บทที่ 42 ปิกนิก!
“ใจเย็นก่อน อย่าเพิ่งหุนหันพลันแล่นไป!” จี้เฟิงกดไหล่ของจางเล่ยและกระซิบ “ในฐานะที่ซูหม่าเป็นรองหัวหน้าชั้นและเป็นผู้นำทีมจัดกิจกรรมครั้งนี้ มันเป็นสิทธิของเขาที่จะจัดแบ่งกลุ่มยังไงก็ได้ เขามีเหตุผลที่จะทำแบบนั้น แล้วนายล่ะมีเหตุผลพอที่จะไปทำอะไรเขารึเปล่า?”
จางเล่ยได้แต่อ้าปากค้าง เหมือนกับต้องการจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ท้ายที่สุดเขาทำได้แค่เพียงยืนกัดฟันและคำรามในลำคออย่างเย็นชา
จางเล่ยรู้ว่าซูหม่าจะไม่กล้าทำอะไรมากกว่านี้ ตราบใดที่เขาไม่ได้เป็นฝ่ายเริ่มก่อน แต่ถ้าหากเขาจะเล่นงานซูหม่าด้วยเรื่องเล็กน้อยแค่นี้ มันอาจจะทำให้มีปัญหาไปถึงครอบครัวของเขา และมันจะเป็นเรื่องที่ได้ไม่คุ้มเสียอย่างแน่นอน!
“ฉันว่า…มันไม่ค่อยดีสำหรับการจัดแบ่งกลุ่มแบบนี้นะ เพื่อนนักเรียนคนอื่นๆ อยู่ในกลุ่มที่มีสี่คนทั้งหมด แต่หัวหน้าชั้นรองหัวหน้าชั้นรวมถึงอาจารย์กลับมาได้รับสิทธิ์พิเศษอยู่กันเองแบบนี้ ฉันคิดว่ามันไม่เหมาะสมสักเท่าไหร่!” ในตอนนี้ถงเล่ยได้พูดแนะนำการแบ่งกลุ่มอย่างเฉลียวฉลาด
เธอพูดอย่างใจเย็น “เนื่องจากในฐานะหัวหน้าชั้น ฉันและอาจารย์เซียวจะไปอยู่กลุ่มเดียวกันกับจางเล่ยและจี้เฟิง แล้วให้เพื่อนนักเรียนชายสองคนนั้นมาอยู่กับนายแล้วกัน!”
ซูหม่ารู้สึกพูดไม่ออก ถึงซูหม่าจะได้รับมอบหมายหน้าที่เป็นหัวหน้าทีมในการทำกิจกรรมในครั้งนี้ แต่ถงเล่ยก็ถือได้ว่ายังเป็นหัวหน้าชั้นของนักเรียนทั้งหมดอยู่ดี แล้วที่สำคัญตั้งแต่เริ่มกิจกรรมทุกอย่างอยู่ในความดูแลและคำสั่งของซูหม่าทั้งหมด
แต่จนถึงตอนนี้ถงเล่ยเพิ่งจะแสดงความคิดเห็นเป็นครั้งแรก ถ้าซูหม่ายังคัดค้านการติดสินใจเพียงครั้งเดียวของถงเล่ย ก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่า เธอจะเข้าใจผิด คิดว่าซูหม่าจงใจที่จะต่อต้านเธอ ซึ่งจะส่งผลให้ระยะห่างของพวกเขาทั้งสองยิ่งห่างไกลมากขึ้น
ดังนั้นซูหม่าจึงทำได้แค่เพียงหัวเราะแห้งๆสองสามครั้งแล้วพูดว่า “อืม… ในเมื่อหัวหน้าชั้นถงเล่ยพูดมาแบบนี้ ก็เอาเป็นว่าจัดการแบ่งกลุ่มตามนั้นเถอะ เสี่ยวหวังและเสี่ยวหู พวกนายมาอยู่กลุ่มเดียวกับฉัน!”
เสี่ยวหวังและเสี่ยวหู แต่เดิมพวกเขาสองคนถูกจัดให้อยู่กลุ่มเดียวกันกับจางเล่ยและจี้เฟิง แต่เมื่อซูหม่าเรียก พวกเขาก็ลุกขึ้นและเดินไปทันทีอย่างไม่รีรอ
อันที่จริงด้วยท่าทางและสายตาของจางเล่ยก่อนหน้านี้ที่ดูดุร้ายราวกับจะกินคนได้ ทำให้ในตอนนี้พวกเขาไม่อาจมีความสุขไปมากกว่านี้ได้เมื่อพวกเขาได้ออกไปจากที่นี่ในเวลานี้ หากพวกเขายังคงอยู่ในกลุ่มปิกนิกกลุ่มเดียวกันกับจางเล่ยต่อไป คงบอกได้ยากว่าอาหารในมื้อนี้ที่จางเล่ยจะกิน อาจจะกลายเป็นพวกเขาที่กลายเป็นอาหารของจางเล่ยแทนก็เป็นได้!
ภายใต้รอยยิ้มที่ขมขื่นของซูหม่า เซียวหยูซวนและถงเล่ยมองหน้ากันอย่างเข้าใจกัน โดยไม่ได้แสดงสีหน้าหรือรอยยิ้มใดๆ ออกมา แล้วพวกเธอก็เดินสวยๆ มายังกลุ่มของจางเล่ยและจี้เฟิง แทนที่ของเสี่ยวหูและเสี่ยวหวัง
ใบหน้าที่สวยงามไร้ที่ติของเซียวหยูซวนปรากฏรอยยิ้มที่มีเสน่ห์แล้วพูดว่า “นักเรียนชายทั้งสองคนนี้ ไม่ทราบว่าพวกเธอจะยินดีต้อนรับพวกเราหรือไม่?”
เมื่อเห็นรอยยิ้มที่สวยงามน่าหลงใหลของเธอ จี้เฟิงและจางเล่ยก็เหมือนตกอยู่ในภวังค์ โดยเฉพาะจี้เฟิง เมื่อเห็นรอยยิ้มนี้เข้า เขาก็อดไม่ได้ที่จะนึกถึงเหตุการณ์อันร้อนแรงที่เกิดขึ้นในอะพาร์ตเมนต์ในคืนนั้น โดนเฉพาะสิ่งที่เขาเห็นโดยไม่ได้ตั้งใจภายใต้กระโปรงของเซียวหยูซวนมันทำให้ภาพในคืนนั้นวนเวียนอยู่ในความคิดของจี้เฟิง
เมื่อจี้เฟิงที่กำลังนึกถึงภาพเหตุการณ์ในคืนนั้นมันยิ่งทำให้จี้เฟิงเหมือนคนไร้สติยากที่จะควบคุมตัวเอง!
“ยินดีต้อนรับๆ สามงามทั้งสองที่ให้เกียรติมารวมกลุ่มกับพวกเราทั้งที!” จางเล่ยเป็นผู้ที่ตอบก่อน เขายิ้มหน้าระรื่นแล้วรีบเช็ดม้านั่งขนาดเล็กสองตัวที่อยู่ข้างๆเขาให้พวกเธอนั่งอย่างรวดเร็ว “เชิญทั้งสองสาวนั่งได้เลยครับ!”
เมื่อถงเล่ยเห็นท่าทางที่กระตือรือร้นจนออกนอกหน้าของจางเล่ย เธอก็อดมองด้วยความตลกขบขันไม่ได้ ไม่มีใครรู้นิสัยของพี่ชายเธอดีเท่าเธออีกแล้ว
เซียวหยูซวนยิ้มเล็กน้อยก่อนจะจัดกระโปรงของเธอแล้วนั่งลง ในขณะที่เซียวหยูซวนและถงเล่ยนั่งลงเรียบร้อยแล้ว ทั้งสองสาวก็เหลือบมองไปที่จี้เฟิงที่นั่งอยู่ข้างๆ เขากำลังตั้งใจทำงานบนเตาอย่างมีสมาธิ ราวกับว่าความงามของทั้งสองสาวนี้ไม่น่าดึงดูดเท่ากับเตาที่อยู่ตรงหน้า! มันจึงเป็นเรื่องช่วยไม่ได้ที่ทั้งสองสาวจะรู้สึกไม่พอใจเล็กๆ
แต่พวกเธอไม่ได้รู้ถึงสาเหตุที่แท้จริงที่จี้เฟิงไม่กล้ามองพวกเธอ
เมื่อมองย้อนกลับไปยังเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ สาวสวยทั้งสองคนต่างก็เคยมีเหตุการณ์ที่น่าอึดอัดกับจี้เฟิง มันเป็นประสบการณ์ที่ทำให้เขารู้สึกอายเล็กน้อย ยกตัวอย่างกับเซียวหยูซวนในคืนที่เขานวดเท้าให้เธอด้วยเทคนิคพิเศษและเกิดบรรยากาศที่คลุมเครือในอะพาร์ตเมนต์ของเธอ ประสบการณ์เหล่านี้ จี้เฟิงไม่มีทางลืมได้ลงอย่างแน่นอน และเขาจะรู้สึกกระวนกระวายใจทุกครั้งที่นึกถึงมัน
สำหรับถงเล่ยเมื่อตอนที่จี้เฟิงได้รู้จักฟังก์ชั่นมุมมอง มันทำให้เขาได้บังเอิญเห็นร่างที่เปลือยเปล่าขาวราวกับหิมะแรก มันน่าดึงดูดจนทำให้ไม่อยากละสายตาและแน่นอนว่าเขาก็ไม่ได้ลืมภาพนั้นเช่นกัน…
มันทำให้เขาไม่กล้าที่จะมองไปยังพวกเธอ ในตอนนี้เขากลัวเหลือเกินว่าเขาจะไม่สามารถควบคุมความสามารถในการมองเห็นได้ และหลังจากนั้นเขาอาจจะเห็นร่างที่เปลือยเปล่าของพวกเธอทั้งสองที่เต็มไปด้วยเสน่ห์หาที่น่าหลงใหล ถ้าเกิดเป็นแบบนั้นเขาต้องแย่อย่างแน่นอน!
เมื่อถงเล่ยและเซียวหยูซวนนั่งลงได้ไม่นาน พวกเธอก็เริ่มเตรียมตัวสำหรับการปิกนิก เนื่องจากสามารถเช่าอุปกรณ์ที่จำเป็นได้จากร้านค้าทั้งหมด จึงไม่มีความยุ่งยากในการเตรียมอาหาร
ในตอนแบ่งกลุ่มซูหม่าได้ออกคำสั่งให้มีการแบ่งของกับนักเรียนคนอื่นๆ ตามความต้องการของแต่ละกลุ่มเรียบร้อยแล้ว
อย่างไรก็ตามสิ่งที่ทำให้จี้เฟิงและจางเล่ยรู้สึกประหลาดใจก็คือ เซียวหยูซวนเธอดูเหมือนจะคุ้นเคยกับสิ่งต่างๆ ในการปิกนิกนอกสถานที่เป็นอย่างมาก เธอทำให้จี้เฟิงและจางเล่ยคิดว่าเธออาจเคยเป็นทหารผ่านศึกที่เคยอาศัยอยู่ในป่ามานาน เพราะไม่ว่าเธอจะทำอะไรก็ตาม ก็ดูมีทักษะความสามารถที่สูงมาก เธอสามารถจัดการมันได้อย่างคล่องแคล่ว
และตอนนี้ ดูเหมือนว่าห้องน้ำชั่วคราวที่เรียบง่ายที่ถูกสร้างขึ้นโดยคำแนะนำของเซียวหยูซวน จะมีเพียงเธอเท่านั้นที่นึกขึ้นได้ว่ามันเป็นสิ่งที่จะต้องมี แม้มันจะเป็นเรื่องเล็กน้อยในความคิดคนอื่นก็ตาม
เซียวหยูซวนยังคงแสดงทักษะความสามารถในการเอาชีวิตรอดในป่าต่อไป ส่วนถงเล่ยก็กำลังแสดงทักษะการทำอาหารของเธอ
การปิกนิกแบบเรียบง่ายภายใต้การดำเนินการของสองสาวเซียวหยูซวนและถงเล่ย ทำให้อาหารเริ่มมีกลิ่นหอมลอยขึ้นมาแตะจมูก
ในตอนนี้เซียวหยูซวนได้ขอให้จางเล่ยและจี้เฟิง เข้าไปในป่าเพื่อเก็บกิ่งไม้แห้งให้เธอ เพราะเธอกำลังเสียบชิ้นเนื้อที่ลวกมาแล้วเล็กน้อยกับไม้ไผ่ขนาดเล็ก เธอต้องการจะทำบาร์บีคิวเสียบไม้จริงๆ ในการปิกนิกครั้งนี้ นักเรียนรอบๆ ต่างรู้สึกอิจฉาตาร้อน
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ซูหม่าที่ตอนนี้ใบหน้าของเขามืดมนมากขึ้นเรื่อยๆ ในตอนแรกเขาวางแผนที่จะได้ใกล้ชิดและทำความสนิทสนมกับเซียวหยูซวนและถงเล่ยให้มากขึ้น โดยการใช้โอกาสจากการทำกิจกรรมปิกนิกในครั้งนี้
ถึงเขาจะไม่ได้คาดหวังให้ความสัมพันธ์พัฒนาไปมากเท่าไหร่ในครั้งนี้ แต่อย่างน้อยๆ เขาก็จะได้เป็นเพื่อนที่พวกเธอไว้ใจ สามารถคุยกันได้ทุกเรื่องและในอนาคตพวกเธอจะต้องเริ่มมีใจให้กับเขาอย่างแน่นอน!
แต่เขาไม่คาดคิดว่าแผนการที่เขาคิดไว้อย่างดีจะถูกทำลายลงอย่างย่อยยับโดย จี้เฟิง!
แน่นอนว่าซูหม่าไม่โง่พอที่จะสร้างปัญหาให้กับจางเล่ย เพราะเขารู้ถึงความสัมพันธ์ระหว่างจางเล่ยและถงเล่ยดี ดังนั้นสิ่งเดียวที่เกะกะและเป็นปัญหาที่สุดสำหรับซูหม่าก็คือ จี้เฟิง!!
“เมื่อกิจกรรมปิกนิกนี้จบลง ฉันจะทำให้แกได้รู้จักว่าความเจ็บปวดคืออะไร!” ซูหม่าจ้องมองไปที่ใบหน้าของจี้เฟิงที่กำลังมีรอยยิ้มบางๆอยู่บนใบหน้า จากนั้นเขาก็มองถัดไปยังรูปลักษณ์ที่สวยงามและมีเสน่ห์ของเซียวหยูซวนและถงเล่ย ความรู้สึกหึงหวงได้ปะทุขึ้นในจิตใจของเขาอีกครั้ง มันทำให้ใจของเขารู้สึกมืดมน…
ตั้งแต่การเริ่มเตรียมการปิกนิกจวบจนเสร็จสิ้น หลังจากที่ทุกคนรับประทานอาหารเสร็จ พวกเขาใช้เวลาเพียงสองชั่วโมงในการเก็บกวาดและทำความสะอาดทุกอย่าง ทำให้เวลาในตอนนี้เลยเที่ยงวันไปเล็กน้อยเท่านั้น
หลังจากการปิกนิกเสร็จ ฤดูใบไม้ร่วงที่ยังคงร้อนอบอ้าวทำให้พวกเขามีเหงื่อไหลท่วมตัวจนรู้สึกอึดอัด
เมื่อเห็นเช่นนั้น ซูหม่าจึงเลือกช่วงเวลาในการพูดอย่างเหมาะสม “เพื่อนนักเรียนที่รักทุกคน ตอนนี้คงรู้สึกอึดอัดไม่สบายตัวกันมากแน่ๆ เพราะฉะนั้นเรารีบนำอุปกรณ์ต่างๆ ที่เช่ามาทั้งหมด ไปคืนที่ร้านค้า หลังจากนั้นเราก็ลงไปว่ายน้ำในทะเลสาบกันดีไหม?”
การว่ายน้ำเป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรม คนส่วนใหญ่จึงสวมชุดว่ายน้ำอยู่ข้างในเพื่อเตรียมพร้อม พวกเขาจึงพยักหน้าเห็นด้วย
นักเรียนหลายสิบคนช่วยกันขนย้ายเตาไปคืนที่ร้านค้า บางส่วนช่วยกันแพ็คของอย่างอื่นให้เรียบร้อยและนำไปส่งคืน เหล่านักเรียนต่างรู้สึกยินดีที่อย่างน้อยร้านค้าก็อยู่กลางป่า สองข้างทางร่มรื่นและเต็มไปด้วยต้นไม้ ไม่เช่นนั้นพวกเขาคงได้บ่นโอดโอยกันระนาว เพราะแสงแดดที่แรงจ้าคงได้แผดเผาพวกเขาจนไหม้เกรียม!
“เอาล่ะ ถ้าเสร็จแล้วพวกเราไปว่ายน้ำกัน!” ซูหม่าปรบมือและตะโกนบอกด้วยเสียงอันดัง
นักเรียนกลุ่มหนึ่งรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง นักเรียนส่วนใหญ่ที่ว่ายน้ำเป็นก็รีบวิ่งไปที่ชายฝั่งของทะเลสาบเทียมและกระโดดลงไปอย่างไม่รอช้า
ในขณะนั้น เซียวหยูซวนได้ขมวดคิ้วทันที “หัวหน้าทีมซูหม่า ทะเลสาบนี้เพิ่งถูกสร้างขึ้นมาได้ไม่นาน มาตรการด้านความปลอดภัยต่างๆ ยังไม่ถูกนำมาใช้อย่างเต็มที่ มันจะไม่ปลอดภัยนะถ้าพวกเราจะลงไปว่ายน้ำกันในเวลานี้!”
…….จบบท 42 ~