บทที่ 35 ข่าวลือ~
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ภายในพริบตาเวลาหนึ่งสัปดาห์ก็ผ่านพ้นไป นับตั้งแต่ครั้งสุดท้ายที่เขาถูกปล้นบนท้องถนน
ในสัปดาห์ที่ผ่านมานี้ จี้เฟิงลืมเรื่องนี้ไปเกือบหมดแล้ว เขาทุ่มเทเวลาและพลังทั้งหมดให้กับการเรียนรู้และฝึกฝนสมองภายในจิตใต้สำนึกของเขา หลังจากเลิกเรียนในตอนเย็น ถงเล่ยยังคงให้คำปรึกษาและติววิชาต่างๆ ให้กับจี้เฟิงต่อไป โดยยังคงตกใจกับความจำที่น่ากลัวของจี้เฟิง
แม้ว่าเขาจะนึกถึงเหตุการณ์ที่เขาพบเจอในคืนนั้นบ้างเป็นครั้งคราว แต่จี้เฟิงก็ไม่ได้รู้สึกไม่พอใจแม้แต่น้อย เขากลับตระหนักได้มากขึ้นว่า การฝึกฝนนั้นมีประสิทธิภาพมากเพียงใด
ดังนั้นการฝึกของเขาจึงต้องใช้ความพยายามมากขึ้น ทุกๆ คืนเขาจะขอให้สมองหมายเลข 1 ฝึกเขาอย่างเข้มงวด และเขาก็พยายามทำมันอย่างเคร่งครัด
ผลลัพธ์ที่ได้คือ ความรู้ความเข้าใจในเรื่องการเรียนของจี้เฟิงได้รับการพัฒนาอย่างก้าวกระโดดโดยที่เขาไม่รู้ตัว รวมถึงความก้าวหน้าของหลักสูตรการฝึกอบรมสายลับระดับสูงก็น่ายินดีมากเช่นกัน
ที่สำคัญกว่านั้นถึงจะยังมีช่องว่างขนาดใหญ่ระหว่างเขาและถงเล่ยแต่หลังจากเหตุการณ์ครั้งสุดท้ายบวกกับการติดต่อกันอย่างต่อเนื่องทุกวันในสัปดาห์นี้ทำให้ช่องว่างระหว่างจี้เฟิงและถงเล่ยค่อยๆ แคบลง
แม้ว่าช่องว่างนี้จะยังไม่หมดไปและมันยังมีอยู่จนถึงตอนนี้ แต่วันหนึ่งช่องว่างทั้งหมดนี้จะหายไปอย่างสมบูรณ์และมันจะกลายเป็นประวัติศาสตร์!!
เกี่ยวกับประเด็นนี้ ในฐานะที่เป็นเพื่อนสนิทและเพื่อนร่วมโต๊ะของจี้เฟิง และเป็นพี่ชายของถงเล่ย จางเล่ยรู้สึกมีความสุขที่ได้เห็นสิ่งเหล่านี้ ทุกครั้งหลังโรงเรียนเลิก ก่อนจะกลับบ้าน เขาจะตบไหล่จี้เฟิง และแสดงท่าทีที่คาดเดาไม่ได้ แต่แววตาของเขาดูเหมือนกับจะบอกว่า “กล้าๆ หน่อยพวก ฉันรู้นายมีดีพอ!”
หลายครั้งที่จี้เฟิงรู้สึกตะลึงกับผู้ชายคนนี้ เพราะนอกจากเขาจะมองเพื่อนในแง่ดีมากแล้ว เขายังจะสนับสนุนให้เพื่อนสนิทตามจีบน้องสาวของเขาอีกต่างหาก!
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจางเล่ยจะยุยงสนับสนุนแค่ไหน จี้เฟิงก็ยังคงนิ่งเฉยไม่แสดงอาการใดๆ
เพราะเขารู้ดีว่า ไม่ว่าเขาจะฉลาดแค่ไหน ความจำจะดีแค่ไหนหรือทักษะจะดีแค่ไหน เขาและถงเล่ยก็ยังคงเป็นคนที่อยู่กันคนละโลกกันอยู่ดี
ต่อให้ตอนนี้ถงเล่ยจะชอบเขาและสารภาพกับเขา แต่เขาก็จะไม่ยอมรับโดยเด็ดขาดเพราะเขารู้ดีว่าตัวตนของเขาในตอนนี้ยังไม่มีอะไรดีพอที่จะคู่ควรกับถงเล่ยเลยแม้แต่น้อย
แน่นอนว่ามันเป็นเพียงแค่ความเป็นไปได้ ด้วยนิสัยของถงเล่ย ไม่ว่าเธอจะชอบจี้เฟิงมากแค่ไหน เธอก็จะไม่มีวันสารภาพกับเขาจริงๆ เพราะสิ่งแวดล้อมของครอบครัวและบุคลิกของเธอ ทำให้เป็นไปไม่ได้เลยที่ถงเล่ยจะทำแบบนั้น!
อย่างไรก็ตามความสัมพันธ์ระหว่างถงเล่ยและจี้เฟิง ยังคงพัฒนาไปอย่างช้าๆ เพราะอย่างน้อยการทำเรื่องตลกหรือคุยเล่นก็ถือว่าเป็นเรื่องปกติที่ไม่มีพิษมีภัยอะไรอยู่แล้วสำหรับความสัมพันธ์ระหว่างคนทั้งสอง
ถ้าเป็นก่อนหน้านี้ มันเป็นสิ่งที่จี้เฟิงไม่สามารถจินตนาการได้เลยด้วยซ้ำ กับการที่เขาได้มาพูดคุยหยอกล้อกับดอกไม้ประจำโรงเรียนคนนี้ มันคงเป็นฉากที่เกิดขึ้นได้แค่เพียงในความฝันเท่านั้น!
ในทุกๆ วันจี้เฟิงและถงเล่ยจะรอให้นักเรียนคนอื่นๆ กลับบ้านกันจนหมด และใช้เวลาเพียงครึ่งชั่วโมงในห้องเรียน… (คิดดีไม่ได้เลย #ผู้แปล) แต่ก็มีคำกล่าวที่ว่า “หน้าต่างมีหูประตูมีช่อง” และสิ่งที่พวกเขาทำในห้องหลังเลิกเรียนได้ถูกส่งต่อไปยังหูของคนอื่นๆ
ภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งวัน นักเรียนทุกคนในโรงเรียนมัธยมปลายหมางซือวิทยาเขตที่สองก็รู้เรื่องนี้ทั้งหมดและข้อมูลที่พวกเขารู้ก็ยังถูกบิดเบือน
“เฮ้! นายได้ยินเรื่องจี้เฟิงที่เพิ่งถูกฮูซู่ฮุ่ยทิ้งไปได้ไม่ถึงเดือน แล้วไปตกหลุมรักดอกไม้ประจำโรงเรียนของพวกเราป่ะ!”
“เฮ้ย! จริงดิ?! แม่งเอ้ย!! ไอ้คางคกอยากกินเนื้อหงส์ ไอ้สารเลว!!”
“มันเป็นเรื่องจริงแน่นอน ทุกเย็นหลังเลิกเรียนพวกเขาจะแอบนัดกันในห้องเรียน ฉันเห็นมากับตาของฉันเอง!!”
“ไอ้กล้วยเอ้ย! ทำไมฉันไม่ทันสังเกตว่าไอ้เด็กยากจนสกปรกนั่นมันจะกล้าดีขนาดนี้!”
…………
ข่าวลือของจี้เฟิงและถงเล่ยที่ว่าพวกเขาแอบคบกันกำลังแผ่ขยายไปทั่วทุกมุมของโรงเรียนอย่างรวดเร็ว
หลังจากที่ได้ยินข่าว เด็กผู้ชายหลายคนที่เพ้อฝันและหลงใหลในตัวถงเล่ย ก็ถึงขั้นโกรธแค้น บางคนถึงขนาดจะเข้ามาโจมตีจี้เฟิงโดยตรง!!
อย่างไรก็ตามคนที่โมโหและโกรธแค้นที่สุด คงหนีไม่พ้นรองหัวหน้าชั้นซูหม่าหลังจากที่ได้ยินข่าวนี้ ซูหม่าก็ทุบโต๊ะที่เขานั่งทำงานอยู่อย่างแรง เขาอยากจะหาคนมาจัดการกับจี้เฟิงให้เหมือนกับโต๊ะที่เขาเพิ่งทุบไป! แต่เมื่อนึกถึงคำเตือนของจางเล่ย เขาทำได้แค่เพียงค่อยๆ ข่มใจลง
มันง่ายมากที่จะจัดการขั้นเด็ดขาดกับจี้เฟิง แต่การที่จะจัดการกับจางเล่ยนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย!
เขานึกถึงประโยคที่เย่อหยิ่งอย่างวางอำนาจของจางเล่ย ที่พูดว่า “แม้ว่าจี้เฟิงจะเหยียบเปลือกแตงโมล้ม จางเล่ยก็จะไม่ปล่อยเขาไป!”
อย่าบ้าไปหน่อยเลย ถ้าจี้เฟิงมันเหยียบเปลือกแตงโมลื่นล้ม แล้วมันเกี่ยวอะไรกับฉันวะ! ถ้าไม่ใช่เพราะเหลาซือที่ปล่อยให้มันหลุดมือ…!!
แต่ต่อให้เหลาซือจัดการกับจี้เฟิงได้ ซูหม่าก็คงจะโยนเปลือกแตงโมใส่จี้เฟิงอยู่ดี!
หลังจากระบายความในใจอย่างดุเดือด ซูหม่าก็ค่อยๆ สงบลง ถึงเขาจะสามารถอาละวาดให้สาสมกับความโกรธแค้น แต่ผลที่ตามมามันไม่ใช่สิ่งที่เขาจะสามารถจ่ายได้! ดังนั้นซูหม่าจึงได้แต่ข่มความโกรธไว้ในใจ เขาเพียงแค่รอโอกาสที่จะทำให้จี้เฟิงได้รับหายนะครั้งใหญ่…
…………
เมื่อข่าวลือได้แพร่กระจายจนมาถึงหูของจี้เฟิง เขารู้สึกโกรธมากไม่แพ้กันกับซูหม่า
อันที่จริงแล้วสิ่งที่ทรงพลังที่สุด ไม่ใช่ผู้มีอำนาจหรืออาวุธที่มีเทคโนโลยีอันทันสมัย แต่สิ่งที่ทรงพลังอย่างแท้จริงกลับเป็นสิ่งที่เรียกว่า ข่าวลือ!
โดยเฉพาะสำหรับเด็กผู้หญิง ข่าวลือที่ไม่ดีนั้น มันสามารถทิ่มแทงได้อย่างน่าเจ็บปวดกว่าอาวุธมีคมเสียอีก
สำหรับจี้เฟิงแล้วมันไม่ใช่เรื่องใหญ่ถ้าเขาจะได้รับความเสียหายจากข่าวลือเพียงคนเดียว แต่นั่นต้องไม่ใช่กับถงเล่ย เขารู้สึกแย่มากที่ถงเล่ยต้องมาเสียหายในเรื่องที่เขามีส่วนเกี่ยวข้อง!
แต่ไม่ว่าจี้เฟิงอยากจะอธิบายความจริงแค่ไหน ก็คงไม่มีใครเชื่อ!
ดังนั้นจี้เฟิงจึงทำได้แค่เพียงอยู่อย่างเงียบๆ ด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก
ในขณะนั้นเอง ประตูห้องเรียนได้ถูกเปิดออก ถงเล่ยเดินเข้ามาพร้อมกับรอยยิ้มบนใบหน้าและพูดว่า “นักเรียนทุกคนโปรดอยู่ในความเงียบ เจ้าหน้าที่ตำรวจของเราจากสถานีตำรวจ ต้องการแจ้งให้ทุกคนทราบเกี่ยวกับบางเรื่องเพื่อทำให้พวกเรารู้สึกอุ่นใจขึ้น!”
นักเรียนทุกคนที่ได้ยินรู้สึกตกใจกับคำว่า “ตำรวจ”
ทันทีที่ถงเล่ยพูดจบ ชายสองคนในเครื่องแบบตำรวจก็เดินเข้ามาในห้องเรียนและขึ้นไปยืนบนแท่นบรรยาย หนึ่งในนั้นคือ ผู้กองหยาน ตำรวจผู้เข้มงวดที่จี้เฟิงรู้จัก!
……จบบทที่ 35~