บทที่ 28 โน้ตจากดอกไม้ประจำโรงเรียน
การแนะนำตัวเองที่จี้เฟิงแสดงออกมาอย่างยอดเยี่ยมในชั้นเรียนภาษาอังกฤษ ทำให้ทั้งสี่คนตกใจรวมไปถึงนักเรียนคนอื่นๆ ก็อดไม่ได้ที่จะมองเขาด้วยความชื่นชม จี้เฟิง ใช้ความสามารถของเขาเพื่อเอาชนะคำหมิ่นประมาทและได้รับความเคารพจากนักเรียนคนอื่น ๆ
แน่นอนว่าในสายตาชื่นชมเหล่านี้ ก็ยังมีแววตาดูถูกเย้ยหยันอยู่บ้าง
“เหอะ! การพูดภาษาอังกฤษได้อย่างเดียวแล้วมันจะทำอะไรได้ การสอบเข้ามหาวิทยาลัยไม่ใช่ว่าต้องใช้แค่วิชาภาษาอังกฤษอย่างเดียวเท่านั้น มันยังต้องมีวิชาอื่นๆอีกมาก!” ซูหม่าพูดอย่างเยาะเย้ย: “ยิ่งไปกว่านั้นถึงแม้ว่าจะโชคดีเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยได้ สิ่งที่สำคัญกว่านั้น อยู่ที่ว่าจะสามารถเรียนต่อจนจบได้รึเปล่าต่างหาก!”
นอกจากนี้ยังมีหญิงสาวคนหนึ่งที่มีความคิดเห็นเดียวกัน ‘ฮูซู่ฮุ่ย’
“หึ! จี้เฟิงตอนที่นายคบอยู่กับฉัน นายโกหกสินะว่าภาษาอังกฤษของนายมันแย่ ไหนจะเรื่องผลการเรียนอีก แต่จากที่เห็น ดูเหมือนนายจะโกหกได้อย่างแนบเนียน!”
ถึงฮูซู่ฮุ่ยจะเป็นคนที่ทิ้งจี้เฟิงไป แต่เธอก็ยังคงมีความคิดที่ไร้ยางอาย เธอรู้สึกโกรธที่ถูกจี้เฟิงหลอก แต่ความโกรธนี้ไม่ใช่ความโกรธระหว่างคนรัก แต่ฮูซู่ฮุ่ยโกรธเพราะรู้สึกเหมือนโดนดูถูกเหยียดหยาม ที่ต้องมาถูกหลอกโดยเด็กยากจนอย่างจี้เฟิง!
“แต่ก็นะ.. จี้เฟิง!! นายจะมีปัญญาไปเรียนมหาวิทยาลัยได้รึเปล่า?” ฮูซูฮุ่ยหัวเราะเยาะ เขาเป็นแค่ลูกนอกสมรสที่ไม่มีภูมิหลังครอบครัวที่ดีพอจะสนับสนุน ยังหน้าด้านคิดที่จะไปเรียนมหาวิทยาลัย ช่างไร้สาระ!
สำหรับความคิดเหล่านี้ จี้เฟิงไม่ได้รับรู้ แต่ถึงแม้เขาจะรู้ เขาก็คงทำแค่เพียงยิ้มเล็กน้อยและไม่ได้ใส่ใจกับเรื่องพวกนี้มากนัก
จี้เฟิงซึ่งคุ้นเคยกับการที่ถูกดูถูกหรือเยาะเย้ยจากคนอื่นๆ มาเป็นเวลานาน เขาจึงสามารถทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นได้อย่างง่ายดาย
หลังจากได้สัมผัสกับสิ่งที่เกิดขึ้นในชั้นเรียนภาษาอังกฤษแล้ว จี้เฟิงก็เริ่มมีความมั่นใจมากขึ้นเกี่ยวกับสมองอัจฉริยะและผลการฝึกของตัวเอง เขาตัดสินใจแล้วว่าเขาจะต้องฝึกฝนให้จบหลักสูตรทั้งหมดของระบบฝึกสายลับระดับสูงโดยเร็วที่สุด ด้วยวิธีนี้เขาจะแข็งแกร่งและหาเงินได้มากพอ
“เด็กดีๆ เก่งมากๆ!” หลังจากหมดคาบเรียนจางเล่ยตบไหล่จี้เฟิงและชมเป็นเชิงหยอกล้อ
“การพูดภาษาอังกฤษของนายดีมาก แม้แต่ล่ามมืออาชีพก็ยังพูดไม่คล่องเท่านายเลยด้วยซ้ำ นายไปแอบฝึกตอนไหนห๊ะ ทำไมฉันไม่เห็นรู้เรื่อง!?”
“ฮะฮะ!” จี้เฟิงหัวเราะเล็กน้อยและตอบว่า “เวลาดูทีวีฉันชอบดูช่องต่างประเทศและพูดตามเอาน่ะ!”
“อ่าหะ..วิธีนี้ดีแฮะ ไว้ฉันจะแนะนำถงเล่ยให้ลองทำดูบ้าง น่าเสียดายที่ฉันไม่ถูกโรคกับภาษาอังกฤษ ไม่อย่างนั้นฉันก็คงจะใช้วิธีนี้ในการฝึกพูดภาษาอังกฤษด้วย!”
จี้เฟิงยิ้มเล็กน้อยและไม่ได้พูดอะไร แน่นอนว่ามันเป็นไปไม่ได้ที่จะบอกใครเกี่ยวกับวิธีการฝึกที่แท้จริงของเขา มันเป็นเรื่องยากที่ใครจะเชื่อ หรือต่อให้มีคนเชื่อจริงๆ มันก็มีความเป็นไปได้ที่เขาจะถูกจับไปเป็นหนูทดลอง!
หลังจากคิดได้ดังนั้น จี้เฟิงได้ตระหนักถึงความล้ำค่าและความสำคัญของสมองอัจฉริยะ เขาตัดสินใจอย่างลับๆ ว่าเขาจะไม่บอกใครเกี่ยวกับเรื่องนี้…
ในตอนนั้นเอง เพื่อนร่วมชั้นคนหนึ่งที่อยู่แถวหน้าหันมาและยื่นกระดาษแผ่นหนึ่งมาให้ ซึ่งมีใจความว่า “จี้เฟิงฉันไม่คิดเลยว่าภาษาอังกฤษของนายจะดีขนาดนี้ ถ้านายขยันและตั้งใจเรียนอย่างนี้ต่อไป นายจะได้เข้าเรียนมหาวิทยาลัยในอุดมคติได้อย่างไม่ยากเลย!”
ลายมือนี้ช่างสวยสดงดงามดูสบายตา เมื่อเห็นทีแรกเขาก็รู้โดยทันทีว่าต้องเป็นลายมือของเด็กผู้หญิงแน่นอน
จี้เฟิงตกใจเล็กน้อยเขาคิดในใจว่า ใครกันจะมาเขียนโน้ตถึงเขา?
เขาเคยเป็นคนเก็บตัวและมีปฏิสัมพันธ์กับนักเรียนคนอื่นๆในชั้นเรียนน้อยมากโดยเฉพาะกับเด็กผู้หญิง มีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่พอจะคุ้นเคยกับเขายกเว้นฮูซูฮุ่ย ก็คือถงเล่ย ที่เขาและเธอเพิ่งตกลงเป็นเพื่อนกันและเริ่มที่จะคุยกันก่อนหน้านี้ไม่นานนัก เมื่อคิดว่าอาจจะเป็นถงเล่ย หัวใจของจี้เฟิงก็เหมือนจะหยุดเต้นกะทันหัน เขารู้สึกหวิวๆในหัวใจ… หรือจะเป็นเธอ? จี้เฟิงรู้สึกสงสัย
จี้เฟิงกำลังจะเอาโน้ตแผ่นนี้ให้จางเล่ยดู เผื่อเขาพอจะรู้ว่า ตัวหนังสือในกระดาษโน้ตแผ่นนี้ใช่ลายมือถงเล่ยหรือไม่ แต่พอคิดไปคิดมาเขาอาจจะโดนจางเล่ยแกล้งอีก เขาจึงล้มเลิกความคิดนี้ไป เขานิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่งและหยิบปากกาขึ้นมา
เขาเขียนตอบไปในโน้ตว่า “ใช้ภาษาอังกฤษดีที่ไหนกัน ฉันละเลยการเรียนไปถึง 2 ปี ทำได้แค่เพียงท่องจำแต่ไม่รู้ว่าต้องนำไปใช้ยังไง มันคงเป็นเรื่องยากที่จะสอบเข้ามหาวิทยาลัยที่ดีได้”
จี้เฟิงจะสามารถรู้ได้โดยไม่ต้องถามว่าใครเป็นคนเขียน เขาพับกระดาษโน้ตอีกครั้งและส่งคืนให้กับนักเรียนที่เป็นคนส่งมาให้เขาเมื่อสักครู่นี้
หลังจากนั้นไม่นานกระดาษโน้ตก็กลับมาหาเขาอีกครั้ง “อย่าท้อถอยถ้านายสามารถพูดได้คล่องแคล่วขนาดนี้ มันถือเป็นการพิสูจน์แล้วว่าความสามารถในการเรียนรู้ของนายไม่ได้เลวร้ายอะไร อาจเป็นเพราะวิธีการเรียนรู้ที่ผิดหรือด้วยเหตุผลอื่นๆ ที่เป็นสาเหตุทำให้ผลการเรียนของนายไม่ดีนัก หากนายต้องการทราบถึงปัญหา เราสามารถพูดคุยและปรึกษาเรียนรู้ร่วมกันได้!”
ยังคงไม่มีลายเซ็นหรือชื่อกำกับมาในกระดาษโน้ต แต่ลายมือยังคงเป็นลายมือที่สวยงามที่ใครได้อ่านแล้วต้องรู้สึกสบายตา
หลังจากอ่านจบ จี้เฟิงลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วหยิบปากกาขึ้นมาเขียนว่า “ถ้าเป็นไปได้ หลังโรงเรียนเลิก เราอยู่คุยเรื่องนี้กันได้ไหม?”
จี้เฟิงส่งกระดาษแผ่นนั้นกลับไป และจ้องมองการเคลื่อนไหวของนักเรียนที่อยู่ตรงหน้า เขาดูโน้ตที่ถูกส่งต่อทีละแถวๆ จนในที่สุดมันก็ไปหยุดอยู่ที่มือเล็กๆ สีขาวดูอ่อนโยน เจ้าของมือเล็กๆ นั้นไม่ใช่ใครอื่นเธอก็คือ ถงเล่ย!
จี้เฟิงรู้สึกแปลกใจ ทำไมถงเล่ยเธอถึงต้องการปรึกษาเรื่องเรียนกับเขา มันเป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน เพราะผลการเรียนของถงเล่ยนั้นดีมาก เธอไม่เคยได้ต่ำกว่าสองอันดับแรกแม้แต่ครั้งเดียว ตามสถิติที่โรงเรียนเคยวัดผล โอกาสที่ถงเล่ยจะได้เข้าเรียนในมหาวิทยาลัยชั้นนำมีความเป็นไปได้สูงตราบเท่าที่เธอสามารถรักษาผลการเรียนในปัจจุบันไว้ได้
แล้วถงเล่ยผู้โดดเด่นในเรื่องการเรียนเช่นนี้จะมาพูดคุยเกี่ยวกับวิธีการเรียนรู้กับจี้เฟิงได้อย่างไร? มันจึงทำให้จี้เฟิงรู้สึกงงงวย
แต่ถ้าคิดอีกแง่หนึ่ง จี้เฟิงก็รู้สึกโล่งใจ อาจเป็นเพราะถงเล่ยเห็นว่าการพูดภาษาอังกฤษของเขาดีขึ้น และเธออาจจะต้องการถามเขาเกี่ยวกับวิธีเรียนรู้
“เมื่อถึงเวลานั้นถ้าเธอถามจริงๆ ฉันคงต้องบอกว่าฉันฝึกพูดตามรายการทีวีของต่างประเทศเหมือนกับที่บอกจางเล่ย!” จี้เฟิงตัดสินใจอย่างลับๆ ในหนังสือที่แนะนำวิธีการเรียนรู้ เขาเคยเห็นคนอื่นๆใช้วิธีนี้ในการฝึกพูดภาษาอังกฤษด้วยการพูดตามและมันก็ได้ผลดีมาก
ในช่วงบ่าย จี้เฟิงยังคงอ่านหนังสือ การที่เขาได้เฉิดฉายเมื่อช่วงเช้า มันทำให้เขามีความมั่นใจมากขึ้น แต่นั่นจะไม่ทำให้เขากลายเป็นคนไม่สนใจเรียนและหลงระเริงเพราะเรื่องนี้
เมื่อทำอะไรจริงจังเวลามักจะผ่านไปอย่างรวดเร็วเสมอ และในพริบตาก็จะถึงเวลาเลิกเรียน
จี้เฟิงไม่รู้ว่าถงเล่ยจะอยู่รอพูดคุยกับเขาหรือไม่ ดังนั้นเขาจึงไม่สนใจ และเริ่มเก็บกระเป๋านักเรียนของเขา เตรียมตัวที่จะกลับบ้านโดยเร็ว
ในขณะที่กำลังเก็บหนังสือเข้ากระเป๋า จี้เฟิงหยุดคิดเล็กน้อย เขารู้สึกว่าการอ่านหนังสือตอนกลางคืนจะเป็นการรบกวนการพักผ่อนของแม่อย่างแน่นอน จี้เฟิงจึงหยิบหนังสือออกมาจากกระเป๋านักเรียนอีกครั้งและตัดสินใจที่จะไม่นำหนังสือกลับบ้าน
ฉันจะตั้งใจเรียนและอ่านหนังสือในเวลากลางวัน ส่วนเวลากลางคืนก็รับการฝึกฝนจากสมองหมายเลข 1 ด้วยวิธีนี้เท่านั้นฉันถึงจะสามารถฝึกฝนระบบสุดยอดสายลับให้สำเร็จได้ในเวลาอันสั้น
ในขณะที่จี้เฟิงกำลังจมอยู่กับความคิดของเขา ภายในไม่กี่นาที นักเรียนส่วนใหญ่ในชั้นเรียนก็ออกไปเกือบหมด
และแล้วจู่ๆ ก็มีกลิ่นหอมอ่อนๆ ลอยมา ทันใดนั้นจี้เฟิงก็เงยหน้าขึ้นและพบกับรอยยิ้มที่สวยงามบนใบหน้าของถงเล่ย รอยยิ้มของเธอนั้นสามารถทำให้ดอกไม้ที่ผลิบานดูหมองลงได้ในทันใด…
……จบบทที่ 28~