่ยวกับพ่ออีก เขาไม่อยากให้แม่ต้องเศร้าเสียใจ จนถึงตอนนี้จี้เฟิงก็ยังไม่ได้ยินข่าวเกี่ยวกับพ่อของเขาเลยแม้แต่น้อย
ถึงพวกเขาจะเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดต่อกัน แต่จางเล่ย ก็ไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับครอบครัวของจี้เฟิงมากนัก ด้วยเหตุนี้เขาจึงไม่ทันได้สังเกตเห็นสีหน้าของจี้เฟิง เมื่อตอนที่พูดถึงพ่อของเขา
จางเล่ยยิ้มและพูดว่า “เจ้าบ้า นายรู้อะไรไหม ฉันอยากจะเกิดในครอบครัวธรรมดามากกว่าเป็นลูกชายของเลขาธิการพรรค! ด้วยความคาดหวังของเหล่าคนแก่และพ่อของฉันมันทำให้ฉันอึดอัดจนแทบจะหยุดหายใจ แน่ล่ะว่าพวกเขาไม่ค่อยพอใจที่ฉันแต่งตัวแบบนี้ แต่มันกลับทำให้ฉันรู้สึกผ่อนคลาย ได้เป็นตัวของตัวเองบ้าง!
จี้เฟิงฟังแล้วรู้สึกสับสนเล็กน้อย เขาจึงอดไม่ได้ที่จะถาม “นอกจากพ่อนาย แล้วคนแก่ที่นายพูดถึง คือใครเหรอ?”
จางเล่ยยิ้มและพูดว่า “นอกจากพ่อฉันที่เป็นเลขาธิการพรรค ก็มีปู่ของฉันนี่แหละท่านเคยดำรงตำแหน่งที่ใหญ่โตพอสมควร ปู่เลยเลี้ยงดูพ่อมาอย่างเข้มงวด พ่อก็เลยเอาความเข้มงวดนั้นมาลงกับฉัน ในอนาคตคงอยากให้ฉันมีตำแหน่งหน้าที่ที่ใหญ่โตเหมือนคนแก่ๆรุ่นก่อนๆ แต่ปู่รักฉันมากนะ เสียดายที่พ่อของฉันมารับตำแหน่งเลขาธิการพรรคอยู่ที่หมางซือ ฉันเลยไม่ได้กลับไปหาปู่เลย!”
จี้เฟิงตกตะลึงกับภูมิหลังของจางเล่ย หลังจากที่เขาได้ฟังและเข้าใจในระดับหนึ่งเขาก็ตระหนักได้ว่าจางเล่ยนั้นมีภูมิหลังที่ไม่ธรรมดาเลย
“พี่ชาย วันนึงนายจะพึงพอใจกับสิ่งที่นายมีในตอนนี้ นายมีพ่อที่เคร่งครัดในกฎระเบียบมันจะทำให้นายมีความสุขที่แท้จริงในวันข้างหน้า!” จี้เฟิงตบไหล่จางเล่ยแล้วยิ้ม
“ใช่ ฉันพอใจมากกับการถูกกดขี่จากผู้มีอำนาจสูงสุดภายในบ้าน แต่เอาจริงๆ ถึงฉันจะโมโหบ้างบางครั้งแต่ก็ยังมีอะไรดีๆอยู่มากอย่างที่นายว่า” จางเล่ยตอบ
จี้เฟิงพยักหน้าและยิ้มเป็นการตอบ
“เออ.!! เจ้าบ้า!” จู่ๆ จางเล่ยก็พูดขึ้น “ฉันได้ยินมาว่าอาจารย์คนใหม่ที่สวยๆ ที่มาสอนแทนอาจารย์ภาษาอังกฤษคนเก่า จะมาวันนี้ นายมีแผนอะไรไหม?”
“แผนอะไรของนาย?” จี้เฟิงมองจางเล่ยด้วยหางตา และชี้ไปทิศทางที่ถงเล่ยนั่งอยู่ข้างหน้า เขาหัวเราะและพูดว่า “เล่ยซือ น้องสาวของคุณนั่งอยู่ใกล้ๆนี่ ถ้าคุณต้องการจะทำอะไรไม่ดีแล้วล่ะก็ เธออาจจะรู้ก็ได้นะ!”
“เธอจะไปรู้ได้ยังไง….เจ้าบ้าหรือว่านายจะไปฟ้องเธอ ฉันคิดว่าเธอคงไม่สนใจอะไรแบบนี้หรอก!”
……จบบทที่ 25~